สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิพทุกๆคน
เราเป็นคนคนนึงที่ชอบอ่านพันทิพเวลาว่างๆ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เขียนอะไรสักที
วันนี้หล่ะ มีโอกาสแล้วววว
เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นนิสิตจบใหม่ หมาดๆ เมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้ว เป็นธรรมดา เด็กจบใหม่มักไฟแรง
ตอนแรกที่จบ เราตัดสินใจเขียนใบสมัครงาน และส่งเรซูเม่ไปยังบริษัทต่างๆมากมาย ด้วยเหตุผลก็อยากมีงานทำ มีเงินเป็นของตัวเอง ส่งพ่อแม่ได้
ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน มีบริษัทนึงย่านกรุงเทพมหานคร ติดต่อผ่านพี่ที่รู้จักกันมาให้ส่งเรซูเม่ มาให้หัวหน้าดู หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ พี่เขาก็โทรมานัดหมายให้มาสัมภาษณ์งาน ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนมหาวิทยาลัยก็อยู่ต่างจังหวัด เรากลัวการใช้ชีวิตในกรุงเทพมาก
แต่เมื่อเห็นว่ามีโอกาส พร้อมเททุกอย่างเลย รวมไปถึงความกลัว เพื่อเดินทางเข้ามาสัมภาษณ์
วันมาสัมภาษณ์นี่ ตื่นเต้นนะ ขึ้น BTS ครั้งแรก แล้วนั่งวินมอไซค์ต่อไป จำได้ว่าโดนฟันค่าวินไป 60 บาท แหม่ พอเริ่มชินพื้นที่ถึงรู้ว่าระยะทางแค่นั้นเขาเก็บแค่ 30 บาทเองหล่ะ เสียค่าโง่ไป 55555
มาสัมภาษณ์ก็สเต็ปเดิมๆแนะนำตัวเอง ละหัวหน้าเขาก็ถามอะไรไปเรื่อย แจ้งถึงหน้าที่ในการทำงานว่าที่บริษัททำเกียวกับอะไรบ้าง เวลาเข้างาน 09.00 น. เลิกงาน 18.00 น. แต่เขาก็บอกว่าเวลาทำงานไม่เคร่งหรอก เข้ากี่โมงก็ได้แต่อย่าให้น่าเกลียด หรือดูเอาเปรียบคนอื่น คำพูดที่หัวหน้าพูด แปลกนะ เวลาฟังแล้วรู้สึกดี คำพูดที่หัวหน้าพูดดูเป็นคำพูดที่หวานหู ฟังแล้วรู้สึกหึกเหิมอยากทำงาน พร้อมกับคำที่หัวหน้าพูดว่า เขามองเห็นความสามารถในตัวเรา
หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ทางบริษัทก็ติดต่อกลับมาให้เรามาบรีฟงานในวันศุกร์ เราก็เดินทางเข้ามาบรีฟงาน บร๊ะเจ้า ทีแรกตกใจ งานกองไว้เยอะมาก ไหนบอกแค่มาบรีฟงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงไง สรุปคือพี่คนที่นัดเรา ไม่ได้แจ้งพี่คนที่เทรนงานว่า เราแค่มาบรีฟงานเฉยๆ ก็เริ่มคิดเอะใจ ทำไมเขาไม่นัดหมายกันก่อนนะ
หลังจากเทรนงานเสร็จ มีเรื่องช็อคกว่านั้นอีกจ้า วันจันทร์ให้เริ่มงานได้เลย ลองคิดสภาพดู เด็กต่างจังหวัด เส้นทางในเมืองกรุงก็ไม่รู้อะไรซะเลย แถมยังไม่มีหอพัก และเป็นช่วงกลางเดือน ที่เป็นช่วงที่หาหอยากอยู่แล้ว ประกอบกับมีเวลาแค่เสาร์ อาทิตย์ 2 วันเท่านั้น ที่จะต้องหาหอให้ได้ แค่คิดก็เหนื่อยเลย ก็คุยกับแม่ แม่บอกเอานะ ต้องยอม ไหนๆก็ได้งานแล้ว ตอนนั้นไฟพลังเเห่งการเริ่มงานมันทำให้เราฮึดสู้มาก จะเหนื่อยยากขนาดไหน ชั้นจะสู้
