สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้หนังครั้งแรกของเรา
ถ้าผิดพลาดยังไงรบกวนชี้แนะด้วยนะคะ ปกติเราอ่านอย่างเดียว 555
ส่วนตัวแล้วเป็นคนคลั่งเรื่องอวกาศค่ะ พอมีหนังเกี่ยวกับผจญภัยในอวกาศก็เลยไม่พลาดที่จะไปดู
ภาพประกอบจาก sciencefiction.com
แต่เผอิญไปเจอนิยายแปลไทย The Martian เหยียบนรกสุญญากาศ วางขายอยู่พอดี
เลยสอยมาตะลุยอ่านรวดเดียวจบ
อ่านจบอารมณ์ไม่จบ จินตนาการมันไม่ถึง เลยต้องรีบเข้าโรงไปดูภาพให้เต็มตา
หนังจบปุ๊บ ความคิดแรกเราคือ ไม่น่าอ่านนิยายมาก่อนเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย (ย.ยักษ์ร้อยตัว)
หนังสนุกค่ะ ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นการช่วยชีวิตคุณวัตนีย์ของเราไปพร้อมๆกับคนใน NASA
แต่สำหรับการ Survival บนดาวอังคาร มันกลับไม่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว และกดดันเท่าที่ควร
(ซึ่งอาจเป็นเพราะเราอ่านนิยายมาแล้ว)
หนังตัดเนื้อหาจากฉบับนิยายไปค่อนข้างเยอะ ในส่วนของการอธิบายทฤษฎี (อันแน่นเอี๊ยด) และดีเทลการใช้ชีวิตประจำวันของวัตนีย์
รวมไปถึงความเครียดของฝั่ง NASA ด้วยเช่นกัน
ซึ่งจุดนี้เราพอเข้าใจได้ เพราะหนังที่ดัดแปลงจากนิยายส่วนใหญ๋มักจะเป็นแบบนี้
สำหรับเราแล้วหนังค่อนข้างรวบรัดเกินไป แม้ว่าจะนำเสนอฉากสำคัญๆได้อย่างครบถ้วน
แต่เรากลับไม่ได้คิดตาม ไม่ได้ลุ้นจนตัวโก่ง หรือทึ่งกับวิธีการเอาชีวิตรอดของวัตนีย์ หรือแม้แต่ความอัจฉริยะของ NASA เท่าที่ควร
ยกตัวอย่างฉากสำคัญๆ ที่เราพอจำได้จากในหนังสือนะคะ
- ฉากสร้างน้ำจากการเผาไฮดราซีน เราค่อนข้างรู้สึกว่าในหนังสือให้ความสำคัญกับการคำนวณปริมาณสารต่างๆมาก
นั่นหมายความว่าถ้าวัตนีย์ทำผิดนิดเดียว ทุกอย่างจะล่มทันที แต่ในหนังมันดูง่ายมากเหมือนทำโครงงานวิทยาศาสตร์
- ฉากกู้ยานพาร์ทไฟน์เดอร์ ในหนังสือไอ้ยานนั่นมันหนักตั้ง 200 กิโลกรัมเลยนะ! แถมยังไม่มีเครนให้ยกอีก
เราจำได้ว่าตอนที่อ่านถึงฉากนี้เราทึ่งมากที่วัตนีย์คิดถึงยานที่ขาดการติดต่อไปเป็นทศวรรษแบบนี้ออก
และการดัดแปลงรถสำรวจครั้งแรก (แถมทนกลิ่นสุดรัญจวน22วัน) ยังลำบากลำบนต่อนู่นเติมนี่
ในหนังนี่ขับฉิวววว
-ฉากที่แฮ็บระเบิดทำออกมาได้ดีมาก มันดูสิ้นหวัง ที่ทางรอดเดียวโดนเป่ากระจุย แถมมันฝรั่งที่อุตส่าห์ถนอมยังเละ
ในหนังไม่ได้อธิบายว่าทำไมผ้าใบบุผนังแฮ็บถึงขาดได้ (หรือเราอาจจะฟังไม่ทัน)
