ต้องเกริ่นถึงภูมิหลังของตนเองก่อนนะครับว่าเป็นคนที่ใช้เงินเก่ง (มากๆ)และเป็นนักถลุงเงินตัวยงจึงเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการเงิน
ตัวจขกท. เองเป็นนักเรียน ม. ปลาย ซึ่งแน่นอนแหละว่ามันก็ต้องมีการไปเดินเที่ยว ซื้อรองเท้า ซื้อหูฟัง เลี้ยงข้าวสาวๆ หรือแม้กระทั่งค่าหนังสือการ์ตูน และทุกๆต้นเดือนจะต้องวิ่งไปหาอะไรกินแถวๆพารากอนหรือร้านหรู (เป็นพวกสุขนิยม) ซึ่งพอมาสิ้นเดือนแล้วก็หมด แถมไม่มีเงินเก็บเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเราถามกับตัวเองว่า “ถ้าเรายังทำแบบนี้ต่อไป เราคงไม่มีทางเป็นเศรษฐีได้หรอก” จึงค่อยๆมองหาวิธีการและการลงทุนแบบต่างๆมากมาย และยังได้โอกาสไปร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก (เดนมาร์ก) จึงเริ่มฝึกตัวเองจากเงินที่แม่ให้รายเดือน ทั้งลองวิธีการใหม่ๆหรือคิดเองบ้าง จนในที่สุดเราก็เริ่มตระหนักกับตนเองแล้วว่า “เงินมากเงินน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญในการออม ความสม่ำเสมอต่างหากหล่ะที่สำคัญ”
ก็อีกนั้นแหละ ด้วยแสงสีของเมืองนอก ทำให้เงินเก็บร่อยหรอ แล้วยิ่งขากลับที่ผ่าน Duty free นั่นแหละ เรียกว่าโปรยเงินเล่นเลยด้วยซ้ำ
พอผมกลับมาจากการเรียน 1 ปี ผมก็มาศึกษาต่อใน ม.6 และก็ได้เงินค่าขนมเหมือนเดิม ซึ่งก็มากอยู่ ผมก็เริ่มมีไอเดียผุดขึ้นมาในหัวอีกว่า “ถ้ากูยังขาดวินัยอีก กูคงหมดอนาคตและก็ใช้ชีวิตไปวันๆ” ผมก็เริ่มมาอ่านหนังสือหลายเรื่อง เช่น Rich Dad Poor dad ของ Robert Kiyosaki และ ไขรหัสลับสมองเงินล้านของ T.Harv Eker ซึ่งมันเป็นหนังสือที่เปลี่ยนแปลงทัศนคติการเงินของผมไปตลอดกาลเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้ผมก็ได้ตกผลึก(ในระดับนึง) กับระบบที่ผมคิดว่าเป็นการเก็บออมเงินที่ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งผมมักเรียกมันว่า “ระบบ 6 กระปุก”
ระบบ 6 กระปุก คืออะไร?
มากกว่า 1 ปีที่ผมได้ทดลองใช้เงินด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในแบบของยุโรปหรือในแบบของเพื่อนๆที่แนะนำผมมา ซึ่งผมก็ขอยอมรับว่าวิธีเหล่านั้นได้ผลครับ แต่คงไม่ใช่กับนักถลุงเงินตัวยงอย่างผมแน่นอน แล้วถามว่าระบบหกกระปุกนั้นมันวิเศษวิโสยังไง? ผมคงต้องตอบว่ามันไม่ได้ดีไปกว่าระบบการเก็บเงินของใครแน่นอน แต่เป็นระบบการเก็บเงินที่ผมสนุกกับมันมากที่สุด
ใน 6 กระปุกนั้นมีอะไรบ้าง?
