เมื่อเหล่า "คนบ้า" มารวมตัวกัน มันก็กลายเป็น "Super บ้า"
คนบ้าที่ผมกล่าวถึงนัน ไม่ได้หมายถึงสมญานามที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์มอบให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ Suzuki แต่อย่างใด แต่หมายถึง คนที่ท่องเที่ยวไปตลอดแม้กระทั่งในฤดูฝนตกหนัก พายุเข้า ลมจะมา ก็ยังจะไปให้ได้ ขอให้ได้เที่ยวเถอะ
1 ต.ค. 58 ข้อความใน Line กลุ่มลูกเป็ด ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มของเพื่อนสนิทที่ชอบท่องเที่ยวป่าเขาด้วยกัน ได้เด้งเข้ามา โดยน้าหยก (bananablack) เจ้าของ CB500x เป็นผู้เปิดประเด็นว่าอยากจะไปเที่ยวเหลือเกิน ทนไม่ไหวแล้ว เพราะทำงานมาอย่างยาวนาน อีกทั้งวันหยุดไม่ตรงกับเพื่อน ๆ เขา โดยครั้งนี้เขาเลือกที่จะไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่น (ถึงแม้ว่าปีนี้ แกจะไปมา 3 ครั้งแล้วก็ตาม ไม่รู้มีอะไรกับที่นี่นักหนา)
เมื่อเอ่ยปากชวนเพื่อนในกลุ่มไลน์แล้ว แกก็บอกว่า พรุ่งนี้จะออกเดินทางล่ะนะ ใครจะไปก็ตามมาเลย แกจะมานอนล่วงหน้าก่อน เพื่อนในกลุ่มไลน์ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ก็มีแค่ผมกับน้าหยกสองคนเท่านั้น (เขาถึงเรียกเราสองคนว่าพวก 500) คนอื่นในกลุ่มเขาเอารถ 4 ล้อไป วันรุ่งขึ้นน้าหยกก็ Check in ในเฟซบุ๊คเรียบร้อยว่า ตอนนี้กินข้าวอยู่แยกบ้านโป่งล่ะนะ ฟ้าแจ่มใส
ลำพังตัวน้าหยกเองนั้นอยู่กรุงเทพฯ ผมเองอยู่อยุธยา เพื่อนที่เหลืออยู่ปทุมธานี คนละซีกกันเลย จึงไม่มีใครรับปากว่าจะตามไปไหม ต่างคนต่างเงียบกันไปหมด
ผมเองตัดสินใจแล้วว่า "ไป" หลังจากโทรนัดหมายภรรยาเรียบร้อย (อยู่สิงห์บุรี) ผมก็เอาแฟนท่อมไปตรวจเช็คก่อนออกเดินทางอีกครั้งที่ศูนย์บริการ ก่อนจะไปรับรถในตอนเย็นของวันที่ 2 ต.ค. ก็จัดข้าวของกันหน้าศูนย์บริการนั่นเลย ก่อนจะออกเดินทางจากอยุธยาไปรับภรรยาผมที่สิงห์บุรีเสียก่อน ตอนนั้นเป็นเวลา 16.30 น.
ระยะทาง 70 กม. ผมใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ มาถึงบ้านก็จัดของขึ้นรถอีกครั้ง ก่อนจะขับไปต่อ จุดหมายคืนแรกคือสุพรรณบุรี บ้านพ่อกับแม่ผมเอง พักค้างคืนที่นี่ ก่อนจะออกเดินทางต่อในตอนเช้า ตั้งใจว่าจะออกเดินทางประมาณตี 4 ครับ
แต่คืนนั้นฝนตกหนัก หนักแบบหนักมาก ตี 4 ก็แล้ว ตี 5 ก็แล้ว จน 7 โมงเช้า ฝนมันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงไป พ่อผมถามแล้วถามอีกว่า จะไปแน่เหรอลูก มันอันตรายนะ แต่ผมก็ยืนยันว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวขับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบระมัดระวังเอา จน 7 โมงครึ่งเราถึงได้ออกเดินทาง ผมใช้ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 70 กม.ต่อชั่วโมง วันนี้ไม่ค่อยมีรถราออกมาวิ่งสักเท่าไหร่เลยทั้งที่สายมากแล้ว ผมใช้เส้นทางถนนมาลัยแมน ผ่านอำเภออู่ทอง ตรงไปแยกจรเข้สามพัน เลี้ยวขวามุ่งตรงไปยังอำเภอพนมทวน และตัวเมืองกาญจนบุรีตามลำดับ ระยะทางในเบื้องต้นคือ 92 กม.