วัตนีย์ในหนังสือดูดิ้นรนในการซ่อมชุดอีวีเอด้วยอุปกรณ์ผนึกรอยแตก(ในหนังใช้เทปกาว) แต่ออกจากห้องแอร์ล็อกไม่ได้ เนื่องจากมันรั่ว และมีอากาศในชุดไม่เพียงพอ และกว่าจะปรับความดันในชุดได้ สุดท้ายก็กลิ้งกลับไปหาแฮ็บ
ซึ่งจุดนี้หนังดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับห้องแอร์ล็อคมากเท่าที่ควร
กลายเป็นว่าวัตนีย์ชุดรั่ว >ซ่อม>ความดันในชุดเท่ากับระดับปกติ >เดินกลับไปตรวจสภาพแฮ็บ
ทั้งที่ในหนังสือ ห้องแอร์ล็อคมีบทบาทเยอะมาก เรียกว่าถ้าไม่มีมันวัตนีย์อาจจะดับอนาถไปนานแล้วก็ได้
- เสียดายมากที่สว่านพิฆาตพาร์ทไฟน์เดอร์ มีบทแค่เจาะรูบนรถสำรวจไม่ถึง 30 วินาที ทั้งที่มันเป็นความผิดพลาดใหญ่ของวัตนีย์เลยล่ะ
-ไม่มีฉากการดัดแปลงรถสำรวจ (และรถพ่วงที่โดนปล้นอะไหล่) เราเข้าใจว่ามันค่อนข้างกินเวลาในหนัง
แต่จากความพยายามดัดแปลงและการยัดเครื่องช่วยชีวิต แบตเตอร์รี่สำรอง และแผงโซล่าเซลล์ของวัตนีย์
เราอยากเห็นจุดนี้ในหนังด้วย เพราะเค้าต้องอยู่ในรถนั่นไปอีกอย่างน้อย 50 วันกว่าจะถึงจุดจอดยานนำขึ้นของ แอรีส 4
ที่เราเห็นในหนังกันคือ วัตนีย์ทำถุงลมขึ้นมา (พร้อมกับที่ทาง NASA ทำการทดลอง และบอกวิธีดัดแปลงรถให้เขา)
ขนทุกอย่างใส่รถ และขับปุเลงๆ 3,200 กิโลเมตรแบบกองคาราวาน
-ฉากที่เราอยากเห็นมากที่สุดคือฉากขับรถทางไกล ไต่เนิน หลงเข้าไปในพายุ และรถคว่ำ
ตอนอ่านนิยายเราจินตนาการว่าในหนังต้องลุ้นมากแน่ๆว่าวัตนีย์จะไปถึงยานนำขึ้นมั้ย หรือจะติดแหงกในพายุจนไปไม่ทันวันนัดยานเฮอร์มีส
แต่กลายเป็นพระเอกของเราขับสบายแฮ มันเร็วไปอ่ะ! แบบเห้ย 3,200 กิโลนะเหวย ดาวอังคารราบเรียบเป็นถนนตัดใหม่งั้นเลยหรอ
-ฉากควบคุมยานนำขึ้นด้วยระบบควบคุมระยะไกล ทำออกมาได้ดีมากค่ะ
เรานี่นั่งจิกเบาะ แถมจะสิงเข้าไปในเบาะอยู่แล้ว (นึกว่าเดินทางด้วยความเร็ว 714 เมตรต่อวินาทีเหมือนในหนัง)
ผ้าใบบุผนังแฮ็บดูกิ๊กก๊อกมาก แต่ตอนโดนฉีกหลุดออกไปก็มีผวาเหมือนกัน
ฉากนั่งยานเปิดประทุนแบบนี้คงหาในหนังเรื่องอื่นไม่ได้แน่ (หรืออาจจะมี เรายังดูไม่ครบเลยค่ะ ><)
แต่ชอบตอนที่ผู้การลูอิสคว้าตัววัตนีย์ได้แล้วลอยอยู่กลางอวกาศ มีเชือกสีส้มลอยรอบๆ สวยมากๆเลยค่ะฉากนี้ //ฟินนนน
(ส่วนตัวแอบจิ้นคู่นี้อยู่ค่ะ

เพลงดิสโก้ยุค 70 อาจจะมีพลังงานบางอย่างก็เป็นได้)
-แต่ทางฝั่ง NASA หนังทำออกมาได้ดีพอควร ทั้งการตอบคำถามสื่อ การทำงานหามรุ่งหามค่ำ
