โรงพยาบาลคือแหล่งรวมวัณโรค...กลัวมั้ย

เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงของเรานะคะ

เราเป็นไทรอยด์แบบไม่เป็นพิษ ต้องเทียวเข้าโรงพยาบาลเพื่อเช็คความคืบหน้า เเละรับยากลับมาทาน โดยใช้สิทธ์ประกันสังคม ซึ่ง...
ในการไปเเต่ละครั้งก็ต้องรอนานมากๆ เช่น ตื่นตั้งเเต่ตี 5 ไปโรงพยาบาลเพื่อไปเอาคิว รอหมอมา 8.30 กว่าจะได้ตรวจก็ 10 -11 โมง หรือเเล้วเเต่
หมอจะกรุณามาโปรดเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นจะทำอะไรได้ละ ก็หาข้าวทานเเเล้วกลับมานั่งรอหมอหน้าห้อง เเละจุดที่รอจะเป็นแผนกตรวจทั่วไป หรือ
ตรวจเฉพาะหู ตา คอ จมูก เเน่นอนว่าคนที่เป็นหวัด เป็นไข้ หรือสงสัยว่ากำลังจะเป็น รวมไปถึง คนตั้งครรรภ์รอตรวจด้วย!เพราะตรงนั้นก็มีแผนกสูตินรีเช่นกัน!!!

อาการของเราเเค่ตรวจไทรอยด์ รอรับยาก็กลับบ้าน ใช้ชีวิตปกติ แต่การมาโรงพยาบาลเเต่ละครั้งนั้น ใช้เวลานาน นั่งรวมกับคนเป็นสารพัดโรค
จนต่อมา...มีช่วงที่ร่างกายอาจจะอ่อนเเอ จึงทำให้เราติดเชื้อวัณโรค เราไอหนักมาก เหนื่อย เจ็บหน้าอก หายใจไม่สุด ทำให้หลังจากนี้มาร.พ.ทีนึง
ก็รักษา 2 โรคไปเลย ตอนเเรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าติดจากที่ไหน จนเราต้องมาร.พ.บ่อยๆ รอนานๆ ไม่เคยใส่หน้ากากเลยตั้งเเต่เเรก พอเป็นวัณโรค เราก็เริ่มใส่หน้ากากเพื่อไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน

บรรยากาศอุดอู้มากตามประสาสิทธิประกันสังคม (ทั้งที่เป็นร.พ.เอกชน) จนเอะใจ ฉลาดขึ้น เพราะไปนั่งใกล้ผู้ชายคนนึงไอหนักมาก เเต่ไม่ใส่หน้ากาก
เเต่ก็ยังมีหลายๆคน คุณลุง คุณป้า คนท้องที่นั่งตรงนั้น ไม่มีใครหาหน้ากากมาใส่เลย เราเลยบางอ้อ จึงขอสันนิษฐานไว้ก่อนว่าติดจากโรงพยาบาล!  
เรากินยาตามหมอสั่งจนหาย ตรวจซ้ำเเล้วซ้ำอีก หมอก็ว่าหายเเล้ว เเต่จะกลับมาเป็นอีกได้ ถ้าร่างกายอ่อนเเอ เราสบายใจขึ้น เเละเปิดใจคุยกับคุณหมอ
ในเรื่องที่คาใจ เราถามว่าทำไมร.พ.ไม่ออกกฏให้ใส่หน้ากากโดยเฉพาะแผนก หู คอ จมูก เพราะเป็นโรคทางเดินหายใจที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ!

คุณหมอบอกเราง่ายๆ ว่า "โรงพยาบาลไม่ได้ inter ขนาดนั้น เค้าไม่ได้สนใจด้วยว่าใครจะเป็นอะไรยังไง"
คือประมาณว่ามีโรงพยาบาลมีหมอไว้ตรวจ จ่ายยา เก็บเงิน จบ!นี่คือหน้าที่ของโรงพยาบาลเท่านั้น (หรือ)

