สวัสดีค่ะ เราชื่อ..นับดาว เราคบกับแฟนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ปี 2 พอปี 3 เทอม 2 เราก็ท้องค่ะ
เราปรึกษากับแฟน แฟนเราให้ความเห็นว่าควรเก็บเด็กไว้ ซึ่งตรงกับความคิดและความต้องการของเรา ให้ตายเราก็ไม่ทำแท้งเด็ดขาด ที่เราปรึกษาแฟน ก็เพราะเราต้องการรู้คำตอบและความต้องการของเค้า ถ้าหากคำตอบของเค้าคือ ให้เราไปทำแท้ง เรายืนยันเลยว่าเราจะเลิกเด็ดขาดกับผู้ชายคนนี้ และจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก ส่วนตัวเราจะยอมเลี้ยงลูกเองคนเดียว ซึ่งจริงๆแล้ว เราทราบดีว่าสิ่งที่ตามมาคือ ชื่อเสียงของครอบครัว พ่อแม่เราต้องอับอายขายหน้า แค่เราท้องในขณะที่ยังเรียนอยู่ มันก็เกินพอ แล้วถ้ายังจะต้องมาท้องไม่มีพ่ออีก พ่อแม่เราคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีค่ะ ที่คำตอบของแฟนคือ เก็บไว้ แล้วเค้าจะคุยกับครอบครัวเค้าเอง ส่วนเรา เราคิดว่าเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ ต้องยอมรับให้ได้กับสิ่งที่เราเลือก เราจะรักและดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด แม้ใครจะว่ายังไงก็ตาม ตอนนั้นยังเด็กค่ะ คิดแค่นั้นจริงๆ
หลังจากนั้น 2-3 วัน แฟนพาเราไปบ้านค่ะ เป็นการไปบ้านแฟนครั้งแรก แต่เรากับแม่แฟนติดต่อกันทางโทรศัพท์ และเคยเจอกันมาก่อนแล้ว แค่ยังไม่เคยไปบ้าน เราปรึกษาหารือกันจนได้ข้อตกลงกันว่า อันดับแรกเลยคือต้องฝากครรภ์ เพราะกว่าเราจะรู้ตัว อายุครรภ์ก็ปาไป 8 สัปดาห์แล้ว แต่ตอนนี้ ทางบ้านเรายังไม่รู้นะคะ เพราะเราไม่ยอมบอกเองและเราก็ขอร้องทางบ้านแฟนว่า อย่าเพิ่งบอกแม่เราตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็เพื่อถ่วงเวลาให้อายุครรภ์มากกว่า เพราะถ้าแม่รู้ แม่ต้องให้เราเอาเด็กออกแน่ๆ ทางบ้านเรามารู้อีกทีก็ตอนที่เราท้องได้ 3 เดือนค่ะ
หลังจากที่ผู้ใหญ่ทราบทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีการทำขันธ์ 5 เพื่อขอขมาบุพการี และขออโหสิกรรม ความผิดครั้งนี้ ถือเป็นความผิดที่ใหญ่มาก เรากล่าวขอขมาทั้งพ่อแม่เราและพ่อแม่แฟน เราพูดทุกคำอย่างที่เรารู้สึกจริงๆ จากนั้นก็มีการตกลงค่าสินสอดกัน เป็นเงินและทอง รวมกันแล้วมูลค่าเกือบ 5 แสนบาท
พ่อแม่แฟน เป็นฝ่ายจัดการเรื่องหาฤกษ์วันแต่งงาน ซึ่งขณะนั้น เราตั้งท้องได้ 4 เดือน ถ่ายพรีเว้ดดิ้งทั้งๆที่ท้องป่องแบบนั้นแหละค่ะ แต่ก็เป็นเงินที่เราและแฟนช่วยกันขายของค่ะ และเมื่อถึงวันแต่งงานเราไม่ได้เป็นเจ้าสวยที่สวยที่สุดในชุดไทย แต่เราใส่ชุดราตรีเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณี…..