(และขอบคุณที่ผู้กำกับไม่พลาดใส่มุก "การประชุมลับ" มาด้วย)
เราชอบฉากที่ Rich Purnell ออกมากเป็นพิเศษ มันดูเรียล ดูทำงานหนัก ดูเป็นบุคลากรของ NASA มากกว่าพนักงานคนอื่นๆ
-ฝั่งยานเฮอร์มีส ด้วยข้อจำกัดเวลาของหนัง เราไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับทั้ง 5 คนเท่าไหร่นัก ไม่รู้สึกว่าทั้งหมดสนิทสนมกับวัตนีย์
เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดามากกว่า จะเห็นแค่มาร์ติเนซที่โต้ตอบผ่านอีเมล์กับวัตนีย์เท่านั้นที่ดูสนิทกว่าคนอื่นๆ
(แต่ผู้การลูอิสสวยอย่างที่คิดเลยค่ะ ( Jessica Chastain) แอบจินตนาการไว้ว่าต้องรวบผมตึงแบบทหารหญิงแน่ๆ (และสวยกว่าปล่อยผมด้วย แอ้ ))
และสุดท้าย พี่ MATT DAMON รับบทเป็นวัทนีย์ที่ดูเคร่งเครียดกว่าในหนังสือมาก แต่ก็นับว่าแสดงได้สุดยอดค่ะ
โดยเฉพาะตอนที่เริ่มมีภาวะขาดอาหาร กล้ามสวยๆของพี่MATTกลายเป็นแขนกะหร่องไปซะแล้ว

แต่ที่เราเสียดายคือ เราคิดว่าเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ คือ การได้อ่านบันทึกของวัตนีย์
เราได้ร่วมผ่านแต่ละวันบนดาวอังคารไปกับเขา ได้รู้จัก "ช่างที่ชอบปลูกต้นไม้" ได้รู้ว่าเขามีไหวพริบ ฉลาด และมีมุกตลกเยอะขนาดไหน
(อันที่จริงฝั่ง NASA ก็มุกเยอะพอๆกัน ตกลงที่เป็นหนัง Comedy ใช่ไหมนะ)
แต่ในหนังเราได้สื่อสารกับวัตนีย์น้อยมาก เราไม่ผูกพันกับเขา ไม่ได้รู้สึกเหมือนผ่านความบัดซบของดาวอังคารมาด้วยกัน
แต่โดยรวมแล้วเป็นหนังอวกาศอีกเรื่องที่ชอบนะคะ มีการเปลี่ยนช่วงท้ายเรื่องนิดหน่อยด้วย แต่ก็จบได้ลงตัวดี
ได้บทสรุปของโครงการแอรีส 4 ว่าไม่มียานนำขึ้นแล้วจะเดินโครงการต่อไหม กับเห็นนักบินอวกาศหน้าตี๋แว้บๆในแอรีส 5 ด้วย
(ซึ่งตรงนี้ในหนังสือไม่ได้บรรยายไว้เป็นฉาก แค่พอให้ทราบว่า NASA ให้สัญญากับทางจีนว่าจะส่งนักบินของจีนเข้าร่วมโครงการ)
แต่สำหรับเราชอบฉบับนิยายมากกว่าค่ะ ใครมีโอกาสลองหามาอ่านนะคะ (ตอนนี้ที่คิโนะลด 10%ด้วย)
ข้อมูลเชิงเทคนิคแน่นมาก แต่ก็อ่านเข้าใจง่าย แถมยังมีมุกตลกเพี้ยนๆเยอะกว่าในหนังอีกมากค่ะ
รู้สึกยาวมว้าก 55 ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ เราอาจจะเขียนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ่ายทอดไม่เก่งน่ะค่ะ 5555
มาคุยกันนะคะ อยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับหลายๆคนค่ะ
**แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาค่ะ
ไปดูมาแล้ว The Martian (สปอยล์100%จากคนอ่านนิยายก่อนไปดู)
ถ้าผิดพลาดยังไงรบกวนชี้แนะด้วยนะคะ ปกติเราอ่านอย่างเดียว 555
ส่วนตัวแล้วเป็นคนคลั่งเรื่องอวกาศค่ะ พอมีหนังเกี่ยวกับผจญภัยในอวกาศก็เลยไม่พลาดที่จะไปดู
ภาพประกอบจาก sciencefiction.com
แต่เผอิญไปเจอนิยายแปลไทย The Martian เหยียบนรกสุญญากาศ วางขายอยู่พอดี
เลยสอยมาตะลุยอ่านรวดเดียวจบ
อ่านจบอารมณ์ไม่จบ จินตนาการมันไม่ถึง เลยต้องรีบเข้าโรงไปดูภาพให้เต็มตา
หนังจบปุ๊บ ความคิดแรกเราคือ ไม่น่าอ่านนิยายมาก่อนเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย (ย.ยักษ์ร้อยตัว)
หนังสนุกค่ะ ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นการช่วยชีวิตคุณวัตนีย์ของเราไปพร้อมๆกับคนใน NASA
แต่สำหรับการ Survival บนดาวอังคาร มันกลับไม่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว และกดดันเท่าที่ควร
(ซึ่งอาจเป็นเพราะเราอ่านนิยายมาแล้ว)
หนังตัดเนื้อหาจากฉบับนิยายไปค่อนข้างเยอะ ในส่วนของการอธิบายทฤษฎี (อันแน่นเอี๊ยด) และดีเทลการใช้ชีวิตประจำวันของวัตนีย์
รวมไปถึงความเครียดของฝั่ง NASA ด้วยเช่นกัน
ซึ่งจุดนี้เราพอเข้าใจได้ เพราะหนังที่ดัดแปลงจากนิยายส่วนใหญ๋มักจะเป็นแบบนี้
สำหรับเราแล้วหนังค่อนข้างรวบรัดเกินไป แม้ว่าจะนำเสนอฉากสำคัญๆได้อย่างครบถ้วน
แต่เรากลับไม่ได้คิดตาม ไม่ได้ลุ้นจนตัวโก่ง หรือทึ่งกับวิธีการเอาชีวิตรอดของวัตนีย์ หรือแม้แต่ความอัจฉริยะของ NASA เท่าที่ควร
ยกตัวอย่างฉากสำคัญๆ ที่เราพอจำได้จากในหนังสือนะคะ
- ฉากสร้างน้ำจากการเผาไฮดราซีน เราค่อนข้างรู้สึกว่าในหนังสือให้ความสำคัญกับการคำนวณปริมาณสารต่างๆมาก
นั่นหมายความว่าถ้าวัตนีย์ทำผิดนิดเดียว ทุกอย่างจะล่มทันที แต่ในหนังมันดูง่ายมากเหมือนทำโครงงานวิทยาศาสตร์
- ฉากกู้ยานพาร์ทไฟน์เดอร์ ในหนังสือไอ้ยานนั่นมันหนักตั้ง 200 กิโลกรัมเลยนะ! แถมยังไม่มีเครนให้ยกอีก
เราจำได้ว่าตอนที่อ่านถึงฉากนี้เราทึ่งมากที่วัตนีย์คิดถึงยานที่ขาดการติดต่อไปเป็นทศวรรษแบบนี้ออก
และการดัดแปลงรถสำรวจครั้งแรก (แถมทนกลิ่นสุดรัญจวน22วัน) ยังลำบากลำบนต่อนู่นเติมนี่
ในหนังนี่ขับฉิวววว
-ฉากที่แฮ็บระเบิดทำออกมาได้ดีมาก มันดูสิ้นหวัง ที่ทางรอดเดียวโดนเป่ากระจุย แถมมันฝรั่งที่อุตส่าห์ถนอมยังเละ
ในหนังไม่ได้อธิบายว่าทำไมผ้าใบบุผนังแฮ็บถึงขาดได้ (หรือเราอาจจะฟังไม่ทัน)