คุณหมอบอกว่าคนที่เเข็งเเรงเท่านั้น ที่จะไม่เป็น เเต่เรากลับมองว่า คนที่มาโรงพยาบาล ก็ป่วยๆมาทั้งนั้น ลูกใคร เเม่ใครบ้าง จากไม่เป็นก็จะเป็น
เอาตอนที่มาโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกเองเลยว่าคนส่วนใหญ่เป็นเพราะได้รับเชื้อจากโรงพยาบาลนี่เเหล่ะ เเละยังย้ำอีกว่า
"โรงพยาบาลเป็นเเหล่งเพาะเชื้อวัณโรคที่ใหญ่ที่สุด วัณโรคในประเทศไทยจึงไม่เคยหมดไปเลย"
จึงทำให้เรามั่นใจว่าเราได้เชื้อนี้มาจากโรงพยาบาลนี่เเหล่ะ
นี่มันปัญหาระดับประเทศหรือเปล่าเนี่ย ???

เราเเนะต่ออีกว่าอย่างน้อยๆ บังคับให้คนที่มาใส่หน้ากากไม่ได้เหรอ หรือทางโรงพยาบาลเเจกให้ทุกคนใส่ไม่ได้เหรอ
คุณหมอบอกว่า เราทำอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้หย่อนคำเเนะนำลงในกล่องที่ร.พ.มีให้เค้าก็ไม่สนหรอก เหนื่อยเขียนเปล่า ๆ
เราก็ได้เเต่เฮ้อ ! เพราะข่าวทุกวันนี้ยังมีคนเป็นวัณโรคตายเยอะเเยะไปหมด อย่าว่าเเต่สมัยโบราณเลย ทุกวันนี้ก็ยังตาย ยังร้ายเเรงนะ
ทำไมระบบการจัดการกับเรื่องเเค่นี้ยังทำไม่ได้ ทำไมร.พ. (ทั่วประเทศ) มันกระจอกงอกง่อยเบบนี้นะ ทำได้เเค่มานั่งรักษากันไป การเเพร่เชื้อก็มีต่อไป

ภาพที่เห็นคือไม่ใช่เเค่คุณตา คุณยาย ที่มาโรงพยาบาลเพราะป่วยอย่างอื่นบ้าง เเต่วัยรุ่นวัยทำงานก็มารักษาวัณโรคกันไม่น้อย
ไม่เชื่อ ค้นหาคำว่า "วัณโรค" เเค่ใน pantip ดูสิ เพียบ!

คิดแต่ว่าทำไมนะ การที่ต้องกินยาตลอด 6 เดือนมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย กินทีก็เกือบ 10 เม็ด ฉี่ออกมาก็เป็นสีส้ม-แดง ยาก็ทำให้เบลอ
มาก ใช้ชีวิตยากลำบาก ถ้าต้องเข้าประชุม บอกเลยว่าพูดไม่รู้เรื่อง หรือถ้าตรวจพบก็เชิญให้ออก หรือพักงาน ถ้าใครเป็นเเล้วต้องไปสมัครงาน
เค้าก็ไม่รับ ที่น่ากลัวกว่านั้น บางคนก็ไม่มาหาหมอเลย  เเพร่เชื้อไปเท่าไหร่เเล้วก็ไม่รู้ ไอ้เเค่ไอเฉยๆคนทั่วไปอาจจะนึกว่าเเค่หวัดกระมัง
ไม่เป็นอะไร อยู่ใกล้ได้ เเต่ประสบการณ์สอนเราว่า ต่อไปนี้ใครไอ ต้องไม่อายที่จะเดินหนี อยู่ให้ห่างไว้เลย เรากลัวที่จะกลับไปเป็นอีก ทุกวันนี้เราออกกำลังกาย เพื่อให้ตัวเองเเข็งเเรง มันเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่ที่จะห่างไกลจากโรคนี้ได้

ที่เราเขียนขึ้นมาเพื่ออยากเตือนทุกคนที่ต้องไปโรงพยาบาล ว่าระวังจะได้โรคเเถมกลับมา ทำได้เท่านี้ เพราะใจจริง
อยากให้มีการออกกฏให้โรงพยาบาลทั่วประเทศทำให้ดีกว่านี้ นี่มันย่อหย่อน ทั้งที่รู้แก่ใจ...ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?

ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่