ผมและภรรยาสวมชุดกันฝนแบบสองชิ้น ชุดกันฝนแบบนี้ใช้งานสะดวกและกันฝนได้ดีกว่าแบบปันโจมาก และดีกว่าที่มีขายบาง ๆ ตาม 7-11 ครับ ราคาชุดละ 150 บาท แต่ต้องระวังเพราะขาดง่ายเหมือนกัน สวมชุดนี้ทับเสื้อการ์ดไปเลย ขับตอนฝนตกแล้วรู้สึกมั่นใจมาก
ผมมาถึงตัวเมืองกาญจนบุรีเอาตอนประมาณ 10 โมงเช้า เจอกลุ่มบิ๊กไบค์หลาย ๆ คันจอดพักตามปั๊มน้ำมัน เป้าหมายของพวกเขาก็น่าจะเป็นที่เดียวกันกับผม ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว แต่ฟ้าก็ยังมีสีเข้มอยู่ ผมเก็บชุดกันฝน และออกเดินทางต่อ ระยะทางจนถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมินั้นอยู่ที่ 204 กม. ต้องใช้ระยะเวลาการขับรถไม่น้อยกว่า 3 ชม. เลยทีเดียว ผมขับไปเรื่อย ๆ ความเร็วอยู่ที่ 90 กม./ ชม. สำหรับแฟนท่อมนั้น ความเร็วที่ผมไม่รู้สึกว่าเค้นเครื่องมากเกินไปอยู่ที่ 90-100 กม./ชม. หากมากกว่านี้จะรู้สึกว่าเครื่องสั่นขึ้นมากทีเดียว ผมแวะซื้อน้ำมันเครื่องกระป๋องเล็กติดไปด้วย เนื่องจากว่าหากเจอเหตุสุดวิสัยน้ำมันเครื่องหาย จะได้มีเติมแก้ปัญหา (รถผม Overhual เครื่องมาใหม่จากศูนย์ เพิ่งวิ่งไปสองพันกว่ากิโลเมตร แต่ก็กันไว้ก่อน)
ประมาณเที่ยงครึ่ง ผมก็ขับรถมาถึงตัวอำเภอทองผาภูมิ ผมแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนที่จะขึ้นไป ที่ปั๊ม ปตท. แห่งนี้ เป็นปั๊มสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเขา จะมีชาวมอเตอร์ไซค์จำนวนมากมาแวะพักและเติมน้ำมันที่จุดนี้กันเยอะทีเดียว
จากนั้นก็จัดการมื้อกลางวันกับร้านข้าวเจ้าประจำที่มาทีไรต้องแวะกินทุกครั้ง หลังจากข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแล้ว ร้านอยู่ซ้ายมือ ข้าวมันไก่ไหหลำ แต่วันนี้ผมจัดข้าวหมูแดง
ผมโทรศัพท์หาน้าหยก แต่ติดต่อไม่ได้ น้าหยกคงเข้าไปในอุทยาน หรือไม่ก็ไปเที่ยวจุดอื่นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ยังฝากข้อความในไลน์ไว้ว่า ให้รีบขึ้นมาเลย บรรยากาศกำลังฟินสุด ๆ
ภาพเครดิตน้าหยก ตามไลน์ของแก บร๊ะ ภาพตัวอย่างของแกนี่มันชวนฟินจริง ๆ ด้วย
แถมยังบอกว่า ไม่ต้องซื้ออะไรขึ้นมาทำกินเลยนะ ที่นี่มีขายทุกอย่าง รีบขึ้นมา ๆ
ไม่รอช้า ผมก็รีบขับรถตามขึ้นไปเลย แฟนท่อมของผมนั้น เป็นรุ่นที่ 2 ปี 2547 ติดชิลด์หน้า กันล้มหน้าหลัง กล่องหน้าหลัง สปอร์ตไลท์ น้ำหนักตัวรถเปล่า ๆ ก็ไปเข้าไปกว่า 150 กก. บรรทุกผู้โดยสารคือผม (70 กก.) ภรรยาผม (49 กก.) สัมภาระเต๊นท์ ถุงนอน เสื้อผ้า (ประมาณ 12 กก.) แรก ๆ เป็นทางราบ ๆ สลับเนินเขา รถทำความเร็วได้ดีพอสมควร พอเลี้ยวซ้ายขึ้นภูเขา สภาพถนนไม่ดีเลย ผมต้องใช้เกียร์ 1-2 ตลอดระยะทาง เพราะต้องคอยหลบหลุม อีกทั้งถนนเป็นเม็ดกรวด น้ำขังตามหลุมที่มองไม่เห็น ทางยังลื่นมาก ๆ ต้องระมัดระวังมาก ๆ ครับ
