คบเพื่อนผิด เปลี่ยนชีวิต

สวัสดีคะชาวพันทิป เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับดิฉัน และแม้ว่าจะผ่านมาร่วมกว่าสิบปีแล้ว บางส่วนในจิตใจก็ไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเช่นแต่ก่อน ทุกข์ใจมากๆคะ อยากเล่าไว้เป็นเรื่องเตือนใจในการคบเพื่อน แล้วก็ขอคำปรึกษากับผู้ใหญ่หลายๆท่านในนี้ด้วยคะ

เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ดิฉันตอนนั้นเพิ่งอายุ 15 ซึ่งเคยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ต้องย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่บ้านคุณย่าซึ่งอยู่ที่จังหวัดตากด้วยเรื่องทางบ้าน(คุณแม่ลงไปทำงานประจำที่กทม.) ดิฉันไม่เคยมีปัญหากับทางบ้านคุณย่า เพราะไปๆมาๆ ตั้งแต่เล็กๆ สนิทกับคุณปู่คุณย่าดีคะ บรรยากาศจังหวัดตากก็อากาศดีคะ แถมบ้านคุณย่าก็เป็นสวนด้วย ตัวดิฉันก็มีคุณย่าทำอาหารเก่ง ทุกวันทานผลไม้สดๆ อาหารอร่อยๆ มีความสุขคะ

คุณย่าท่านก็ฝากคนรู้จัก ให้เรียนต่อในโรงเรียนของจังหวัดคะ เพราะดิฉันอยู่ในช่วงวัยเข้าม.4 พอดี ก็เหมือนได้เริ่มต้นใหม่ วันแรกของการไปโรงเรียนก็ปกติดีคะ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ อาจารย์ใหม่ๆ ดิฉันก็ไปจับกลุ่มกับเพื่อนใหม่ เป็นผู้หญิงล้วน มี 5 คนคะ ชื่อ ซัน บัว ดรีม แจน ปู แต่ละคนก็นิสัยดีคะ แรกๆ ดิฉันก็คุย เล่าให้เพื่อนฟังถึงที่เชียงใหม่ เพราะเพื่อนถามบ่อย ตัวดิฉันเองสมัยนั้นช่างพูดคะ ดิฉันมีอะไรก็เล่าให้เพื่อนฟังหมด ไม่ได้คิดอะไร  เวลาคุณแม่มาเยี่ยมที หิ้วของจากกทม.มาฝากเยอะแยะ ดิฉันก็คิดถึงเพื่อนตลอดคะ รักเพื่อนกลุ่มนี้มาก พวกเครื่องสำอางแพงๆ กระเป๋าใบเล็กๆลายการ์ตูน ดิฉันพกไป ให้เพื่อนใช้ด้วยตลอด(ตอนนั้นไม่รู้ด้วยคะว่าแพง รู้แต่ว่าแม่ซื้อให้น่าจะของดี บอกเพื่อนแค่ว่าแม่ซื้อมาฝากจากกทม.) ปูรักสวยรักงาม ปูจะบอกเสมอ กลิ่นหอมแปลกดีเนอะ ก็คุยกันสนุกคะกับปู แต่กับคนอื่นๆ ดิฉันไม่เคยคิดสงสัยเลย แต่แรก รู้ตัวก็สายคะ เด็กต่างจังหวัดพอมีกลุ่มเพื่อนประจำ เวลาจะไปไหน ก็จะไปเป็นกลุ่มๆคะ เกาะกันไป ด้วยความที่ดิฉันมาจากเชียงใหม่ ที่มีฝรั่งอยู่เยอะ วิชาภาษาอังกฤษเราก็เลยแน่นกว่าเพื่อน เพื่อนในห้องก็จะถามบ่อย แต่ดิฉันไม่เคยรำคาญเลยคะ ตอนนั้นชอบ มีความสุข เหมือนเราได้ช่วยเพื่อน เรามีความสำคัญกับทุกคน และพอคะแนนสอบเทอมแรกออก ดิฉันได้คะแนนอังกฤษที่2 อาจารย์เขาก็ชมเราใหญ่ แต่เขาก็บอก โชคดี เราเคยได้คุยกับฝรั่ง ถ้ามีโอกาสให้เพื่อนๆ คุยกับฝรั่งบ่อยๆนะ จะได้ทำคะแนนได้เหมือนเรา อาจารย์ก็พูดดี