ช่วงวันแรกๆที่ทำงานรู้สึกดีมาก เรามาทำงานก่อนเวลาเสมอ และเราก็ได้กลับตรงเวลา งานช่วงแรกๆก็เป็นประสานงานซะส่วนใหญ่ ได้ช่วยงานพี่คนนึง นามสมมติว่า p ละกัน ซึ่งเราก็ค่อนข้างสนิทกับพี่คนนี้เลยแหละ พี่เขาให้งานค่อนข้างดูประสิทธิภาพเราอ่ะ ว่าเราทำไหวไหม เป็นยังไง คอยดูตลอด
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เราถูกวางตัวให้ไปช่วยพี่อีกคน นามสมมติ a ละกัน พี่คนนี้ต่างจากพี่คนแรกมาก คือเขาจะเมล์สั่งงานเราไว้ทุกเช้าๆ ในแต่ละวันเราก็จะนั่งไล่ทำไปเรื่อยๆ แต่งานเราในแต่ละวันก็เสร็จทันเวลางานนะ พอเราจะกลับ เมล์ก็จะเด้งกลับมา ไม่งานใหม่ ก็จะเป็นงานเก่าให้แก้ใหม่ แล้วมันมักจะมาตอนประมาณอีก 10 นาทีเลิกงาน
เราทำงานตามที่เขาสั่งทุกอย่างนะ ไม่เคยมีปากมีเสียง เครียดก็นั่งเงียบอยู่คนเดียว หลายๆครั้งที่จะมีงานด่วนๆเข้ามาตลอด แต่พอรีบทำให้เสร็จแล้ว ผลงานนั้น มันกลายเป็นผลงานของอีกคน พอทำงานมาได้สัก 3 เดือน เริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่มีคำว่ากลับบ้าน 6 โมงเย็นอีกต่อไป มีแต่คำว่า 2 ทุ่ม 4 ทุ่ม ตี 1 และพีตสุด รุ่งสว่าง เริ่มมีการนัดประชุมตอนเช้า 7.30 น. หรือไม่ก็ 8.00 น. ก็รีบมา แต่แล้วก็ไม่มีการประชุม บ้างก็ประชุมเอาประมาณ 17.30 เป็นต้นไป แล้วก็ลากยาวไปยัน 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม
ถ้าถามว่าทำงานล่วงเวลาอย่างนี้มีค่าล่วงเวลาไหม บอกเลยว่าไม่มี เคยมีแค่ช่วงหนึ่งที่งานหนักมากๆ ซึ่งเขาให้มาทำงานวันหยุด แต่เงินก็จะได้เท่ากับ เงินเดือนทั้งหมด หารจำนวนวันในแต่ละเดือน คิดเป็นรายวันเท่าไหร่ ให้เท่านั้น แต่เอาจริงๆ มันก็หมดไปกับค่าแท็กซี่แหละ ก็อยู่ทำงานกันยันดึกดื่น รถเมล์สายไหนมาวิ่งรออยู่หล่ะ
เข้าเริ่มเข้าเดือนที่ 4-5 เริ่มรู้สึกถึงอาการแย่ของร่างกายตัวเองอย่างชัดเจน มีอาการปวดหัว คลื่นไส้บ่อยมาก รู้สึกตัวเองเครียดกับงาน ปัญหาหลักๆของเราเลยนะ มาจากคน อันดับ 1 เลย เราจะโดนจี้งาน ตามงานจากพี่ a ตลอด เสร็จงานนี้ก็มีงานนั้น เสร็จงานนั้นก็มีงานใหม่มาให้ทำตลอด พี่บางคนก็โดนเหมือนกันนะ สภาพแต่ละคนเริ่มเหมือนซอมบี้ไปละ มีอยู่ช่วงนึงมีนักศึกษามาฝึกงาน แค่เดือนเดียวก็หายไปเลย ส่วนคนที่อยู่สภาพก็ย่ำแย่ เราก็คอยแอบถามตลอดว่าเป็นยังไง น้องเขาก็บ่นเรื่อง พี่ a ให้ฟัง ว่าสั่งงานเยอะ ชอบโยนงานมาให้ ในใจก็คิด เออเจอเหมือนกูเลยหวะ 555
ในช่วงงานหนักๆ บวกกับแรงกดดันของคน เราก็เริ่มมีแก๊งค์ ต้องเรียกว่าเป็นพวกหัวอดเดียวกันดีกว่า โดนอะไรมาเหมือนๆกัน ก็เลยคุยกัน ระบายกันได้รู้เรื่อง ทุกคนเริ่มพูดเรื่องลาออก
