ผมยกมาแค่บางส่วน ถ้าใครอยากอ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆลิงค์นี้เลย
http://thaipublica.org/2015/10/tpl-4/
ไทยพับลิก้า: ในทางธุรกิจ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือว่ามาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง
ยัง สำหรับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แน่นอนเราเป็นสโมสรที่ทำธุรกิจเต็มตัว ไม่ได้ทำแค่เอามันเอาสนุกอย่างเดียว สิ่งที่สะท้อนคือ ถ้าไปดูโครงสร้างทางธุรกิจ ปี 2557 สโมสรมีรายได้ทั้งหมด 470 ล้านบาท มาจากการขายเสื้อ 4.6 แสนตัว เฉพาะยอดขายเสื้อทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียว มีมากกว่าของอีก 17 ทีมในไทยลีกที่เหลือ และ 20 ทีมในลีกวันรวมกัน ปี 2558 ก็หวังว่าจะให้แตะ 5 แสนตัว
แล้วเราอาจจะมีเป้าหมายแตกต่าง ถ้าไปดูทีมในไทยลีก ทุกทีมก็อาจจะหวังแชมป์ใดแชมป์หนี่ง แต่สำหรับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป้าหมายคือ Top 5 ของเอเชีย คือเราไม่มองเรื่องในประเทศแล้ว
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community: AEC) จะเปิดปลายปี 2558 เราตั้งเป้าว่าจะขยายฐานแฟนบอลไปในอาเซียน ใน 3 ปี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะต้องมีแฟนบอลในอาเซียนไม่ต่ำกว่า 2% ของประชากรทั้งหมด หรือจาก 600 ล้านคนจะเป็นแฟนบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่างน้อย 12 ล้านคน แล้วใน 12 ล้านคน ถ้ามีสัก 20% มาดูบุรีรัมย์ตัวเป็นๆ เล่นในสนามไอ-โมบาย สเตเดียม ทุกปี เราก็จะมีแฟน 2.4 ล้านคนต่อปี ที่มาดูบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในบ้าน ซึ่งใน 2.4 ล้านคน เราตั้งเป้าหมายว่าสัก 50% หรือ 1.2 ล้านคน จะซื้อเสื้อของบุรีรัมย์ ซึ่งมันไม่จริง เพราะมาเท่าไรก็ซื้อหมด แต่เราก็ตั้ง target ว่า เราจะขายเสื้อปีนึงประมาณ 1.2 ล้านตัว นี่คือ target ในทางธุรกิจของบุรีรัมย์
ต้นปี 2559 เราจะเริ่มทำตามเป้าหมายนี้ ในช่วง pre-season เรากำหนดไว้ 4 เกม เกมแรกเตะกับทีมปัตตานี เป็น CSR ของสโมสร เพราะเราถือเป็นภารกิจที่จะไปเยียวยาพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ รายได้ทั้งหมดยกให้เขา และทำให้เชื่อว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย อีก 3 เกม เราจะไปเตะที่กัมพูชา เวียดนาม ลาว เป็นการเปิด AEC เป็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทัวร์ เวลาเราไป เราก็เอาสปอนเซอร์ไปพร้อมเลย เรานัดอุ่นเครื่อง แล้วสปอนเซอร์เรา ทั้งช้าง ยามาฮ่า ไอ-โมบาย ฯลฯ ทั้งหมด ก็ไปทำ marketing พร้อมกับบุรีรัมย์
เราไม่มีสปอนเซอร์ เรามีแต่ partner หลักคิดมันต่างกันระหว่างบุรีรัมย์กับทีมฟุตบอลอื่นๆ ในไทย คนอื่นได้สปอนเซอร์มาก็แปะไว้บนเสื้อ ก็จบกัน ไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างไร แต่สำหรับบุรีรัมย์ คุณคือ partner ทำอย่างไรถึงจะ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้แฟนบอลมี brand loyalty กับพวกคุณ เหมือนกับที่มีให้กับทีม ดังนั้น ตัวเลขที่เราได้จากสปอนเซอร์ปีละ 200 กว่าล้าน อย่าแปลกใจ อย่างปีนี้ก็ 230 ล้านบาท จากรายได้ที่เราประมาณการว่าทั้งปีน่าจะได้ 560 ล้านบาท โตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 90 ล้านบาท แล้วมันก็จะโตไปเรื่อยๆ
ผมวางแผนจะเอาบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2560- 2561 ซึ่งจะทำให้เราแข็งแรงขึ้น และสามารถหานักฟุตบอลที่เกรดสูงกว่าที่มีอยู่มาเล่นให้แฟนบอล เพราะเขาเสียเงิน เสียเวลามาดูเกม ปรัชญาของเราจึงไม่ใช่เล่นเพื่อผลการแข่งขัน แต่ต้องเป็น entertainment game ด้วย จะเห็นว่าบุรีรัมย์เล่น 90 นาที ไม่มีหมด ไล่ตลอด ชนะก็ไม่ผ่อน