6 Jars System นั้นเป็นระบบที่ช่วยจัดสรรค์เงินผมลงไปในหลายๆพื้นที่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเชื่อวิธีนี้เท่าไหร่ แต่พอผมลองทำผมกลับมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 1500 บาทต่อเดือน ซึ่งผมตกใจมาก (เหมือนความรู้สึกที่ปลามีขางั้นแหละ) ผมก็เริ่มคิดว่า “เห้ย ถ้าคงแบบนี้ต่อไปได้ซักหน่อยนี้เจ๋งเลย” ซึ่งผมก็ลองดูอีกซักเดือน จนกระทั้งจาก 1500 กลายเป็น 5500 บาท ซึ่งเงินที่ผมเหลือเก็บจำนวนนี้ ผมเหลือจากการที่ผมใช้ทุกอย่างเหมือนเดิม ไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ พาสาวไปหาไรกิน ทุกอย่างเหมือนเดิม ส่ิงที่ไม่เหมือนเดิมคือการกระจายเงินเก็บและบริหารความอยากของผม ดังนี้
1.กระปุกจำเป็น คิดเป็น 55% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
เงินจำนวนนี้ผมเอาไปจ่ายค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่ารถเมล์ ค่ากินข้าว ซึ่งในส่วนนี้ผมคิดว่าเราควรใช้จ่ายในส่วนค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต แล้วก็ค่าใช้จ่ายรายวัน ซึ่งผมคำณวนดูแล้วก็ใช้ประมาณ 130 บาทต่อวัน (หลังจากหักค่าเน็ตโทรสับแล้ว)
2.กระปุกถลุง คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
หลังจากที่หักมา10% ของทั้งหมด ผมเอาเงินนี้ไปใช้(หรือถลุงดีหล่ะ55)กับความสุขของผม เช่น พาสาวไปดูหนัง ไปเที่ยว หรือ ซื้อการ์ตูนซักเล่ม และบางช่วงที่ผมไม่ได้ใช้ ผมก็เก็บเงินไปเที่ยวต่างจังหวัด(คนเดียว) บ้างก็ไปผับเทค แต่ก็ควบคุมเงินของตนเองให้อยู่ใน 10%
3.กระปุกเสรีภาพ คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
กระปุกนี้ค่อนข้างซับซ้อนหน่อย เพราะผมชอบใช้บัญชีนี้ในการเล่นแร่แปรธาตุในการลงทุน ซึ่งผมชอบกระปุกนี้มาก เงินในกระปุกนี้ หลังจากแบ่งออกมาแล้ว ผมจะนำไปเก็บสะสมเพื่อจุดประสงค์ในการสร้างรายได้จากการลงทุน เช่น หุ้น ทอง (เด่วอธิบายเพิ่ม) ซึ่งถือว่ากระปุกนี้เป็นเสาเข็มเพื่ออนาคตของผมในการที่จะมีเสรีภาพทางเวลาและการทำงาน
4.กระปุกการศึกษา คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
ครอบครัวผมชอบสอนผมเสมอว่า การลงทุนที่มีคุณค่าที่สุดคือการลงทุนกับความรู้ ผมเอาเงินก้อนนี้ในทุกๆเดือนซื้อหนังสือภาษาสเปนมาอ่าน และก็หนังสือภาษาอังกฤษ (พอดีชอบเรียนภาษาอะคับ แต่ไม่เก่ง55) ซึ่งทั้งนี้ บางทีผมก็ซื้อพวกคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ หรือ แอพดิกชั่นนารี
5.กระปุกฝันใหญ่ คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
อันนี้ผมก็เอาไว้เก็บเงินซื้อของที่ผมอยากได้ จอทีวีใหม่ หรือเครื่องดนตรีที่ผมอยากได้ ซึ่งอันนี้ถ้าหากคนที่ยังทำงานอยู่ก็จะสามารถอยู่ในส่วนของการซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยได้ เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ เก็บไว้แต่งงานก็ได้