บ่ายโมงครึ่ง ผมขึ้นมาถึงจุดชมวิวมองเห็นทิวทัศน์อ่างเก็บน้ำชัดเจน และผมเจอสมาชิกกลุ่ม Phantom club ที่ขับรถสวนลงมาที่นี่เองหลายคันเลย พวกเขามาจากระยองกัน มาไกลจริง ๆ
บ่ายสองโมง ผมก็ขึ้นมาจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ทำการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ผมก็ยังติดต่อน้าหยกไม่ได้ ผมตัดสินใจขับขึ้นไปตามหา 500x ต้องอยู่บนนั้นแหละแน่นอน
ระยะทาง 8 กม. จากที่ทำการถึงหมู่บ้านอีต่อง ชายแดนไทยพม่า บอกเลยว่า ถนนทำทางใหม่ แต่ทางแย่มาก ยางมะตอยมีสภาพเป็นกรวดดำ ๆ ลื่น ๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมาก ๆ ในการขับขี่ หากพลาดมีโอกาสคว่ำได้เลย
ผมขึ้นไปถึงหมู่บ้านอีต่อง มองหา 500X หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอีกแล้ว ละอองฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบาง ๆ ผมเลยตัดสินใจขับขึ้นไปดูบนยอดเนินช้างศึก เส้นทางนี้หลายท่านคงทราบดีว่ามันเหมาะกับรถ Motocross มากกว่า แต่ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งครับ อากาศเปลี่ยนอย่างรวดเร็วมาก ๆ จากสว่างไปมืด ลมพัดแรงขึ้น
เชิญซึมซับบรรยากาศครับ
จอดรถปุ๊บ ฝนลงทันที
เมื่อเราขึ้นมาถึงยอดฐาน ตชด. เราไม่เจอใครเลย ทันใดนั้นสายฝนก็โปรยปรายลงมา ผมกำลังจะลง พลันก็มีสายโทรศัพท์เข้าจากเพื่อนในกลุ่มอีกคนนึงชื่อตาบอย
ตาบอย : เฮ้ย เปิ้ล แกอยู่ไหนอ่ะ ไอ้หยกมันตามหาอยู่
ผม : ฉันอยู่บนเนินช้างศึกเนี๊ยะ หยกมันอยู่ไหนล่ะ
ตาบอย : หยกมันบอกว่า มันรอแกอยู่ที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่นนะ ให้แกรีบไปเลย
ผม : แล้วแกมาด้วยเหรอ
ตาบอย : บ้า จะไปทำไมฝนตก ๆ นั่งต่อโม (โมเดล) อยู่บ้านดีกว่า พวกแกมันพวก 500 ถ้าฉันจะไปนะ ฉันไป 4 ล้อเว้ย
ผม : เคร ๆ จะรีบลงไปหาหยกมัน
ตาบอย : รีบไปเลยนะ หยกมันรออยู่
ผมก็สงสัยว่า ในเมื่อหยกรับโทรศัพท์ผมไม่ได้ ทำไมมันคุยกับตาบอยได้ แต่คงได้แหละ เพราะผมใช้ Dtac ส่วนเพื่อน ๆ เขาใช้ AIS กัน มันคงมีสัญญาณล่ะมั้ง
ผมขับลงมาทางเดิม เลี้ยวเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่นท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก ทางลงจ๊อกกระดิ่นเป็นทางชันมาก ๆ และลื่น บางจุดด้านขวามือเป็นเหวลึก ต้องขับระมัดระวังมาก ๆ ครับ