วัตนีย์ในหนังสือดูดิ้นรนในการซ่อมชุดอีวีเอด้วยอุปกรณ์ผนึกรอยแตก(ในหนังใช้เทปกาว) แต่ออกจากห้องแอร์ล็อกไม่ได้ เนื่องจากมันรั่ว และมีอากาศในชุดไม่เพียงพอ และกว่าจะปรับความดันในชุดได้ สุดท้ายก็กลิ้งกลับไปหาแฮ็บ
ซึ่งจุดนี้หนังดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับห้องแอร์ล็อคมากเท่าที่ควร
กลายเป็นว่าวัตนีย์ชุดรั่ว >ซ่อม>ความดันในชุดเท่ากับระดับปกติ >เดินกลับไปตรวจสภาพแฮ็บ
ทั้งที่ในหนังสือ ห้องแอร์ล็อคมีบทบาทเยอะมาก เรียกว่าถ้าไม่มีมันวัตนีย์อาจจะดับอนาถไปนานแล้วก็ได้
- เสียดายมากที่สว่านพิฆาตพาร์ทไฟน์เดอร์ มีบทแค่เจาะรูบนรถสำรวจไม่ถึง 30 วินาที ทั้งที่มันเป็นความผิดพลาดใหญ่ของวัตนีย์เลยล่ะ
-ไม่มีฉากการดัดแปลงรถสำรวจ (และรถพ่วงที่โดนปล้นอะไหล่) เราเข้าใจว่ามันค่อนข้างกินเวลาในหนัง
แต่จากความพยายามดัดแปลงและการยัดเครื่องช่วยชีวิต แบตเตอร์รี่สำรอง และแผงโซล่าเซลล์ของวัตนีย์
เราอยากเห็นจุดนี้ในหนังด้วย เพราะเค้าต้องอยู่ในรถนั่นไปอีกอย่างน้อย 50 วันกว่าจะถึงจุดจอดยานนำขึ้นของ แอรีส 4
ที่เราเห็นในหนังกันคือ วัตนีย์ทำถุงลมขึ้นมา (พร้อมกับที่ทาง NASA ทำการทดลอง และบอกวิธีดัดแปลงรถให้เขา)
ขนทุกอย่างใส่รถ และขับปุเลงๆ 3,200 กิโลเมตรแบบกองคาราวาน
-ฉากที่เราอยากเห็นมากที่สุดคือฉากขับรถทางไกล ไต่เนิน หลงเข้าไปในพายุ และรถคว่ำ
ตอนอ่านนิยายเราจินตนาการว่าในหนังต้องลุ้นมากแน่ๆว่าวัตนีย์จะไปถึงยานนำขึ้นมั้ย หรือจะติดแหงกในพายุจนไปไม่ทันวันนัดยานเฮอร์มีส
แต่กลายเป็นพระเอกของเราขับสบายแฮ มันเร็วไปอ่ะ! แบบเห้ย 3,200 กิโลนะเหวย ดาวอังคารราบเรียบเป็นถนนตัดใหม่งั้นเลยหรอ
-ฉากควบคุมยานนำขึ้นด้วยระบบควบคุมระยะไกล ทำออกมาได้ดีมากค่ะ
เรานี่นั่งจิกเบาะ แถมจะสิงเข้าไปในเบาะอยู่แล้ว (นึกว่าเดินทางด้วยความเร็ว 714 เมตรต่อวินาทีเหมือนในหนัง)
ผ้าใบบุผนังแฮ็บดูกิ๊กก๊อกมาก แต่ตอนโดนฉีกหลุดออกไปก็มีผวาเหมือนกัน
ฉากนั่งยานเปิดประทุนแบบนี้คงหาในหนังเรื่องอื่นไม่ได้แน่ (หรืออาจจะมี เรายังดูไม่ครบเลยค่ะ ><)
แต่ชอบตอนที่ผู้การลูอิสคว้าตัววัตนีย์ได้แล้วลอยอยู่กลางอวกาศ มีเชือกสีส้มลอยรอบๆ สวยมากๆเลยค่ะฉากนี้ //ฟินนนน
(ส่วนตัวแอบจิ้นคู่นี้อยู่ค่ะ
-แต่ทางฝั่ง NASA หนังทำออกมาได้ดีพอควร ทั้งการตอบคำถามสื่อ การทำงานหามรุ่งหามค่ำ
(และขอบคุณที่ผู้กำกับไม่พลาดใส่มุก "การประชุมลับ" มาด้วย)
