"ตกลงเป็นแฟนกัน" ... คุยกันเรื่องพวกนี้ก่อนบ้างไหม?

คุยทุกอย่าง แบบลงรายละเอียด ก่อนขยับสถานะค่ะ
ขาดก็แต่ให้ทนายทำเป็นเอกสาร

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- ชวนกันไปตรวจเลือดกันก่อนเลย
- สินสอด ไม่คุยค่ะ เราอึดอัด และถ้าแฟนใช้ให้เราไปคุยกับพ่อแม่ตัวเองเรื่องนี้ เราบอกเลิกทุกคน
เลยใช้จุดนี้รอดูผู้ชายว่าเป็นคนยังไง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ อย่ามาหลบหลังเรา  ทีเราอยากได้ผู้ชาย...เรายังเข้าถ้ำเสือเองเลย ถ้าแม่ผู้ชายเรียกสินสอดด้วย เราก็ต้องให้เหมือนกันจริงมั๊ย? เค้าก็เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมนี่นะ ไม่ได้เลี้ยงด้วยหญ้า เรายังอยากได้ลูกชายเค้าเลย

- เรื่องมีลูกก็คุย
สามีอยากมี...ส่วนเราไม่อยากมี ตอนช่วงตกลงกัน...เลยลองไปฝึกงานเลี้ยงหลานตั้งแต่แรกเกิด หลังจากนั้นพับโครงการ

- แบ่งหน้าที่ในบ้านกัน ชนิดที่ว่า ...
สามีชอบล้างจาน เตรียมกับข้าว ตากผ้า พับผ้า กวาดบ้าน เราชอบล้างห้องน้ำ ซักผ้า ถูบ้าน .... เรียกว่าไม่ต้องแย่งกัน ได้ทุกคน ...

- แบ่งเงินกัน มีเงินกองกลาง เราซื้อบ้านรถที่ไทย เค้าซื้อที่ต่างประเทศ
ถ้าจะมีญาติเข้ามาอยู่ด้วย ให้พามาทั้งสองฝ่ายเลย  
ถ้าจำเป็น...ให้ซื้อบ้านอีกหลังสำหรับญาติทั้งสองฝ่าย

- แบ่งหน้าที่ดูแลพ่อแม่แต่ละฝ่าย ....เนื่องจาก มีเงินส่วนตัว ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรค่ะ

- ถ้าทะเลาะกัน...กฏหมายของบ้านคือ ไบเบิ้ล เพราะไบเบิ้ลตอบปัญหาในแบบที่พวกเราเข้าใจและเจาะรายละเอียด (ทั้งคู่ได้เรียนไบเบิ้ลมาในวิชาศาสนาเปรียบเทียบ แต่ไม่ได้เป็นคริสตชน )

- ถ้าเกิดข้อบกพร่องของอีกฝ่าย  อีกฝ่ายก็ช่วยเหลือ .... ไม่งั้นก็บอกว่าจะฟ้องศาลไคฟง
เช่น บางทีมีละเลย เราก็ประท้วงค่ะ ร้องเพลงประท้วง.... ออก อย่างงี้ต้อง ลา ออก ...อย่างงี้ต้องลาออก


เรื่องพวกนี้ พอเจอคนที่ ใช่ ... คุยง่ายและมาจากน้ำใสใจจริงค่ะ โกหกกันยาก
เราคิดว่า ถ้าไปคุยหลังจากรัก+หวังเต็มที่แล้ว มันจะผิดหวังทั้งต่ออีกฝ่ายและต่อตัวเองด้วย จะเหมือนน้ำท่วมปากด้วย
ผู้ชายที่เค้าคิดจะมีเราอยู่ด้วย น่าจะมีคิดๆฝันๆเรื่องนี้ในใจอยู่แล้วล่ะค่ะ ความคิดเค้าจะบวกมากและพาเรานึกสนุก...อยากอยู่ด้วยคน

ตอนนี้แต่งงานเกิน 10 ปีแล้ว เราดีใจที่ได้คุยกันแต่แรก
จริงแล้ว เราแค่ไม่อยากทำงานบ้านคนเดียว แต่พอเริ่มคุย เค้าก็คุยทุกเรื่องเลยค่ะ คุยจริงจังเลย