6.กระปุกแห่งการแบ่งปัน คิดเป็น 5% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
อันนี้ฟังดูจะเหมือนพ่อพระ แต่ในส่วนนี้ผมใช้ไปกับการทำบุญและการบริจาคเพื่อการกุศลทั้งหมด
ซึ่งผมจะยกตัวอย่างของผมให้ฟังละกันครับ
ผมได้เงินค่าขนมประมาณ 10000 บาท (สมมุติ) ผมก็จะแบ่งออกมาเป็นบัญชีทั้งหมด 6 บัญชี

กระปุกจำเป็น -5500
กระปุกถลุง -1000
กระปุกเสรีภาพ -1000
กระปุกการศึกษา -1000
กระปุกฝันใหญ่ - 1000
กระปุกแบ่งปัน -500
ซึ่งผมทำแบบนี้ทุกๆเดือนจนตอนนี้เป็นเวลา 10 เดือนแล้วครับที่ได้ใช้ระบบวิธีการนี้ และผมก็กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าหากผมไม่ได้วิธีการนี้ ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่มีความมั่นคงในด้านการเงิน หลายคนพูดว่าทำไมถึงให้ความสำคัญกับเงินจัง ผมก็กล้าบอกเลยว่า ตอนแรกผมก็คิดว่ายังไงซะ ผมก็ไม่อดตาย หรือ เป็นหนี้นิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นไร จนกระทั่งผมมองย้อนกลับไปตอนที่เคยเป็นหนี้จากการยืมเงินเพื่อนไปซื้อการ์ดยูกิ และผมก็เริ่มมาตระหนักว่า “เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่มันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่วัดว่าคุณมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคุณและคนรอบข้างคุณได้มากแค่ไหนต่างหาก”
*ขออนุญาตตัดส่วนของเรื่องทองไปนะครับ ขอไปหาข้อมูลให้แน่นกว่านี้แล้วจะมาแบ่งปันครับ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ขอบคุณทุกๆคนมากครับผม*
CHAIR ที่แปลว่า แบ่งปัน...
นั่นมัน SHARE!
จึงๆผมขอพูดตามตรงๆคือ ผมได้เทคนิคนี้มาจากคนๆนึ่งซึ่งเขาชื่อ T.Harv Eker จากหนังสือของเขาที่ชื่อ ไขรหัสลับสมองเงินล้าน (ไอ้ที่มันเป็นแท่งกลมๆคล้ายๆม้วนกระดาษทิชชู่อยู่ที่หน้าปก ซึ่งไอ้ผมก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นหนังสือขายได้ขายดีในทุกร้าน) ปรากฎว่าผมก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะแม่ผมแกก็มีหนังสือเล่มนี้ ผมเลยขอยืม ซึ่งแม่ก็บอกอีกว่า “อยากรวยมึxก็ไปซื้อเองเด่” ผมก็เลยไปได้มาเล่มนึง ราคา 170 บาทมั้ง ปรากฎว่าชักเริ่มติดลมบน ผมก็เลยไปซื้อมาอีก แต่คราวนี้เริ่มเป็นคนมาบ่นให้ฟังและ เข้าใจง่ายดี เพราะแกดันมีเป็น สัมมนาเลยเว้ยย!! แถมชื่อก้แบบเดียวกันเปะอีก - -“ ผมจึงไปนั่งฟังเผื่อได้อะไรดีๆกลับมา ปรากฎว่าผมอุทานมาว่า “