ไทยพับลิก้า: ที่บอกว่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่มีซูเปอร์สตาร์ เป็นเหตุผลของการที่นักฟุตบอลชื่อดังๆ ออกจากทีมในหลายปีที่ผ่านมาหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นขายออสมาร์ อิบันเญซ หรือชาริล ชัปปุยส์
มันเป็นเรื่อง commercial ด้วย ทุกครั้งที่เราตัดสินใจ ผมไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่ทำด้วยเหตุผล 2-3 อย่าง การขายผู้เล่นดีๆ ไม่ว่าจะออสมาร์, ฆาเบียร์ ปาตินโญ่, แฟรงก์ อาชิมปง หรือฟรองก์ โอฮันด์ซ่า ในทางธุรกิจ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็มีกำไร แต่กำไรที่ได้ไม่ได้มีแค่เงินอย่างเดียว ยังรวมถึง brand ที่ทำให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นที่รู้จัก ใครจะคิดว่าทีมอย่าง FC Seoul ของเกาหลีใต้ Anderlecht ของเบลเยี่ยม Henan Jianye ของจีน จะมาซื้อผู้เล่นของเรา กลายเป็นว่าในแง่ brand บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สำหรับผู้เล่น ไม่ใช่มาเพื่อจบชีวิตนักเตะ แต่มาเพื่อไปต่อ ฟอร์มคุณอาจจะเคยดรอปลง แต่ทีมของผมจะทำให้คุณกลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งแล้วไปต่อได้ ไม่เหมือนกับสโมสรอื่นๆ ในไทย ที่คิดว่ามาจบชีวิตค้าแข้ง
สิ่งที่จะตามมาก็คือ โอกาสที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะได้เซ็นสัญญากับนักเตะที่ดีกว่านี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนยอมรับแล้วว่า ไม่ใช่ทีมที่จะมาจบชีวิต แต่มาเพื่อสร้างตัวเองขึ้นไปได้อีก มันเป็นอีกมิติหนึ่ง นี่คือภาพลักษณ์ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในสายตาผู้เล่น ขณะที่ในสายตาทีมฟุตบอลอาชีพด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกาใต้ ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น เวลาเราติดต่อซื้อใครหรือมีข้อเสนออะไรไป ทีมอื่นอาจจะยาก แต่เราง่าย
“เนวิน ชิดชอบ” ใช้กีฬาสร้าง “sport city สู่ health city” หวังปักหมุด “บุรีรัมย์” บนแผนที่โลก
http://thaipublica.org/2015/10/tpl-4/
ไทยพับลิก้า: ในทางธุรกิจ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือว่ามาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง
ยัง สำหรับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แน่นอนเราเป็นสโมสรที่ทำธุรกิจเต็มตัว ไม่ได้ทำแค่เอามันเอาสนุกอย่างเดียว สิ่งที่สะท้อนคือ ถ้าไปดูโครงสร้างทางธุรกิจ ปี 2557 สโมสรมีรายได้ทั้งหมด 470 ล้านบาท มาจากการขายเสื้อ 4.6 แสนตัว เฉพาะยอดขายเสื้อทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียว มีมากกว่าของอีก 17 ทีมในไทยลีกที่เหลือ และ 20 ทีมในลีกวันรวมกัน ปี 2558 ก็หวังว่าจะให้แตะ 5 แสนตัว
แล้วเราอาจจะมีเป้าหมายแตกต่าง ถ้าไปดูทีมในไทยลีก ทุกทีมก็อาจจะหวังแชมป์ใดแชมป์หนี่ง แต่สำหรับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป้าหมายคือ Top 5 ของเอเชีย คือเราไม่มองเรื่องในประเทศแล้ว
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community: AEC) จะเปิดปลายปี 2558 เราตั้งเป้าว่าจะขยายฐานแฟนบอลไปในอาเซียน ใน 3 ปี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะต้องมีแฟนบอลในอาเซียนไม่ต่ำกว่า 2% ของประชากรทั้งหมด หรือจาก 600 ล้านคนจะเป็นแฟนบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่างน้อย 12 ล้านคน แล้วใน 12 ล้านคน ถ้ามีสัก 20% มาดูบุรีรัมย์ตัวเป็นๆ เล่นในสนามไอ-โมบาย สเตเดียม ทุกปี เราก็จะมีแฟน 2.4 ล้านคนต่อปี ที่มาดูบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในบ้าน ซึ่งใน 2.4 ล้านคน เราตั้งเป้าหมายว่าสัก 50% หรือ 1.2 ล้านคน จะซื้อเสื้อของบุรีรัมย์ ซึ่งมันไม่จริง เพราะมาเท่าไรก็ซื้อหมด แต่เราก็ตั้ง target ว่า เราจะขายเสื้อปีนึงประมาณ 1.2 ล้านตัว นี่คือ target ในทางธุรกิจของบุรีรัมย์
