บริษัท : การบินไทย
ทฤษฎี : Complimentary Place และ พันธมิตรทางการค้า (Relationship Marketing)
เมื่อกลางเดือนกันยายนปีนี้ผมได้มีโอกาสไปออกอีเวนท์งาน The Colours of Thailand ที่ห้าง Westfields London ประเทศอังกฤษในฐานะผู้จัดบูธ ซึ่งในงานนี้มีบริษัทจากประเทศไทยประมาณยี่สิบบูธ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ อย่าง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง การบินไทย หรือแม้กระทั้งแบรนด์เล็กๆโดยที่ยังไม่ติดตลาดมากนัก
สำหรับผมแล้วสิ่งที่สนุกกว่าการสังเกตุลูกค้าและการขายของในงานนี้คือการได้เห็น Marketing ของแบรนด์ไทยแต่ละแบรนด์ในการดึงลูกค้าสัญชาติอังกฤษให้เข้ามาที่บูธของตัวเอง
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของงานนี้เป็นการจัดเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวในไทย และเป็นการโปรโมทสินค้าให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักในอังกฤษ
สำหรับแบรนด์แรกที่จะพูดถึง คือ แบรนด์การบินไทย
การบินไทยได้ใช้กลยุทธ์ในการเลือกสถานที่ โดยการเลือกสถานที่ที่ติดกับบูธการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยหวังว่าลูกค้าหลังจากที่ได้รับการโปรโมทจากพนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแล้ว จะเข้ามาซื้อตั๋วกับการบินไทยแทนที่จะไปซื้อตั๋วของบริษัทอื่น และการบินไทยยังได้ยืมEntityของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปเต็มๆ
ส่วนทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็จะได้ผลประโยชน์ด้วย คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อยากปิดการขายให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจ โดยเกิด Win-Win situation ให้ทั้งการบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สำหรับการบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนั้นได้ใช้ประโยชน์จากพันธมิตรทางการค้า และการเลือกสถานที่ให้เกิดComplimentaryกันเพื่อเปิดการลดTransaction barrier โดยให้เกิดการ Run Business ที่ Smooth ที่สุด
บรรยากาศภายในงาน
บริษัท : Chang, Singha, Mama and Monsoon Valley
ทฤษฎี : การเพิ่มCustomer Value
เมื่อตามทฤษฎีแล้ว Value = Benefit/Cost ดังนั้นวิธีการที่จะเพิ่มValueให้กับตัวสินค้าสามารถทำได้สามทาง คือ 1. การเพิ่ม Benefit 2. การลดCost 3. ทั้งเพิ่มBenefitและลดCostในระยะเวลาเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วการเพิ่มBenefitให้ตัวสินค้านั้นต้องใช้ระยะเวลานาน และไม่สามารถทำได้ทันที ดังนั้นวิธีการมัดใจที่ผู้บริโภคที่นิยมกันคือการลดCost
Cost มีหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากสินค้าประเภทนี่เป็น Experience Goods บางทีผู้บริโภคก็จะลังเลใจว่า อร่อยหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วไม่ชอบจะทำอย่างไร คืนได้ไหม ความไม่มั่นใจในตัวสินค้าก็ถือว่าเป็นCostอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ขายอาหารและเครื่องดื่มจึงเสนอให้ทดลองชิมฟรี ซึ่งนั้นก็เป็นการลดCostของผู้บริโภควิธีนึง
สังเกตุได้จากบูธประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดในงาน The Colours of Thailand เองไม่ว่าจะเป็นบริษัทเบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง มาม่า ซึ่งให้พนักงานเดินแจกสินค้าทดลองฟรีทั่วงาน หรือแม้แต่บูธตามห้างในประเทศไทยทั่วไป ในช่วงการเพิ่มยอดขาย ได้มีกิจกรรมส่งเสริมการขายคือการแจกฟรีทั้งสิน ซึ่งทางร้านหวังหว่าหลังจากที่ลูกค้าได้ทดลองสินค้าไปจะชอบ และ หันมาซื้อสินค้า
อย่างไรก็ตามการลด Costนั้น อาจจะเป็นการเพิ่มCostให้กับตัวผู้ขายเอง ยกตัวอย่างเช่นเราขายขนมสายไหมให้Targetกลุ่มเด็กๆ แต่มนุษย์ป้ามาชิมสินค้าฟรีโดยที่ไม่ซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นการลดCostผิดกลุ่มTargetที่ไม่ใช่เป้าหมายเรา
นอกจากนี้แล้วทางผู้ประกอบการสามารถลดCostได้อีกหลายวิธีอาทิเช่น Search Cost, Acquisition Cost หรือ Exit Cost เป็นต้น
