เรื่องเล่าจากชิวิตจริง : เทวดาบนดิน By;เสธ นุ๊ก

กระทู้สนทนา
เทวดาบนดิน                    โดย : เสธ นุ๊ก อยุธยา
เรื่องราวดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริง จากผม(ลูกชายคนเล็กของพ่อ)ขอมอบเรื่องเล่าเพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่ได้อ่าน เพื่อนำคำสอนของพ่อไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
เรื่องราว เทวดาบนดิน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับ คุณพ่อชัยยงค์ เอกพร ผู้ล่วงลับ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยเนื่องจาก บางช่วงบางตอน ผู้เป็นพ่อ ได้เล่าให้ฟังอีกที ส่วนหลังจาก 20 ปีที่ผ่านมา ขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ เพราะ เป็นเรื่องที่จำความได้มาเป็นอย่างดี
พ่อผมชื่อ นายชัยยงค์ เอกพร ชื่อเล่น หย่ง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2489 เป็นบุตรของ นายทองย้อย เอกพร และ นางฉัตร เอกพร เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 9 คนของทั้งหมด
ในสมัยเด็ก พ่อถูกส่งไปเรียนในชั้นประถม 1-4 ที่โรงเรียนวัดกลางคลองวัฒนาราม อุปนิสัยของพ่อจะเป็นคนเรียบร้อย พูดจาเพราะ แต่ไม่ชอบเวลาใครมารังแก หรือเห็นผู้อื่นโดนรังแก พ่อผมก็จะเข้าไปผสมโรงด้วยเสมอ ด้วยความเป็นนักเลงเด็กวัด พ่อเล่าว่า สมัยก่อนเวลาที่กินข้าวด้วยกันใครทำข้าวหกลงพื้น ก็ต้องเสียค่าปรับให้พ่อ 1 สลึง 5555+ ทำตัวเหมือนมาเฟียเลยใช่ป่ะล่ะ พ่อเคยเล่าว่า มีคนโตกว่ามารังแก อยู่แถวๆวัดเจ้าเจ็ดใน พ่อก็ไปสู้กับเขา เวลาเดินผ่านไต้ถุนบ้านใคร ชาวบ้านแถวๆนั้นมักจะบอกว่า อย่าไปยุ่งกับมันเลยไอ้นี่มันเอาจริง และพ่อก็ยังเป็นลูกศิษย์คนแรก ของ อาจารย์ปัน เจ้าอาวาสคนเก่า เกจิชื่อดังย่านอำเภอเสนา จ.อยุธยา  เพราะก่อนหน้านี้ อาจารย์ปัน มาจากวัดอื่น และมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสที่นี่ เวลาหลวงตามาบิณฑบาตที่ไหน พ่อก็จะติดตามไปสม่ำเสมอ จนเรียนจบชั้น ป.4 พ่อมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ เพื่อเรียนต่อในระดับมัธยม ปู่เอาพ่อไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ กรุงเทพสมัยนั้น ให้คอยดูแลพ่อ เพราะท่านเจ้าคุณรู้จักกับพ่อ พ่อได้รับค่าอาหารจากปู่ย่าเทอมละ 70 บาท ข้าวสาร 1 ถัง ตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่ในกรุงเทพ และความแร้นแค้นก็เกิดขึ้นจนได้ เนื่องจากพระและสามเณรวัดมหาธาตุมีอยู่เป็นจำนวนมาก นับร้อย และประกอบกับผู้คนไม่ค่อยได้ออกมาทำบุญใส่บาตรกันเท่าไหร่ บางวัน พระก็กลับมาบาตรเปล่า ไม่มีคนมาใส่บาตร พระกลับมาจึงต่างเอาตัวรอดอย่างเช่น หุงข้าวฉันท์เอง มาม่า ทำให้บรรดาเด็กวัดทั้งหลาย เริ่มอดอยาก หนึ่งในนั้น ก็คือพ่อผม ตามที่พ่อเล่าก็คือ ต้องออกไปรับจ้างปั่นสามล้อถีบ ขายน้ำอัดลม ขายเรียงเบอร์ อยู่ที่สนามหลวง แต่ก็ยังไม่วายโดนแกล้งจนทำให้มีปากมีเสียงกันหลายต่อหลายครั้ง และพ่อเป็นคนที่สู้คนเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีเรื่องกันเป็นประจำ จนมีวันหนึ่ง รุ่นพี่ที่เรียนอยู่ ม.ธรรมศาสตร์ เขารู้จักกับพ่อ เพราะอาศัยวัดมหาธาตุเหมือนกัน มาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงเข้ามาห้าม และไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังห้ามทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ รุ่นพี่คนนี้จึงใช้วิธี ถามว่า “เอ้า..ใครที่มีเรื่องกัน ก็ให้ชกกันที่เวทีมวย แต่ห้ามรุม ถ้าใครแพ้ก็ต้องเลิกแล้วต่อกันไป” ต่างฝ่ายต่างตกลง ไอ้กลุ่มนั้นจึงส่งหัวหน้ากลุ่มของมันมาต่อยกับพ่อผม  เพราะหัวหน้ากลุ่มของมันโกรธพ่อผม เพราะสมัยที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน คือ รร.วัดมหาธาตุไอ้หัวหน้ากลุ่มนี้ มันนั่งข้างหลัง แล้วพ่อผมเป็นเด็กใหม่มาจากบ้านนอก พ่อบอกว่า มันอยากให้พ่อไปเป็นเบ๊มัน มันก็เลยผลักหัว ผลักอยู่หลายที จนพ่อผมทนไม่ไหว นึกในใจอยู่ว่า ถ้าผลักอีกทีนึง จะเอาปากกาแทงให้มือทะลุเลย แล้วมันก็ผลักจริงๆ พ่อเลยเอาปากกาแทงซะทะลุเลย หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องชกต่อยกันอยู่เรื่อยๆจนถึงวันที่รุ่นพี่มาเห็นเข้าและจับไปสู้กันบนเวที พ่อบอกว่า”วันนั้น พ่อเองก็กลัวๆเหมือนกัน เพราะมันมากันเป็น 10 คน ถ้ามันจะไม่ฟังรุ่นพี่แล้วรุมกระทืบทั้งพ่อและรุ่นพี่เลยมันก็ทำได้ แต่มันไม่ทำ มันเลือกที่จะสู้กันแบบตัวต่อตัวมากกว่า พ่อเลยจัดหนักให้มันไป เบ้าตาแตก ปากแตก ระบมไปทั้งตัวเลย รุ่นพี่ก็เลยถามกลับไปอีกว่า (จะมีใครสู้กับมันอีกมั้ย) ลูกน้องมันคนนึงตะโกนว่า โห่ ขนาดลูกพี่ผมยังโดนเละเลย ไม่เอาดีกว่า แล้วพวกมันก็ประคองลูกพี่มันกลับ” หลังจากนั้น พ่อก็ยังคง ขายน้ำอัดลม เรียงเบอร์ เหมือนเดิม โดยไม่มีใครมารังแกอีก แต่ต่างกับเพื่อนๆคนอื่นตรงที่ว่า พ่อมีเพื่อนสนิทๆแค่ 3 คน เพราะไม่มีใครมาคบด้วย เพราะเขากลัวพ่อ ตัวพ่อเองก็ยังนึกตลกว่า การต่อยครั้งนั้น ทำให้กูดังขนาดนี้เชียวหรือ ถึงขนาดไม่มีใครอยากคุยด้วย ทั้งแถวท่าพระจันทร์ และสนามหลวง  
(โปรดติดตามตอนต่อไป เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่