เมื่อผมลงไปถึงน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ผมเห็น 500x กับ Camry แก่ๆ จอดเคียงคู่กัน เอ้า ไอ้พวกนี้หลอกผมซะแล้ว ตาบอยแอบขับรถพาเพื่อนและครอบครัวตามมาสมทบด้วย (ผมดีใจมากครับที่เพื่อนมา) จากนั้นฝนเทลงมาหนักมากครับ ภาพน้ำตกตรงหน้าแทบไม่เชื่อสายตา
ภาพนี้น้าหยกถ่ายไว้เมื่อ 5 เดือนก่อน
จ๊อกกระดิ่นวันนี้
ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นเลยครับ น้ำแดงน่ากลัว ไม่รู้ว่าน้ำป่าจะเทซัดลงมาอีกเมื่อใด เพราะฝนแรงมาก ๆ
เราเลยประชุมกันที่ป้อมยามหน้าทางเข้าน้ำตกนั่นเลยว่า เย็นนี้เราจะกินอะไร เพราะกลายเป็นว่า เมื่อต่างคนต่างหลอกกันมา ไม่มีใครเตรียมอะไรมานอกจากเตาแก๊สและกาแฟเท่านั้น!!!!!
น้าหยกเลยต้องควบ 500x ขึ้นไปบ้านอีต่องอีกรอบเพื่อไปหาเสบียงให้ชาวคณะ ทั้ง ๆ ที่แกเพิ่งจะลงมา เราที่เหลือก็มุ่งหน้าไปที่ อช. ทองผาภูมิ จุดแค้มปิ้งของเรา
ทางขึ้นที่พักของเราในวันนี้
ฝนตกทั้งคืนครับ แต่ตกไม่หนักมาก โปรยปราย อากาศเย็นพอประมาณ หลับสบายมากครับ ตื่นเช้ามา เรารีบเดินไปถ่ายภาพหวังว่าฟ้าจะเปิดโอกาสให้เราเห็นเขาช้างเผือกบ้าง แต่ว่า............
ภาพที่น้าหยกถ่ายไว้เมื่อวาน
ภาพที่ผมเห็นในเช้าวันนี้
นี่คงเป็นดวงจริง ๆ กระมัง ฟ้าไม่เปิดเลยครับ ท้องฟ้ามืดครึ้ม หมอกหนามาก ๆ ลมพัดแรงหมอกฟุ้งกระจายไปทั่ว
พวกเรารีบเก็บสัมภาระแข่งกับสายฝนที่ค่อย ๆ หนาเม็ดขึ้น เราจะกลับไปกินข้าวเช้ากันที่บ้านอีต่อง และขึ้นเนินช้างศึกกันอีกรอบ
ขากลับนี่ยากกว่าขึ้นครับ ทางลื่น เป็นโคลนบางจุดและชันด้วยครับ

เรากลับไปบ้านอีต่องอีกรอบครับ ฟ้าเปิดใสแล้วสวยเลยเชียวเช้านี้ จุดหมายคือ ร้านลุงบุญมีครับ จัดเลยเต็มที่
อากาศดีมาก ๆ ครับ ชื้น แต่สดชื่นมาก ๆ
เมนูร้านมีอะไรดี สั่งหมด แก๊งนี้ กิน ๆ ๆ
ไฟสปอร์ตไลท์ผมมีอาการน๊อตหลวม โคมคลอนไปมา โชคดีที่เรามีช่างหยก ส่วนครูเปิ้ล ไม่รู้อะไรทั้งนั้น อิอิ
จากนั้นเมื่ออิ่มแล้ว เราขับรถขึ้นไปที่ช่องมิตรภาพครับ ชายแดนไทยพม่า วันนี้จะไปเที่ยวต่างประเทศซะหน่อย
เมื่อ Phantom & 500x และ Camry เที่ยวอีต่อง ทองผาภูมิ กาญจนบุรี
คนบ้าที่ผมกล่าวถึงนัน ไม่ได้หมายถึงสมญานามที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์มอบให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ Suzuki แต่อย่างใด แต่หมายถึง คนที่ท่องเที่ยวไปตลอดแม้กระทั่งในฤดูฝนตกหนัก พายุเข้า ลมจะมา ก็ยังจะไปให้ได้ ขอให้ได้เที่ยวเถอะ