เราชอบฉากที่ Rich Purnell ออกมากเป็นพิเศษ มันดูเรียล ดูทำงานหนัก ดูเป็นบุคลากรของ NASA มากกว่าพนักงานคนอื่นๆ
-ฝั่งยานเฮอร์มีส ด้วยข้อจำกัดเวลาของหนัง เราไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับทั้ง 5 คนเท่าไหร่นัก ไม่รู้สึกว่าทั้งหมดสนิทสนมกับวัตนีย์
เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานธรรมดามากกว่า จะเห็นแค่มาร์ติเนซที่โต้ตอบผ่านอีเมล์กับวัตนีย์เท่านั้นที่ดูสนิทกว่าคนอื่นๆ
(แต่ผู้การลูอิสสวยอย่างที่คิดเลยค่ะ ( Jessica Chastain) แอบจินตนาการไว้ว่าต้องรวบผมตึงแบบทหารหญิงแน่ๆ (และสวยกว่าปล่อยผมด้วย แอ้ ))
และสุดท้าย พี่ MATT DAMON รับบทเป็นวัทนีย์ที่ดูเคร่งเครียดกว่าในหนังสือมาก แต่ก็นับว่าแสดงได้สุดยอดค่ะ
โดยเฉพาะตอนที่เริ่มมีภาวะขาดอาหาร กล้ามสวยๆของพี่MATTกลายเป็นแขนกะหร่องไปซะแล้ว
แต่ที่เราเสียดายคือ เราคิดว่าเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้ คือ การได้อ่านบันทึกของวัตนีย์
เราได้ร่วมผ่านแต่ละวันบนดาวอังคารไปกับเขา ได้รู้จัก "ช่างที่ชอบปลูกต้นไม้" ได้รู้ว่าเขามีไหวพริบ ฉลาด และมีมุกตลกเยอะขนาดไหน
(อันที่จริงฝั่ง NASA ก็มุกเยอะพอๆกัน ตกลงที่เป็นหนัง Comedy ใช่ไหมนะ)
แต่ในหนังเราได้สื่อสารกับวัตนีย์น้อยมาก เราไม่ผูกพันกับเขา ไม่ได้รู้สึกเหมือนผ่านความบัดซบของดาวอังคารมาด้วยกัน
แต่โดยรวมแล้วเป็นหนังอวกาศอีกเรื่องที่ชอบนะคะ มีการเปลี่ยนช่วงท้ายเรื่องนิดหน่อยด้วย แต่ก็จบได้ลงตัวดี
ได้บทสรุปของโครงการแอรีส 4 ว่าไม่มียานนำขึ้นแล้วจะเดินโครงการต่อไหม กับเห็นนักบินอวกาศหน้าตี๋แว้บๆในแอรีส 5 ด้วย
(ซึ่งตรงนี้ในหนังสือไม่ได้บรรยายไว้เป็นฉาก แค่พอให้ทราบว่า NASA ให้สัญญากับทางจีนว่าจะส่งนักบินของจีนเข้าร่วมโครงการ)
แต่สำหรับเราชอบฉบับนิยายมากกว่าค่ะ ใครมีโอกาสลองหามาอ่านนะคะ (ตอนนี้ที่คิโนะลด 10%ด้วย)
ข้อมูลเชิงเทคนิคแน่นมาก แต่ก็อ่านเข้าใจง่าย แถมยังมีมุกตลกเพี้ยนๆเยอะกว่าในหนังอีกมากค่ะ
รู้สึกยาวมว้าก 55 ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ เราอาจจะเขียนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ่ายทอดไม่เก่งน่ะค่ะ 5555
มาคุยกันนะคะ อยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับหลายๆคนค่ะ
**แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาค่ะ