ต้นปี 2559 เราจะเริ่มทำตามเป้าหมายนี้ ในช่วง pre-season เรากำหนดไว้ 4 เกม เกมแรกเตะกับทีมปัตตานี เป็น CSR ของสโมสร เพราะเราถือเป็นภารกิจที่จะไปเยียวยาพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ รายได้ทั้งหมดยกให้เขา และทำให้เชื่อว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย อีก 3 เกม เราจะไปเตะที่กัมพูชา เวียดนาม ลาว เป็นการเปิด AEC เป็นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทัวร์ เวลาเราไป เราก็เอาสปอนเซอร์ไปพร้อมเลย เรานัดอุ่นเครื่อง แล้วสปอนเซอร์เรา ทั้งช้าง ยามาฮ่า ไอ-โมบาย ฯลฯ ทั้งหมด ก็ไปทำ marketing พร้อมกับบุรีรัมย์
เราไม่มีสปอนเซอร์ เรามีแต่ partner หลักคิดมันต่างกันระหว่างบุรีรัมย์กับทีมฟุตบอลอื่นๆ ในไทย คนอื่นได้สปอนเซอร์มาก็แปะไว้บนเสื้อ ก็จบกัน ไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างไร แต่สำหรับบุรีรัมย์ คุณคือ partner ทำอย่างไรถึงจะ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้แฟนบอลมี brand loyalty กับพวกคุณ เหมือนกับที่มีให้กับทีม ดังนั้น ตัวเลขที่เราได้จากสปอนเซอร์ปีละ 200 กว่าล้าน อย่าแปลกใจ อย่างปีนี้ก็ 230 ล้านบาท จากรายได้ที่เราประมาณการว่าทั้งปีน่าจะได้ 560 ล้านบาท โตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 90 ล้านบาท แล้วมันก็จะโตไปเรื่อยๆ
ผมวางแผนจะเอาบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2560- 2561 ซึ่งจะทำให้เราแข็งแรงขึ้น และสามารถหานักฟุตบอลที่เกรดสูงกว่าที่มีอยู่มาเล่นให้แฟนบอล เพราะเขาเสียเงิน เสียเวลามาดูเกม ปรัชญาของเราจึงไม่ใช่เล่นเพื่อผลการแข่งขัน แต่ต้องเป็น entertainment game ด้วย จะเห็นว่าบุรีรัมย์เล่น 90 นาที ไม่มีหมด ไล่ตลอด ชนะก็ไม่ผ่อน
ไทยพับลิก้า: ที่บอกว่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่มีซูเปอร์สตาร์ เป็นเหตุผลของการที่นักฟุตบอลชื่อดังๆ ออกจากทีมในหลายปีที่ผ่านมาหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นขายออสมาร์ อิบันเญซ หรือชาริล ชัปปุยส์
มันเป็นเรื่อง commercial ด้วย ทุกครั้งที่เราตัดสินใจ ผมไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่ทำด้วยเหตุผล 2-3 อย่าง การขายผู้เล่นดีๆ ไม่ว่าจะออสมาร์, ฆาเบียร์ ปาตินโญ่, แฟรงก์ อาชิมปง หรือฟรองก์ โอฮันด์ซ่า ในทางธุรกิจ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็มีกำไร แต่กำไรที่ได้ไม่ได้มีแค่เงินอย่างเดียว ยังรวมถึง brand ที่ทำให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นที่รู้จัก ใครจะคิดว่าทีมอย่าง FC Seoul ของเกาหลีใต้ Anderlecht ของเบลเยี่ยม Henan Jianye ของจีน จะมาซื้อผู้เล่นของเรา กลายเป็นว่าในแง่ brand บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สำหรับผู้เล่น ไม่ใช่มาเพื่อจบชีวิตนักเตะ แต่มาเพื่อไปต่อ ฟอร์มคุณอาจจะเคยดรอปลง แต่ทีมของผมจะทำให้คุณกลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้งแล้วไปต่อได้ ไม่เหมือนกับสโมสรอื่นๆ ในไทย ที่คิดว่ามาจบชีวิตค้าแข้ง
สิ่งที่จะตามมาก็คือ โอกาสที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะได้เซ็นสัญญากับนักเตะที่ดีกว่านี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนยอมรับแล้วว่า ไม่ใช่ทีมที่จะมาจบชีวิต แต่มาเพื่อสร้างตัวเองขึ้นไปได้อีก มันเป็นอีกมิติหนึ่ง นี่คือภาพลักษณ์ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในสายตาผู้เล่น ขณะที่ในสายตาทีมฟุตบอลอาชีพด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกาใต้ ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น เวลาเราติดต่อซื้อใครหรือมีข้อเสนออะไรไป ทีมอื่นอาจจะยาก แต่เราง่าย