พี่คนนึง ชื่อพี่ v เขาเป็นพี่ที่มีประสบการณ์การทำงาน จบป.โท ทำงานเก่ง พี่เขาเคยเล่าให้ฟังนะ ว่าตอนแรกที่มาสมัครงานถูกวางตัวลงในตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงเลยทีเดียว แต่พอตกลงมาทำงานกับถูกย้ายตำแหน่งซะดื้อๆ พี่เขาเริ่มรู้สึกแย่ โดนกดจากพี่ a ตลอด ผลงานที่พี่ v ทำ หลายๆครั้งกลายเป็นผลงานของพี่ a ไปซะเฉยๆ พี่ v ทนมาได้สัก 3 เดือน จนถึงจุดแตกหัก เมื่อหัวหน้าเรียกพี่เขาเข้าไปคุย พร้อมประโยคที่มแทงใจพี่ v ว่าเขาไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่มีผลงานในการทำงาน
หลังจากกรณีพี่ v พี่หลายๆคนก็เริ่มโดนเหตุการณ์แบบนี้บ้าง มีพี่มาช่วยงานคนนึงชื่อพี่ n พี่เขาเป็นคนเฮฮา ทำงานโดยมีสไตล์การทำงานของเขา พี่ n เขาไม่เก่งด้านการประสานงานเลย แต่ถูกพี่ a จับวางตัวพี่ n ไปทำหน้าที่ประสานงาน สรุปพอผลของงานออกมาไม่ดีพี่ n ก็ถูกว่าตลอด หลังๆก็เริ่มเปลี่ยนให้เรามาประสานงานแทน แล้วให้พี่ n เป็นคน ทำเอกสาร ต้องยอมรับนะว่างานมันเยอะจริงๆ พี่ a ก็จะคอยมีหน้าที่ตามตลอด จนบางทีเราฟังแล้วรู้สึกรำคาน " n ทำนี่เสร็จยังอ่ะ n ทำนั่นเสร็จยังอ่ะ n อันนี้ต้องทำด้วยนะ n อันนี้ส่งไปรึยัง" และแล้ว พี่ n ก็จากไป โดยการยื่นใบลาออก
แรกๆเราก็ 2 จิต 2 ใจนะ ว่าจะอยู่หรือว่าไป ใจนึงก็นึกเสียดายเงินเดือน งานก็หายาก ปรึกษาหารือกับเพื่อน เพื่อนบอกเป็นมันมันไม่ทนตั้งแต่ 3 เดือนแรกแล้ว เราทนได้ยังไง หรือไม่เป็นมันก็ต้องมีหลุดปากต่อว่าไปบ้างแล้วหล่ะ แม้แต่แม่เราก็พูดตลอด ไม่ไหวก็ออก เอาสุขภาพเราดีกว่า เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะแยะมากมาย แต่ใช้งานหนักเหลือเกิน แต่ในใจเราตอนนั้นมันยังค้านให้สู้ต่อ
มาช่วง 1 เดือนให้หลังมานี้ เรารู้สึกว่างานมันล้นมากๆ อะไรๆก็เราต้องเป็นคนทำ และเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำแต่ละอย่างมันดูไม่เป็นที่ถูกใจของหัวหน้าตลอดเวลา จากสีหน้า ท่าทางของหัวหน้า เขามีท่าทีแปลกๆต่อเรายังไงไม่รู้ เราว่าเราก็ทำงานเต็มที่นะ ผลงานก็มีนะ แม้เขาจะไม่พูดถึงก็ตาม แต่ที่เจ็บใจที่สุด ก็คงเป็นการที่หัวหน้าเรียกเราเข้าไปคุยงาน ก็มีพี่ a เข้าไปด้วยนะ พี่เขาก็พรีเซ้นต์ๆๆ บางคำพูดก็เอามาจากการบอกเล่าของเรานี่หละ สุดท้ายหัวหน้าพูดกับเราว่า เราดูไม่อยากทำงาน ดูไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โอ้ย จุกไหมหละ จี๊ดเลยครับ