1 ต.ค. 58 ข้อความใน Line กลุ่มลูกเป็ด ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มของเพื่อนสนิทที่ชอบท่องเที่ยวป่าเขาด้วยกัน ได้เด้งเข้ามา โดยน้าหยก (bananablack) เจ้าของ CB500x เป็นผู้เปิดประเด็นว่าอยากจะไปเที่ยวเหลือเกิน ทนไม่ไหวแล้ว เพราะทำงานมาอย่างยาวนาน อีกทั้งวันหยุดไม่ตรงกับเพื่อน ๆ เขา โดยครั้งนี้เขาเลือกที่จะไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่น (ถึงแม้ว่าปีนี้ แกจะไปมา 3 ครั้งแล้วก็ตาม ไม่รู้มีอะไรกับที่นี่นักหนา)
เมื่อเอ่ยปากชวนเพื่อนในกลุ่มไลน์แล้ว แกก็บอกว่า พรุ่งนี้จะออกเดินทางล่ะนะ ใครจะไปก็ตามมาเลย แกจะมานอนล่วงหน้าก่อน เพื่อนในกลุ่มไลน์ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ก็มีแค่ผมกับน้าหยกสองคนเท่านั้น (เขาถึงเรียกเราสองคนว่าพวก 500) คนอื่นในกลุ่มเขาเอารถ 4 ล้อไป วันรุ่งขึ้นน้าหยกก็ Check in ในเฟซบุ๊คเรียบร้อยว่า ตอนนี้กินข้าวอยู่แยกบ้านโป่งล่ะนะ ฟ้าแจ่มใส
ลำพังตัวน้าหยกเองนั้นอยู่กรุงเทพฯ ผมเองอยู่อยุธยา เพื่อนที่เหลืออยู่ปทุมธานี คนละซีกกันเลย จึงไม่มีใครรับปากว่าจะตามไปไหม ต่างคนต่างเงียบกันไปหมด
ผมเองตัดสินใจแล้วว่า "ไป" หลังจากโทรนัดหมายภรรยาเรียบร้อย (อยู่สิงห์บุรี) ผมก็เอาแฟนท่อมไปตรวจเช็คก่อนออกเดินทางอีกครั้งที่ศูนย์บริการ ก่อนจะไปรับรถในตอนเย็นของวันที่ 2 ต.ค. ก็จัดข้าวของกันหน้าศูนย์บริการนั่นเลย ก่อนจะออกเดินทางจากอยุธยาไปรับภรรยาผมที่สิงห์บุรีเสียก่อน ตอนนั้นเป็นเวลา 16.30 น.
ระยะทาง 70 กม. ผมใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ มาถึงบ้านก็จัดของขึ้นรถอีกครั้ง ก่อนจะขับไปต่อ จุดหมายคืนแรกคือสุพรรณบุรี บ้านพ่อกับแม่ผมเอง พักค้างคืนที่นี่ ก่อนจะออกเดินทางต่อในตอนเช้า ตั้งใจว่าจะออกเดินทางประมาณตี 4 ครับ
แต่คืนนั้นฝนตกหนัก หนักแบบหนักมาก ตี 4 ก็แล้ว ตี 5 ก็แล้ว จน 7 โมงเช้า ฝนมันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงไป พ่อผมถามแล้วถามอีกว่า จะไปแน่เหรอลูก มันอันตรายนะ แต่ผมก็ยืนยันว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวขับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบระมัดระวังเอา จน 7 โมงครึ่งเราถึงได้ออกเดินทาง ผมใช้ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 70 กม.ต่อชั่วโมง วันนี้ไม่ค่อยมีรถราออกมาวิ่งสักเท่าไหร่เลยทั้งที่สายมากแล้ว ผมใช้เส้นทางถนนมาลัยแมน ผ่านอำเภออู่ทอง ตรงไปแยกจรเข้สามพัน เลี้ยวขวามุ่งตรงไปยังอำเภอพนมทวน และตัวเมืองกาญจนบุรีตามลำดับ ระยะทางในเบื้องต้นคือ 92 กม.