แบรนด์: Janjira Vs Imantra
กลยุทธ์: ประโยชน์จาก Competitors' Movement
วันแรกของขายได้ 180 ปอนด์ วันที่สองของขายได้ 800 ปอนด์ ทั้งๆที่Productตัวเดิม Priceเท่าเดิม Promotion เหมือนเดิม ประกอบในวันที่สองนั้นบริษัทคู่แข่งเพิ่มจำนวนคนขายและบริษัทคู่แข่งทำ Hard Sale มากขึ้น แต่ยอดขายเรากลับขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าบริษัทคู่แข่งเพราะอะไร
ผมได้มีโอกาสไปเป็นSalesmanให้กับProduct Janjira เป็นระยะเวลา 3 วัน โจทย์คือขาย Product Skincare และ Facialcare ในงาน The Colours of Thailand สำหรับ Product Skin Care แล้ว คงมี Gimmick ทางการตลาดให้เล่นไม่มาก หลายๆท่านอาจจะคิดว่าเดินไปอยู่หน้าซุ้มแล้วให้ยื่นสินค้าให้ลูกค้าลองเหมือนที่หลายๆร้านทำ วันแรกนั้นสินค้าขายได้น้อยมาก วันที่สองสินค้าขายดีมากทั้งๆที่คู่แข่งทำ Hard Sale
สาเหตุเพราะว่า บริษัทคู่แข่งใช้ความพยายามในการดึงลูกค้าให้เข้าสู่ร้านตัวเอง แต่เนื่องด้วยร้านของเราติดกัน และสามารถเปรียบเทียบสินค้าและราคาได้ในระยะสายตา แทนที่ลูกค้าจะไหลเข้าหาคู่แข่ง ลูกค้ากลับไหลเขาหาร้านเราโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้แล้วลูกค้ายังมี Anchor ราคาคู่แข่งที่แพงกว่า ทำให้สินค้าเราดูราคาเหมาะสมกับ Value มากขึ้นเยอะ ทีนี้เราก็แค่ติดป้ายตัวโตๆ เพี่อให้ลูกค้ามองเห็น ยืนอย่างสง่างาม และพอลูกค้าเดินเข้ามาถามก็อย่าปล่อยให้หลุดมือไป
บางที Competitors' Movement ก็ไม่ได้ทำให้บริษัทเจอ Threat อย่างเดียว แต่อาจจะเป็นการมอบ Opportunity ให้กับบริษัทเราด้วย ผู้ประกอบการควรจะศึกษา Competitive Advanatge ของตัวเอง ลองหาช่องทางเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และเผื่อให้คู่แข่งทำงานให้เรา สบายแฮ..
ถ้าชอบติดตามบล็อก เกร็ดความรู้ด้านMarketing ได้ที่
https://www.facebook.com/marketingeverydaystory?fref=ts คร้าบ
กลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ไทยในลอนดอน
ทฤษฎี : Complimentary Place และ พันธมิตรทางการค้า (Relationship Marketing)
เมื่อกลางเดือนกันยายนปีนี้ผมได้มีโอกาสไปออกอีเวนท์งาน The Colours of Thailand ที่ห้าง Westfields London ประเทศอังกฤษในฐานะผู้จัดบูธ ซึ่งในงานนี้มีบริษัทจากประเทศไทยประมาณยี่สิบบูธ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ อย่าง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง การบินไทย หรือแม้กระทั้งแบรนด์เล็กๆโดยที่ยังไม่ติดตลาดมากนัก
สำหรับผมแล้วสิ่งที่สนุกกว่าการสังเกตุลูกค้าและการขายของในงานนี้คือการได้เห็น Marketing ของแบรนด์ไทยแต่ละแบรนด์ในการดึงลูกค้าสัญชาติอังกฤษให้เข้ามาที่บูธของตัวเอง
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของงานนี้เป็นการจัดเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวในไทย และเป็นการโปรโมทสินค้าให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักในอังกฤษ
สำหรับแบรนด์แรกที่จะพูดถึง คือ แบรนด์การบินไทย
การบินไทยได้ใช้กลยุทธ์ในการเลือกสถานที่ โดยการเลือกสถานที่ที่ติดกับบูธการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยหวังว่าลูกค้าหลังจากที่ได้รับการโปรโมทจากพนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแล้ว จะเข้ามาซื้อตั๋วกับการบินไทยแทนที่จะไปซื้อตั๋วของบริษัทอื่น และการบินไทยยังได้ยืมEntityของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปเต็มๆ
ส่วนทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็จะได้ผลประโยชน์ด้วย คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อยากปิดการขายให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจ โดยเกิด Win-Win situation ให้ทั้งการบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สำหรับการบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนั้นได้ใช้ประโยชน์จากพันธมิตรทางการค้า และการเลือกสถานที่ให้เกิดComplimentaryกันเพื่อเปิดการลดTransaction barrier โดยให้เกิดการ Run Business ที่ Smooth ที่สุด