เราคิดมากกับคำพูดนั้นมากนะ แล้วมันก็เกินความโมโหขึ้นมา ใช่ เราเป็นคนกลับบ้านไม่ดึก หมดเวลางานเคลียร์งานเสร็จก็กลับ เสาร์อาทิตย์ไม่อยากจะทำงาน แล้วก็ชอบตามงานในวันหยุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ทำให้นะ ทำ แต่ทำช้า ก็มันวันหยุดอะ ไม่ให้พักบ้างหรอ เพราะเหตุนี้สินะ เลยดูไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
เราตัดสินใจยื่นใบลาออก คำพูดที่หัวหน้าพูดมาก็คือถามว่าเป็นอะไร เราเลยตอบว่าสุขภาพเราไม่ดี มันก็ไม่ดีจริงๆแหละ เครียดทุกวี่ทุกวัน เขาก็พูดกลับมาว่าเราไม่รู้จักบริหารจัดการตัวเอง ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง มีปัญหาอะไรหรอ เราก็บอกว่าปัญหามันก็มีเยอะ เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เขาก็ถามว่าเรื่องอะไรหล่ะ บอกมาสิ ไม่ได้นะ เราต้องรู้จักบริหารจัดการตัวเองให้ดีกว่านี้ เออ สรุปยังไงกูก็ผิดสินะ 55555
และหลังจากที่เรายื่นใบลาออก เขาก็ไม่เคยสนใจไยดีเราอีกเลย ทีนี้รู้สึกโดนถีบหัวส่งมาก จะสนใจก็ตอนตามงาน แล้วคือชอบถามในเรื่องที่เราไม่ได้รับผิดชอบ คือกเราก็ไม่ได้รู้เรื่องทุกเรื่องปะ พอไม่รู้ก็โดนแบบเหวี่ยงๆ โถ่ 5555 พอมีคนใหม่เข้ามาช่วยงาน เขาก็ประคบประหงมดีมาก ทักทายกันทั้งวี่ทั้งวัน เราก็ไม่ได้สนใจอะไร วันๆก็ไม่ได้พูดจาอะไรมากมาย ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
และในที่สุดเราก็เลือกที่จะเดินจากไป ตามรอยพี่ๆคนก่อนที่โบกมือลา....
ปล. ใครมีงานดีๆ แนะนำได้นะคะ 555555
แชร์ประสบการณ์การทำงานของเด็กจบใหม่ อยู่ทน หรือ ทนอยู่?
เราเป็นคนคนนึงที่ชอบอ่านพันทิพเวลาว่างๆ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เขียนอะไรสักที
วันนี้หล่ะ มีโอกาสแล้วววว
เรื่องมีอยู่ว่า เราเป็นนิสิตจบใหม่ หมาดๆ เมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้ว เป็นธรรมดา เด็กจบใหม่มักไฟแรง
ตอนแรกที่จบ เราตัดสินใจเขียนใบสมัครงาน และส่งเรซูเม่ไปยังบริษัทต่างๆมากมาย ด้วยเหตุผลก็อยากมีงานทำ มีเงินเป็นของตัวเอง ส่งพ่อแม่ได้
ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน มีบริษัทนึงย่านกรุงเทพมหานคร ติดต่อผ่านพี่ที่รู้จักกันมาให้ส่งเรซูเม่ มาให้หัวหน้าดู หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ พี่เขาก็โทรมานัดหมายให้มาสัมภาษณ์งาน ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนมหาวิทยาลัยก็อยู่ต่างจังหวัด เรากลัวการใช้ชีวิตในกรุงเทพมาก
แต่เมื่อเห็นว่ามีโอกาส พร้อมเททุกอย่างเลย รวมไปถึงความกลัว เพื่อเดินทางเข้ามาสัมภาษณ์
วันมาสัมภาษณ์นี่ ตื่นเต้นนะ ขึ้น BTS ครั้งแรก แล้วนั่งวินมอไซค์ต่อไป จำได้ว่าโดนฟันค่าวินไป 60 บาท แหม่ พอเริ่มชินพื้นที่ถึงรู้ว่าระยะทางแค่นั้นเขาเก็บแค่ 30 บาทเองหล่ะ เสียค่าโง่ไป 55555