ผมและภรรยาสวมชุดกันฝนแบบสองชิ้น ชุดกันฝนแบบนี้ใช้งานสะดวกและกันฝนได้ดีกว่าแบบปันโจมาก และดีกว่าที่มีขายบาง ๆ ตาม 7-11 ครับ ราคาชุดละ 150 บาท แต่ต้องระวังเพราะขาดง่ายเหมือนกัน สวมชุดนี้ทับเสื้อการ์ดไปเลย ขับตอนฝนตกแล้วรู้สึกมั่นใจมาก
ผมมาถึงตัวเมืองกาญจนบุรีเอาตอนประมาณ 10 โมงเช้า เจอกลุ่มบิ๊กไบค์หลาย ๆ คันจอดพักตามปั๊มน้ำมัน เป้าหมายของพวกเขาก็น่าจะเป็นที่เดียวกันกับผม ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว แต่ฟ้าก็ยังมีสีเข้มอยู่ ผมเก็บชุดกันฝน และออกเดินทางต่อ ระยะทางจนถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมินั้นอยู่ที่ 204 กม. ต้องใช้ระยะเวลาการขับรถไม่น้อยกว่า 3 ชม. เลยทีเดียว ผมขับไปเรื่อย ๆ ความเร็วอยู่ที่ 90 กม./ ชม. สำหรับแฟนท่อมนั้น ความเร็วที่ผมไม่รู้สึกว่าเค้นเครื่องมากเกินไปอยู่ที่ 90-100 กม./ชม. หากมากกว่านี้จะรู้สึกว่าเครื่องสั่นขึ้นมากทีเดียว ผมแวะซื้อน้ำมันเครื่องกระป๋องเล็กติดไปด้วย เนื่องจากว่าหากเจอเหตุสุดวิสัยน้ำมันเครื่องหาย จะได้มีเติมแก้ปัญหา (รถผม Overhual เครื่องมาใหม่จากศูนย์ เพิ่งวิ่งไปสองพันกว่ากิโลเมตร แต่ก็กันไว้ก่อน)
ประมาณเที่ยงครึ่ง ผมก็ขับรถมาถึงตัวอำเภอทองผาภูมิ ผมแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนที่จะขึ้นไป ที่ปั๊ม ปตท. แห่งนี้ เป็นปั๊มสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเขา จะมีชาวมอเตอร์ไซค์จำนวนมากมาแวะพักและเติมน้ำมันที่จุดนี้กันเยอะทีเดียว
จากนั้นก็จัดการมื้อกลางวันกับร้านข้าวเจ้าประจำที่มาทีไรต้องแวะกินทุกครั้ง หลังจากข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแล้ว ร้านอยู่ซ้ายมือ ข้าวมันไก่ไหหลำ แต่วันนี้ผมจัดข้าวหมูแดง
ผมโทรศัพท์หาน้าหยก แต่ติดต่อไม่ได้ น้าหยกคงเข้าไปในอุทยาน หรือไม่ก็ไปเที่ยวจุดอื่นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์ แต่ก็ยังฝากข้อความในไลน์ไว้ว่า ให้รีบขึ้นมาเลย บรรยากาศกำลังฟินสุด ๆ
ภาพเครดิตน้าหยก ตามไลน์ของแก บร๊ะ ภาพตัวอย่างของแกนี่มันชวนฟินจริง ๆ ด้วย
แถมยังบอกว่า ไม่ต้องซื้ออะไรขึ้นมาทำกินเลยนะ ที่นี่มีขายทุกอย่าง รีบขึ้นมา ๆ