บรรยากาศภายในงาน
บริษัท : Chang, Singha, Mama and Monsoon Valley
ทฤษฎี : การเพิ่มCustomer Value
เมื่อตามทฤษฎีแล้ว Value = Benefit/Cost ดังนั้นวิธีการที่จะเพิ่มValueให้กับตัวสินค้าสามารถทำได้สามทาง คือ 1. การเพิ่ม Benefit 2. การลดCost 3. ทั้งเพิ่มBenefitและลดCostในระยะเวลาเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วการเพิ่มBenefitให้ตัวสินค้านั้นต้องใช้ระยะเวลานาน และไม่สามารถทำได้ทันที ดังนั้นวิธีการมัดใจที่ผู้บริโภคที่นิยมกันคือการลดCost
Cost มีหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากสินค้าประเภทนี่เป็น Experience Goods บางทีผู้บริโภคก็จะลังเลใจว่า อร่อยหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วไม่ชอบจะทำอย่างไร คืนได้ไหม ความไม่มั่นใจในตัวสินค้าก็ถือว่าเป็นCostอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ขายอาหารและเครื่องดื่มจึงเสนอให้ทดลองชิมฟรี ซึ่งนั้นก็เป็นการลดCostของผู้บริโภควิธีนึง
สังเกตุได้จากบูธประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่เปิดในงาน The Colours of Thailand เองไม่ว่าจะเป็นบริษัทเบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง มาม่า ซึ่งให้พนักงานเดินแจกสินค้าทดลองฟรีทั่วงาน หรือแม้แต่บูธตามห้างในประเทศไทยทั่วไป ในช่วงการเพิ่มยอดขาย ได้มีกิจกรรมส่งเสริมการขายคือการแจกฟรีทั้งสิน ซึ่งทางร้านหวังหว่าหลังจากที่ลูกค้าได้ทดลองสินค้าไปจะชอบ และ หันมาซื้อสินค้า
อย่างไรก็ตามการลด Costนั้น อาจจะเป็นการเพิ่มCostให้กับตัวผู้ขายเอง ยกตัวอย่างเช่นเราขายขนมสายไหมให้Targetกลุ่มเด็กๆ แต่มนุษย์ป้ามาชิมสินค้าฟรีโดยที่ไม่ซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นการลดCostผิดกลุ่มTargetที่ไม่ใช่เป้าหมายเรา
นอกจากนี้แล้วทางผู้ประกอบการสามารถลดCostได้อีกหลายวิธีอาทิเช่น Search Cost, Acquisition Cost หรือ Exit Cost เป็นต้น
แบรนด์: Janjira Vs Imantra
กลยุทธ์: ประโยชน์จาก Competitors' Movement
วันแรกของขายได้ 180 ปอนด์ วันที่สองของขายได้ 800 ปอนด์ ทั้งๆที่Productตัวเดิม Priceเท่าเดิม Promotion เหมือนเดิม ประกอบในวันที่สองนั้นบริษัทคู่แข่งเพิ่มจำนวนคนขายและบริษัทคู่แข่งทำ Hard Sale มากขึ้น แต่ยอดขายเรากลับขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าบริษัทคู่แข่งเพราะอะไร
ผมได้มีโอกาสไปเป็นSalesmanให้กับProduct Janjira เป็นระยะเวลา 3 วัน โจทย์คือขาย Product Skincare และ Facialcare ในงาน The Colours of Thailand สำหรับ Product Skin Care แล้ว คงมี Gimmick ทางการตลาดให้เล่นไม่มาก หลายๆท่านอาจจะคิดว่าเดินไปอยู่หน้าซุ้มแล้วให้ยื่นสินค้าให้ลูกค้าลองเหมือนที่หลายๆร้านทำ วันแรกนั้นสินค้าขายได้น้อยมาก วันที่สองสินค้าขายดีมากทั้งๆที่คู่แข่งทำ Hard Sale
สาเหตุเพราะว่า บริษัทคู่แข่งใช้ความพยายามในการดึงลูกค้าให้เข้าสู่ร้านตัวเอง แต่เนื่องด้วยร้านของเราติดกัน และสามารถเปรียบเทียบสินค้าและราคาได้ในระยะสายตา แทนที่ลูกค้าจะไหลเข้าหาคู่แข่ง ลูกค้ากลับไหลเขาหาร้านเราโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้แล้วลูกค้ายังมี Anchor ราคาคู่แข่งที่แพงกว่า ทำให้สินค้าเราดูราคาเหมาะสมกับ Value มากขึ้นเยอะ ทีนี้เราก็แค่ติดป้ายตัวโตๆ เพี่อให้ลูกค้ามองเห็น ยืนอย่างสง่างาม และพอลูกค้าเดินเข้ามาถามก็อย่าปล่อยให้หลุดมือไป
บางที Competitors' Movement ก็ไม่ได้ทำให้บริษัทเจอ Threat อย่างเดียว แต่อาจจะเป็นการมอบ Opportunity ให้กับบริษัทเราด้วย ผู้ประกอบการควรจะศึกษา Competitive Advanatge ของตัวเอง ลองหาช่องทางเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และเผื่อให้คู่แข่งทำงานให้เรา สบายแฮ..
ถ้าชอบติดตามบล็อก เกร็ดความรู้ด้านMarketing ได้ที่ https://www.facebook.com/marketingeverydaystory?fref=ts คร้าบ