มาสัมภาษณ์ก็สเต็ปเดิมๆแนะนำตัวเอง ละหัวหน้าเขาก็ถามอะไรไปเรื่อย แจ้งถึงหน้าที่ในการทำงานว่าที่บริษัททำเกียวกับอะไรบ้าง เวลาเข้างาน 09.00 น. เลิกงาน 18.00 น. แต่เขาก็บอกว่าเวลาทำงานไม่เคร่งหรอก เข้ากี่โมงก็ได้แต่อย่าให้น่าเกลียด หรือดูเอาเปรียบคนอื่น คำพูดที่หัวหน้าพูด แปลกนะ เวลาฟังแล้วรู้สึกดี คำพูดที่หัวหน้าพูดดูเป็นคำพูดที่หวานหู ฟังแล้วรู้สึกหึกเหิมอยากทำงาน พร้อมกับคำที่หัวหน้าพูดว่า เขามองเห็นความสามารถในตัวเรา
หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ทางบริษัทก็ติดต่อกลับมาให้เรามาบรีฟงานในวันศุกร์ เราก็เดินทางเข้ามาบรีฟงาน บร๊ะเจ้า ทีแรกตกใจ งานกองไว้เยอะมาก ไหนบอกแค่มาบรีฟงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงไง สรุปคือพี่คนที่นัดเรา ไม่ได้แจ้งพี่คนที่เทรนงานว่า เราแค่มาบรีฟงานเฉยๆ ก็เริ่มคิดเอะใจ ทำไมเขาไม่นัดหมายกันก่อนนะ
หลังจากเทรนงานเสร็จ มีเรื่องช็อคกว่านั้นอีกจ้า วันจันทร์ให้เริ่มงานได้เลย ลองคิดสภาพดู เด็กต่างจังหวัด เส้นทางในเมืองกรุงก็ไม่รู้อะไรซะเลย แถมยังไม่มีหอพัก และเป็นช่วงกลางเดือน ที่เป็นช่วงที่หาหอยากอยู่แล้ว ประกอบกับมีเวลาแค่เสาร์ อาทิตย์ 2 วันเท่านั้น ที่จะต้องหาหอให้ได้ แค่คิดก็เหนื่อยเลย ก็คุยกับแม่ แม่บอกเอานะ ต้องยอม ไหนๆก็ได้งานแล้ว ตอนนั้นไฟพลังเเห่งการเริ่มงานมันทำให้เราฮึดสู้มาก จะเหนื่อยยากขนาดไหน ชั้นจะสู้
ช่วงวันแรกๆที่ทำงานรู้สึกดีมาก เรามาทำงานก่อนเวลาเสมอ และเราก็ได้กลับตรงเวลา งานช่วงแรกๆก็เป็นประสานงานซะส่วนใหญ่ ได้ช่วยงานพี่คนนึง นามสมมติว่า p ละกัน ซึ่งเราก็ค่อนข้างสนิทกับพี่คนนี้เลยแหละ พี่เขาให้งานค่อนข้างดูประสิทธิภาพเราอ่ะ ว่าเราทำไหวไหม เป็นยังไง คอยดูตลอด
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เราถูกวางตัวให้ไปช่วยพี่อีกคน นามสมมติ a ละกัน พี่คนนี้ต่างจากพี่คนแรกมาก คือเขาจะเมล์สั่งงานเราไว้ทุกเช้าๆ ในแต่ละวันเราก็จะนั่งไล่ทำไปเรื่อยๆ แต่งานเราในแต่ละวันก็เสร็จทันเวลางานนะ พอเราจะกลับ เมล์ก็จะเด้งกลับมา ไม่งานใหม่ ก็จะเป็นงานเก่าให้แก้ใหม่ แล้วมันมักจะมาตอนประมาณอีก 10 นาทีเลิกงาน
เราทำงานตามที่เขาสั่งทุกอย่างนะ ไม่เคยมีปากมีเสียง เครียดก็นั่งเงียบอยู่คนเดียว หลายๆครั้งที่จะมีงานด่วนๆเข้ามาตลอด แต่พอรีบทำให้เสร็จแล้ว ผลงานนั้น มันกลายเป็นผลงานของอีกคน พอทำงานมาได้สัก 3 เดือน เริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่มีคำว่ากลับบ้าน 6 โมงเย็นอีกต่อไป มีแต่คำว่า 2 ทุ่ม 4 ทุ่ม ตี 1 และพีตสุด รุ่งสว่าง เริ่มมีการนัดประชุมตอนเช้า 7.30 น. หรือไม่ก็ 8.00 น. ก็รีบมา แต่แล้วก็ไม่มีการประชุม บ้างก็ประชุมเอาประมาณ 17.30 เป็นต้นไป แล้วก็ลากยาวไปยัน 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม
ถ้าถามว่าทำงานล่วงเวลาอย่างนี้มีค่าล่วงเวลาไหม บอกเลยว่าไม่มี เคยมีแค่ช่วงหนึ่งที่งานหนักมากๆ ซึ่งเขาให้มาทำงานวันหยุด แต่เงินก็จะได้เท่ากับ เงินเดือนทั้งหมด หารจำนวนวันในแต่ละเดือน คิดเป็นรายวันเท่าไหร่ ให้เท่านั้น แต่เอาจริงๆ มันก็หมดไปกับค่าแท็กซี่แหละ ก็อยู่ทำงานกันยันดึกดื่น รถเมล์สายไหนมาวิ่งรออยู่หล่ะ
เข้าเริ่มเข้าเดือนที่ 4-5 เริ่มรู้สึกถึงอาการแย่ของร่างกายตัวเองอย่างชัดเจน มีอาการปวดหัว คลื่นไส้บ่อยมาก รู้สึกตัวเองเครียดกับงาน ปัญหาหลักๆของเราเลยนะ มาจากคน อันดับ 1 เลย เราจะโดนจี้งาน ตามงานจากพี่ a ตลอด เสร็จงานนี้ก็มีงานนั้น เสร็จงานนั้นก็มีงานใหม่มาให้ทำตลอด พี่บางคนก็โดนเหมือนกันนะ สภาพแต่ละคนเริ่มเหมือนซอมบี้ไปละ มีอยู่ช่วงนึงมีนักศึกษามาฝึกงาน แค่เดือนเดียวก็หายไปเลย ส่วนคนที่อยู่สภาพก็ย่ำแย่ เราก็คอยแอบถามตลอดว่าเป็นยังไง น้องเขาก็บ่นเรื่อง พี่ a ให้ฟัง ว่าสั่งงานเยอะ ชอบโยนงานมาให้ ในใจก็คิด เออเจอเหมือนกูเลยหวะ 555
ในช่วงงานหนักๆ บวกกับแรงกดดันของคน เราก็เริ่มมีแก๊งค์ ต้องเรียกว่าเป็นพวกหัวอดเดียวกันดีกว่า โดนอะไรมาเหมือนๆกัน ก็เลยคุยกัน ระบายกันได้รู้เรื่อง ทุกคนเริ่มพูดเรื่องลาออก
พี่คนนึง ชื่อพี่ v เขาเป็นพี่ที่มีประสบการณ์การทำงาน จบป.โท ทำงานเก่ง พี่เขาเคยเล่าให้ฟังนะ ว่าตอนแรกที่มาสมัครงานถูกวางตัวลงในตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงเลยทีเดียว แต่พอตกลงมาทำงานกับถูกย้ายตำแหน่งซะดื้อๆ พี่เขาเริ่มรู้สึกแย่ โดนกดจากพี่ a ตลอด ผลงานที่พี่ v ทำ หลายๆครั้งกลายเป็นผลงานของพี่ a ไปซะเฉยๆ พี่ v ทนมาได้สัก 3 เดือน จนถึงจุดแตกหัก เมื่อหัวหน้าเรียกพี่เขาเข้าไปคุย พร้อมประโยคที่มแทงใจพี่ v ว่าเขาไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่มีผลงานในการทำงาน
หลังจากกรณีพี่ v พี่หลายๆคนก็เริ่มโดนเหตุการณ์แบบนี้บ้าง มีพี่มาช่วยงานคนนึงชื่อพี่ n พี่เขาเป็นคนเฮฮา ทำงานโดยมีสไตล์การทำงานของเขา พี่ n เขาไม่เก่งด้านการประสานงานเลย แต่ถูกพี่ a จับวางตัวพี่ n ไปทำหน้าที่ประสานงาน สรุปพอผลของงานออกมาไม่ดีพี่ n ก็ถูกว่าตลอด หลังๆก็เริ่มเปลี่ยนให้เรามาประสานงานแทน แล้วให้พี่ n เป็นคน ทำเอกสาร ต้องยอมรับนะว่างานมันเยอะจริงๆ พี่ a ก็จะคอยมีหน้าที่ตามตลอด จนบางทีเราฟังแล้วรู้สึกรำคาน " n ทำนี่เสร็จยังอ่ะ n ทำนั่นเสร็จยังอ่ะ n อันนี้ต้องทำด้วยนะ n อันนี้ส่งไปรึยัง" และแล้ว พี่ n ก็จากไป โดยการยื่นใบลาออก