ไม่รอช้า ผมก็รีบขับรถตามขึ้นไปเลย แฟนท่อมของผมนั้น เป็นรุ่นที่ 2 ปี 2547 ติดชิลด์หน้า กันล้มหน้าหลัง กล่องหน้าหลัง สปอร์ตไลท์ น้ำหนักตัวรถเปล่า ๆ ก็ไปเข้าไปกว่า 150 กก. บรรทุกผู้โดยสารคือผม (70 กก.) ภรรยาผม (49 กก.) สัมภาระเต๊นท์ ถุงนอน เสื้อผ้า (ประมาณ 12 กก.) แรก ๆ เป็นทางราบ ๆ สลับเนินเขา รถทำความเร็วได้ดีพอสมควร พอเลี้ยวซ้ายขึ้นภูเขา สภาพถนนไม่ดีเลย ผมต้องใช้เกียร์ 1-2 ตลอดระยะทาง เพราะต้องคอยหลบหลุม อีกทั้งถนนเป็นเม็ดกรวด น้ำขังตามหลุมที่มองไม่เห็น ทางยังลื่นมาก ๆ ต้องระมัดระวังมาก ๆ ครับ
บ่ายโมงครึ่ง ผมขึ้นมาถึงจุดชมวิวมองเห็นทิวทัศน์อ่างเก็บน้ำชัดเจน และผมเจอสมาชิกกลุ่ม Phantom club ที่ขับรถสวนลงมาที่นี่เองหลายคันเลย พวกเขามาจากระยองกัน มาไกลจริง ๆ
บ่ายสองโมง ผมก็ขึ้นมาจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ทำการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ผมก็ยังติดต่อน้าหยกไม่ได้ ผมตัดสินใจขับขึ้นไปตามหา 500x ต้องอยู่บนนั้นแหละแน่นอน
ระยะทาง 8 กม. จากที่ทำการถึงหมู่บ้านอีต่อง ชายแดนไทยพม่า บอกเลยว่า ถนนทำทางใหม่ แต่ทางแย่มาก ยางมะตอยมีสภาพเป็นกรวดดำ ๆ ลื่น ๆ ต้องใช้ความระมัดระวังมาก ๆ ในการขับขี่ หากพลาดมีโอกาสคว่ำได้เลย
ผมขึ้นไปถึงหมู่บ้านอีต่อง มองหา 500X หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอีกแล้ว ละอองฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบาง ๆ ผมเลยตัดสินใจขับขึ้นไปดูบนยอดเนินช้างศึก เส้นทางนี้หลายท่านคงทราบดีว่ามันเหมาะกับรถ Motocross มากกว่า แต่ก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งครับ อากาศเปลี่ยนอย่างรวดเร็วมาก ๆ จากสว่างไปมืด ลมพัดแรงขึ้น
เชิญซึมซับบรรยากาศครับ
จอดรถปุ๊บ ฝนลงทันที
เมื่อเราขึ้นมาถึงยอดฐาน ตชด. เราไม่เจอใครเลย ทันใดนั้นสายฝนก็โปรยปรายลงมา ผมกำลังจะลง พลันก็มีสายโทรศัพท์เข้าจากเพื่อนในกลุ่มอีกคนนึงชื่อตาบอย
ตาบอย : เฮ้ย เปิ้ล แกอยู่ไหนอ่ะ ไอ้หยกมันตามหาอยู่
ผม : ฉันอยู่บนเนินช้างศึกเนี๊ยะ หยกมันอยู่ไหนล่ะ
ตาบอย : หยกมันบอกว่า มันรอแกอยู่ที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่นนะ ให้แกรีบไปเลย
ผม : แล้วแกมาด้วยเหรอ
ตาบอย : บ้า จะไปทำไมฝนตก ๆ นั่งต่อโม (โมเดล) อยู่บ้านดีกว่า พวกแกมันพวก 500 ถ้าฉันจะไปนะ ฉันไป 4 ล้อเว้ย
ผม : เคร ๆ จะรีบลงไปหาหยกมัน
ตาบอย : รีบไปเลยนะ หยกมันรออยู่