หรือนี่คือ "ชะตาชีวิต"
เราปรึกษากับแฟน แฟนเราให้ความเห็นว่าควรเก็บเด็กไว้ ซึ่งตรงกับความคิดและความต้องการของเรา ให้ตายเราก็ไม่ทำแท้งเด็ดขาด ที่เราปรึกษาแฟน ก็เพราะเราต้องการรู้คำตอบและความต้องการของเค้า ถ้าหากคำตอบของเค้าคือ ให้เราไปทำแท้ง เรายืนยันเลยว่าเราจะเลิกเด็ดขาดกับผู้ชายคนนี้ และจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก ส่วนตัวเราจะยอมเลี้ยงลูกเองคนเดียว ซึ่งจริงๆแล้ว เราทราบดีว่าสิ่งที่ตามมาคือ ชื่อเสียงของครอบครัว พ่อแม่เราต้องอับอายขายหน้า แค่เราท้องในขณะที่ยังเรียนอยู่ มันก็เกินพอ แล้วถ้ายังจะต้องมาท้องไม่มีพ่ออีก พ่อแม่เราคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีค่ะ ที่คำตอบของแฟนคือ เก็บไว้ แล้วเค้าจะคุยกับครอบครัวเค้าเอง ส่วนเรา เราคิดว่าเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ ต้องยอมรับให้ได้กับสิ่งที่เราเลือก เราจะรักและดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด แม้ใครจะว่ายังไงก็ตาม ตอนนั้นยังเด็กค่ะ คิดแค่นั้นจริงๆ
หลังจากนั้น 2-3 วัน แฟนพาเราไปบ้านค่ะ เป็นการไปบ้านแฟนครั้งแรก แต่เรากับแม่แฟนติดต่อกันทางโทรศัพท์ และเคยเจอกันมาก่อนแล้ว แค่ยังไม่เคยไปบ้าน เราปรึกษาหารือกันจนได้ข้อตกลงกันว่า อันดับแรกเลยคือต้องฝากครรภ์ เพราะกว่าเราจะรู้ตัว อายุครรภ์ก็ปาไป 8 สัปดาห์แล้ว แต่ตอนนี้ ทางบ้านเรายังไม่รู้นะคะ เพราะเราไม่ยอมบอกเองและเราก็ขอร้องทางบ้านแฟนว่า อย่าเพิ่งบอกแม่เราตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็เพื่อถ่วงเวลาให้อายุครรภ์มากกว่า เพราะถ้าแม่รู้ แม่ต้องให้เราเอาเด็กออกแน่ๆ ทางบ้านเรามารู้อีกทีก็ตอนที่เราท้องได้ 3 เดือนค่ะ
หลังจากที่ผู้ใหญ่ทราบทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีการทำขันธ์ 5 เพื่อขอขมาบุพการี และขออโหสิกรรม ความผิดครั้งนี้ ถือเป็นความผิดที่ใหญ่มาก เรากล่าวขอขมาทั้งพ่อแม่เราและพ่อแม่แฟน เราพูดทุกคำอย่างที่เรารู้สึกจริงๆ จากนั้นก็มีการตกลงค่าสินสอดกัน เป็นเงินและทอง รวมกันแล้วมูลค่าเกือบ 5 แสนบาท
พ่อแม่แฟน เป็นฝ่ายจัดการเรื่องหาฤกษ์วันแต่งงาน ซึ่งขณะนั้น เราตั้งท้องได้ 4 เดือน ถ่ายพรีเว้ดดิ้งทั้งๆที่ท้องป่องแบบนั้นแหละค่ะ แต่ก็เป็นเงินที่เราและแฟนช่วยกันขายของค่ะ และเมื่อถึงวันแต่งงานเราไม่ได้เป็นเจ้าสวยที่สวยที่สุดในชุดไทย แต่เราใส่ชุดราตรีเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณี…..