แรกๆเราก็ 2 จิต 2 ใจนะ ว่าจะอยู่หรือว่าไป ใจนึงก็นึกเสียดายเงินเดือน งานก็หายาก ปรึกษาหารือกับเพื่อน เพื่อนบอกเป็นมันมันไม่ทนตั้งแต่ 3 เดือนแรกแล้ว เราทนได้ยังไง หรือไม่เป็นมันก็ต้องมีหลุดปากต่อว่าไปบ้างแล้วหล่ะ แม้แต่แม่เราก็พูดตลอด ไม่ไหวก็ออก เอาสุขภาพเราดีกว่า เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะแยะมากมาย แต่ใช้งานหนักเหลือเกิน แต่ในใจเราตอนนั้นมันยังค้านให้สู้ต่อ
มาช่วง 1 เดือนให้หลังมานี้ เรารู้สึกว่างานมันล้นมากๆ อะไรๆก็เราต้องเป็นคนทำ และเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำแต่ละอย่างมันดูไม่เป็นที่ถูกใจของหัวหน้าตลอดเวลา จากสีหน้า ท่าทางของหัวหน้า เขามีท่าทีแปลกๆต่อเรายังไงไม่รู้ เราว่าเราก็ทำงานเต็มที่นะ ผลงานก็มีนะ แม้เขาจะไม่พูดถึงก็ตาม แต่ที่เจ็บใจที่สุด ก็คงเป็นการที่หัวหน้าเรียกเราเข้าไปคุยงาน ก็มีพี่ a เข้าไปด้วยนะ พี่เขาก็พรีเซ้นต์ๆๆ บางคำพูดก็เอามาจากการบอกเล่าของเรานี่หละ สุดท้ายหัวหน้าพูดกับเราว่า เราดูไม่อยากทำงาน ดูไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โอ้ย จุกไหมหละ จี๊ดเลยครับ
เราคิดมากกับคำพูดนั้นมากนะ แล้วมันก็เกินความโมโหขึ้นมา ใช่ เราเป็นคนกลับบ้านไม่ดึก หมดเวลางานเคลียร์งานเสร็จก็กลับ เสาร์อาทิตย์ไม่อยากจะทำงาน แล้วก็ชอบตามงานในวันหยุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ทำให้นะ ทำ แต่ทำช้า ก็มันวันหยุดอะ ไม่ให้พักบ้างหรอ เพราะเหตุนี้สินะ เลยดูไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
เราตัดสินใจยื่นใบลาออก คำพูดที่หัวหน้าพูดมาก็คือถามว่าเป็นอะไร เราเลยตอบว่าสุขภาพเราไม่ดี มันก็ไม่ดีจริงๆแหละ เครียดทุกวี่ทุกวัน เขาก็พูดกลับมาว่าเราไม่รู้จักบริหารจัดการตัวเอง ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง มีปัญหาอะไรหรอ เราก็บอกว่าปัญหามันก็มีเยอะ เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เขาก็ถามว่าเรื่องอะไรหล่ะ บอกมาสิ ไม่ได้นะ เราต้องรู้จักบริหารจัดการตัวเองให้ดีกว่านี้ เออ สรุปยังไงกูก็ผิดสินะ 55555
และหลังจากที่เรายื่นใบลาออก เขาก็ไม่เคยสนใจไยดีเราอีกเลย ทีนี้รู้สึกโดนถีบหัวส่งมาก จะสนใจก็ตอนตามงาน แล้วคือชอบถามในเรื่องที่เราไม่ได้รับผิดชอบ คือกเราก็ไม่ได้รู้เรื่องทุกเรื่องปะ พอไม่รู้ก็โดนแบบเหวี่ยงๆ โถ่ 5555 พอมีคนใหม่เข้ามาช่วยงาน เขาก็ประคบประหงมดีมาก ทักทายกันทั้งวี่ทั้งวัน เราก็ไม่ได้สนใจอะไร วันๆก็ไม่ได้พูดจาอะไรมากมาย ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
และในที่สุดเราก็เลือกที่จะเดินจากไป ตามรอยพี่ๆคนก่อนที่โบกมือลา....
ปล. ใครมีงานดีๆ แนะนำได้นะคะ 555555