คนละเรื่องเดียวกันเลยวุ้ย” เพราะบางส่วนในหนังสือที่ผมอ่านเนี่ยมันอธิบายแต่ผมไม่เข้าใจ พอมาถึงห้องสัมมนา ทางตัวspeaker ถึงกะพูดให้กระจ่างเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งทีได้เนี่ย มันเยอะมาก จนตอนนี้ผมก็ได้รู้ว่านิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเนี่ย มันมีทางแก้นะเว้ยย หรือแม้กระทั่ง ไอ้หกกระปุกนี้ มันมีขั้น Advance นะเว้ยยยย
ถ้าใครสนใจนะครับ ลองไปเสิร์ชหาดูได้นะครัช
“ไขรหัสลับสมองเงินล้าน” หรือ MMI Thailand ก็ได้ครัชช
แล้วเรามารวยด้วยกันเถอะ ลั้ลล้าาาา~
วิธีเก็บเงินแบบเด็ก ม.ปลาย จากคนเงินเก็บ 0 บาท จนถึง 20000 บาทภายใน 10 เดือน
ตัวจขกท. เองเป็นนักเรียน ม. ปลาย ซึ่งแน่นอนแหละว่ามันก็ต้องมีการไปเดินเที่ยว ซื้อรองเท้า ซื้อหูฟัง เลี้ยงข้าวสาวๆ หรือแม้กระทั่งค่าหนังสือการ์ตูน และทุกๆต้นเดือนจะต้องวิ่งไปหาอะไรกินแถวๆพารากอนหรือร้านหรู (เป็นพวกสุขนิยม) ซึ่งพอมาสิ้นเดือนแล้วก็หมด แถมไม่มีเงินเก็บเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเราถามกับตัวเองว่า “ถ้าเรายังทำแบบนี้ต่อไป เราคงไม่มีทางเป็นเศรษฐีได้หรอก” จึงค่อยๆมองหาวิธีการและการลงทุนแบบต่างๆมากมาย และยังได้โอกาสไปร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก (เดนมาร์ก) จึงเริ่มฝึกตัวเองจากเงินที่แม่ให้รายเดือน ทั้งลองวิธีการใหม่ๆหรือคิดเองบ้าง จนในที่สุดเราก็เริ่มตระหนักกับตนเองแล้วว่า “เงินมากเงินน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญในการออม ความสม่ำเสมอต่างหากหล่ะที่สำคัญ”
ก็อีกนั้นแหละ ด้วยแสงสีของเมืองนอก ทำให้เงินเก็บร่อยหรอ แล้วยิ่งขากลับที่ผ่าน Duty free นั่นแหละ เรียกว่าโปรยเงินเล่นเลยด้วยซ้ำ
พอผมกลับมาจากการเรียน 1 ปี ผมก็มาศึกษาต่อใน ม.6 และก็ได้เงินค่าขนมเหมือนเดิม ซึ่งก็มากอยู่ ผมก็เริ่มมีไอเดียผุดขึ้นมาในหัวอีกว่า “ถ้ากูยังขาดวินัยอีก กูคงหมดอนาคตและก็ใช้ชีวิตไปวันๆ” ผมก็เริ่มมาอ่านหนังสือหลายเรื่อง เช่น Rich Dad Poor dad ของ Robert Kiyosaki และ ไขรหัสลับสมองเงินล้านของ T.Harv Eker ซึ่งมันเป็นหนังสือที่เปลี่ยนแปลงทัศนคติการเงินของผมไปตลอดกาลเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้ผมก็ได้ตกผลึก(ในระดับนึง) กับระบบที่ผมคิดว่าเป็นการเก็บออมเงินที่ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งผมมักเรียกมันว่า “ระบบ 6 กระปุก”
ระบบ 6 กระปุก คืออะไร?
มากกว่า 1 ปีที่ผมได้ทดลองใช้เงินด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในแบบของยุโรปหรือในแบบของเพื่อนๆที่แนะนำผมมา ซึ่งผมก็ขอยอมรับว่าวิธีเหล่านั้นได้ผลครับ แต่คงไม่ใช่กับนักถลุงเงินตัวยงอย่างผมแน่นอน แล้วถามว่าระบบหกกระปุกนั้นมันวิเศษวิโสยังไง? ผมคงต้องตอบว่ามันไม่ได้ดีไปกว่าระบบการเก็บเงินของใครแน่นอน แต่เป็นระบบการเก็บเงินที่ผมสนุกกับมันมากที่สุด
ใน 6 กระปุกนั้นมีอะไรบ้าง?