ผมก็สงสัยว่า ในเมื่อหยกรับโทรศัพท์ผมไม่ได้ ทำไมมันคุยกับตาบอยได้ แต่คงได้แหละ เพราะผมใช้ Dtac ส่วนเพื่อน ๆ เขาใช้ AIS กัน มันคงมีสัญญาณล่ะมั้ง
ผมขับลงมาทางเดิม เลี้ยวเข้าน้ำตกจ๊อกกระดิ่นท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก ทางลงจ๊อกกระดิ่นเป็นทางชันมาก ๆ และลื่น บางจุดด้านขวามือเป็นเหวลึก ต้องขับระมัดระวังมาก ๆ ครับ
เมื่อผมลงไปถึงน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ผมเห็น 500x กับ Camry แก่ๆ จอดเคียงคู่กัน เอ้า ไอ้พวกนี้หลอกผมซะแล้ว ตาบอยแอบขับรถพาเพื่อนและครอบครัวตามมาสมทบด้วย (ผมดีใจมากครับที่เพื่อนมา) จากนั้นฝนเทลงมาหนักมากครับ ภาพน้ำตกตรงหน้าแทบไม่เชื่อสายตา
ภาพนี้น้าหยกถ่ายไว้เมื่อ 5 เดือนก่อน
จ๊อกกระดิ่นวันนี้
ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นเลยครับ น้ำแดงน่ากลัว ไม่รู้ว่าน้ำป่าจะเทซัดลงมาอีกเมื่อใด เพราะฝนแรงมาก ๆ
เราเลยประชุมกันที่ป้อมยามหน้าทางเข้าน้ำตกนั่นเลยว่า เย็นนี้เราจะกินอะไร เพราะกลายเป็นว่า เมื่อต่างคนต่างหลอกกันมา ไม่มีใครเตรียมอะไรมานอกจากเตาแก๊สและกาแฟเท่านั้น!!!!!
น้าหยกเลยต้องควบ 500x ขึ้นไปบ้านอีต่องอีกรอบเพื่อไปหาเสบียงให้ชาวคณะ ทั้ง ๆ ที่แกเพิ่งจะลงมา เราที่เหลือก็มุ่งหน้าไปที่ อช. ทองผาภูมิ จุดแค้มปิ้งของเรา
ทางขึ้นที่พักของเราในวันนี้
ฝนตกทั้งคืนครับ แต่ตกไม่หนักมาก โปรยปราย อากาศเย็นพอประมาณ หลับสบายมากครับ ตื่นเช้ามา เรารีบเดินไปถ่ายภาพหวังว่าฟ้าจะเปิดโอกาสให้เราเห็นเขาช้างเผือกบ้าง แต่ว่า............
ภาพที่น้าหยกถ่ายไว้เมื่อวาน
ภาพที่ผมเห็นในเช้าวันนี้
นี่คงเป็นดวงจริง ๆ กระมัง ฟ้าไม่เปิดเลยครับ ท้องฟ้ามืดครึ้ม หมอกหนามาก ๆ ลมพัดแรงหมอกฟุ้งกระจายไปทั่ว
พวกเรารีบเก็บสัมภาระแข่งกับสายฝนที่ค่อย ๆ หนาเม็ดขึ้น เราจะกลับไปกินข้าวเช้ากันที่บ้านอีต่อง และขึ้นเนินช้างศึกกันอีกรอบ
ขากลับนี่ยากกว่าขึ้นครับ ทางลื่น เป็นโคลนบางจุดและชันด้วยครับ
เรากลับไปบ้านอีต่องอีกรอบครับ ฟ้าเปิดใสแล้วสวยเลยเชียวเช้านี้ จุดหมายคือ ร้านลุงบุญมีครับ จัดเลยเต็มที่
อากาศดีมาก ๆ ครับ ชื้น แต่สดชื่นมาก ๆ
เมนูร้านมีอะไรดี สั่งหมด แก๊งนี้ กิน ๆ ๆ
ไฟสปอร์ตไลท์ผมมีอาการน๊อตหลวม โคมคลอนไปมา โชคดีที่เรามีช่างหยก ส่วนครูเปิ้ล ไม่รู้อะไรทั้งนั้น อิอิ
จากนั้นเมื่ออิ่มแล้ว เราขับรถขึ้นไปที่ช่องมิตรภาพครับ ชายแดนไทยพม่า วันนี้จะไปเที่ยวต่างประเทศซะหน่อย