6 Jars System นั้นเป็นระบบที่ช่วยจัดสรรค์เงินผมลงไปในหลายๆพื้นที่ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเชื่อวิธีนี้เท่าไหร่ แต่พอผมลองทำผมกลับมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 1500 บาทต่อเดือน ซึ่งผมตกใจมาก (เหมือนความรู้สึกที่ปลามีขางั้นแหละ) ผมก็เริ่มคิดว่า “เห้ย ถ้าคงแบบนี้ต่อไปได้ซักหน่อยนี้เจ๋งเลย” ซึ่งผมก็ลองดูอีกซักเดือน จนกระทั้งจาก 1500 กลายเป็น 5500 บาท ซึ่งเงินที่ผมเหลือเก็บจำนวนนี้ ผมเหลือจากการที่ผมใช้ทุกอย่างเหมือนเดิม ไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ พาสาวไปหาไรกิน ทุกอย่างเหมือนเดิม ส่ิงที่ไม่เหมือนเดิมคือการกระจายเงินเก็บและบริหารความอยากของผม ดังนี้
1.กระปุกจำเป็น คิดเป็น 55% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
เงินจำนวนนี้ผมเอาไปจ่ายค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่ารถเมล์ ค่ากินข้าว ซึ่งในส่วนนี้ผมคิดว่าเราควรใช้จ่ายในส่วนค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต แล้วก็ค่าใช้จ่ายรายวัน ซึ่งผมคำณวนดูแล้วก็ใช้ประมาณ 130 บาทต่อวัน (หลังจากหักค่าเน็ตโทรสับแล้ว)
2.กระปุกถลุง คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
หลังจากที่หักมา10% ของทั้งหมด ผมเอาเงินนี้ไปใช้(หรือถลุงดีหล่ะ55)กับความสุขของผม เช่น พาสาวไปดูหนัง ไปเที่ยว หรือ ซื้อการ์ตูนซักเล่ม และบางช่วงที่ผมไม่ได้ใช้ ผมก็เก็บเงินไปเที่ยวต่างจังหวัด(คนเดียว) บ้างก็ไปผับเทค แต่ก็ควบคุมเงินของตนเองให้อยู่ใน 10%
3.กระปุกเสรีภาพ คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
กระปุกนี้ค่อนข้างซับซ้อนหน่อย เพราะผมชอบใช้บัญชีนี้ในการเล่นแร่แปรธาตุในการลงทุน ซึ่งผมชอบกระปุกนี้มาก เงินในกระปุกนี้ หลังจากแบ่งออกมาแล้ว ผมจะนำไปเก็บสะสมเพื่อจุดประสงค์ในการสร้างรายได้จากการลงทุน เช่น หุ้น ทอง (เด่วอธิบายเพิ่ม) ซึ่งถือว่ากระปุกนี้เป็นเสาเข็มเพื่ออนาคตของผมในการที่จะมีเสรีภาพทางเวลาและการทำงาน
4.กระปุกการศึกษา คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
ครอบครัวผมชอบสอนผมเสมอว่า การลงทุนที่มีคุณค่าที่สุดคือการลงทุนกับความรู้ ผมเอาเงินก้อนนี้ในทุกๆเดือนซื้อหนังสือภาษาสเปนมาอ่าน และก็หนังสือภาษาอังกฤษ (พอดีชอบเรียนภาษาอะคับ แต่ไม่เก่ง55) ซึ่งทั้งนี้ บางทีผมก็ซื้อพวกคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ หรือ แอพดิกชั่นนารี
5.กระปุกฝันใหญ่ คิดเป็น 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
อันนี้ผมก็เอาไว้เก็บเงินซื้อของที่ผมอยากได้ จอทีวีใหม่ หรือเครื่องดนตรีที่ผมอยากได้ ซึ่งอันนี้ถ้าหากคนที่ยังทำงานอยู่ก็จะสามารถอยู่ในส่วนของการซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยได้ เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ เก็บไว้แต่งงานก็ได้
6.กระปุกแห่งการแบ่งปัน คิดเป็น 5% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
อันนี้ฟังดูจะเหมือนพ่อพระ แต่ในส่วนนี้ผมใช้ไปกับการทำบุญและการบริจาคเพื่อการกุศลทั้งหมด
ซึ่งผมจะยกตัวอย่างของผมให้ฟังละกันครับ
ผมได้เงินค่าขนมประมาณ 10000 บาท (สมมุติ) ผมก็จะแบ่งออกมาเป็นบัญชีทั้งหมด 6 บัญชี
กระปุกจำเป็น -5500
กระปุกถลุง -1000
กระปุกเสรีภาพ -1000
กระปุกการศึกษา -1000
กระปุกฝันใหญ่ - 1000
กระปุกแบ่งปัน -500
ซึ่งผมทำแบบนี้ทุกๆเดือนจนตอนนี้เป็นเวลา 10 เดือนแล้วครับที่ได้ใช้ระบบวิธีการนี้ และผมก็กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าหากผมไม่ได้วิธีการนี้ ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่มีความมั่นคงในด้านการเงิน หลายคนพูดว่าทำไมถึงให้ความสำคัญกับเงินจัง ผมก็กล้าบอกเลยว่า ตอนแรกผมก็คิดว่ายังไงซะ ผมก็ไม่อดตาย หรือ เป็นหนี้นิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นไร จนกระทั่งผมมองย้อนกลับไปตอนที่เคยเป็นหนี้จากการยืมเงินเพื่อนไปซื้อการ์ดยูกิ และผมก็เริ่มมาตระหนักว่า “เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่มันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่วัดว่าคุณมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคุณและคนรอบข้างคุณได้มากแค่ไหนต่างหาก”
*ขออนุญาตตัดส่วนของเรื่องทองไปนะครับ ขอไปหาข้อมูลให้แน่นกว่านี้แล้วจะมาแบ่งปันครับ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ขอบคุณทุกๆคนมากครับผม*
CHAIR ที่แปลว่า แบ่งปัน...
นั่นมัน SHARE!
จึงๆผมขอพูดตามตรงๆคือ ผมได้เทคนิคนี้มาจากคนๆนึ่งซึ่งเขาชื่อ T.Harv Eker จากหนังสือของเขาที่ชื่อ ไขรหัสลับสมองเงินล้าน (ไอ้ที่มันเป็นแท่งกลมๆคล้ายๆม้วนกระดาษทิชชู่อยู่ที่หน้าปก ซึ่งไอ้ผมก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นหนังสือขายได้ขายดีในทุกร้าน) ปรากฎว่าผมก็ตื่นตาตื่นใจ เพราะแม่ผมแกก็มีหนังสือเล่มนี้ ผมเลยขอยืม ซึ่งแม่ก็บอกอีกว่า “อยากรวยมึxก็ไปซื้อเองเด่” ผมก็เลยไปได้มาเล่มนึง ราคา 170 บาทมั้ง ปรากฎว่าชักเริ่มติดลมบน ผมก็เลยไปซื้อมาอีก แต่คราวนี้เริ่มเป็นคนมาบ่นให้ฟังและ เข้าใจง่ายดี เพราะแกดันมีเป็น สัมมนาเลยเว้ยย!! แถมชื่อก้แบบเดียวกันเปะอีก - -“ ผมจึงไปนั่งฟังเผื่อได้อะไรดีๆกลับมา ปรากฎว่าผมอุทานมาว่า “
ถ้าใครสนใจนะครับ ลองไปเสิร์ชหาดูได้นะครัช
“ไขรหัสลับสมองเงินล้าน” หรือ MMI Thailand ก็ได้ครัชช
แล้วเรามารวยด้วยกันเถอะ ลั้ลล้าาาา~