ตอนนั้นละคะ ทุกอย่างมันก็เริ่มแปลกๆ เริ่มจากก่อนนี้ดิฉันเคยชวนเพื่อนทำเสื้อกลุ่มใส่กัน ตอนแรก จะทำเป็นเสื้อยืดธรรมดา ไปๆมาๆ ก็เหมือนรวมกันคิดว่าเป็นเสื้อกันหนาว ไว้ใส่เล่นกัน แต่เพื่อนบางคนในกลุ่ม บอกว่า ไว้ทำปีหน้าได้ไหม เรายังไม่ได้เก็บเงินเลย ดิฉันก็ ไงก็ได้ แล้วแต่ทุกคน แต่ก็เหมือนบางคนอยากทำเหมือนกัน ดิฉันก็เลยเสนอไปว่า งั้นเราสั่งให้ก่อนไหม แล้วเดี๋ยวค่อยให้เราก็ได้ ไงก็เราก็เรียนด้วยกัน ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น อยากให้ใส่ด้วยกัน เพื่อนกัน รู้ไหมคะ เท่านั้นละ เพื่อนคนนึง เพื่อนคนที่ฉันรักมากในตอนนั้น ชอบเขาถึงขนาดวันเกิดเขาเราเอากระเป๋าใบที่เราชอบที่สุดให้เขา เพราะมันน่ารักสุด อยู่ๆ เขาก็บอกว่าช่างมันเหอะไม่ทำละ ตอนนั้นดิฉันก็ยังไม่ได้คิดอะไรคะ ก็ได้ๆ ยังไม่พร้อมก็ไว้ก่อนละกันเนอะ ดิฉันบอกเพื่อน แล้วก็เล่นสนุกเฮฮา ตามนิสัยสมัยก่อน "ที่ไม่เคยคิดมาก" แม้ว่าวันนั้นทุกคนจะเงียบๆไป มีแต่ปูที่เข้ามาคุย เล่นกับดิฉันตามปกติ แล้วดิฉันก็กลับบ้านตามปกติ ไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง เพราะคิดว่าไม่มีอะไร

วันรุ่งขึ้น พอมาโรงเรียนทุกอย่างมันไม่ใช่คะ ในกลุ่มเรา ไม่มีใครคุยกับเราเลยคะ ไม่แม้แต่คำเดียวคะ เดินหนี ดรีม พูดมาคำหลังจากเราเดินตามถามมาครึ่งวัน ว่าไปคุยกะแจนละกัน ดิฉันงงคะ แต่เลือกจะไปถามปู ปูเป็นคนง่ายๆคะ สวยและอ่อนโยน ปูพาดิฉันไปแอบๆมุมตึก แล้วบอกคร่าวๆ ปูได้ยิน ว่าพวกนั้นบอกว่า ดิฉันไปดูถูกว่าพวกนั้นจน

งงมาก ถึงมากที่สุดคะ ตอนนั้นต้องถามปูซ้ำอีกหลายทีว่า พวกนั้นพูดถึงคนอื่นรึเปล่า ปูบอกว่าไม่ ตอนแรกปูก็ไม่แน่ใจ แต่เพื่อนชื่อซันเป็นคนบอก ดิฉัน ก็เลยคุยกับปู ชวนกันไปคุยกับเพื่อนๆ ว่าดิฉันไม่ได้เจตนาให้คิดอย่างนั้นนะ ก็เราเพื่อนกัน ดิฉันคิดแค่ว่าจะได้ทำอะไรด้วยกัน ถ้าไม่ทำแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องโกรธกันเลย เราไม่ได้คิดแบบนั้น ปูก็ไปเป็นเพื่อนคะ ไปช่วยกันพูด แต่พวกนั้นพูดว่าไงรู้ไหมคะ "ไม่ละ ไม่อยากคุยด้วยแล้ว เบื่อ"

ดิฉันที่ตอนนั้น ทุกๆวัน ในต่างจังหวัด จังหวัดที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีห้างให้เที่ยว ไม่มีเน็ตให้เล่น มีแต่เพื่อนให้สนุก น้ำตาร่วงตรงนั้นเลยคะ ปูดีคะ ปูเข้ามาบอกว่าให้ใจเย็นๆกัน มีอะไรค่อยๆพูดกันสิ ไงก็เพื่อนกัน แต่พวกนั้นไม่ฟังคะ แล้วบางคนจู่ๆ ก็ออกมาบอกว่า ดิฉันชอบอวดรวย เอาแต่ใจ เก่งเหลือเกินก็อยู่คนเดียวละกัน ดิฉันนี่ ยืนอึ้งเลยคะ เพื่อนอีกกลุ่ม ซึ่งปกติ ไม่ค่อยถูกกัน อยู่ๆ ก็ยังเดินเข้ามาช่วยคะ ว่า "พวกแกเวลารักนี่ดีเหลือเกิน ทะเลาะกันทีนี่ ยิ่งกว่าพวกกูอีกนะ คำว่าอภัยนี่สะกดกันไม่เป็นเลยสิท่า" แต่พวกนั้นเงียบกริบคะ เดินหนีกลุ่มที่มาช่วยดิฉัน  ปูก็พาดิฉันที่ตอนนั้นนั่งร้องไห้กับพื้นดิน ลุกขึ้นไปหาที่ม้านั่ง แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวปูจะลองคุยดูนะ แล้วดิฉันก็นั่งเรียนคนเดียวตลอดวันนั้น

กลับบ้านดิฉันลองปรึกษาคุณพ่อ เล่าคร่าวๆ ว่าเราทะเลาะกับเพื่อน ทำอย่างไรดี ท่านก็บอกว่าเพื่อนกันจริงๆ รอสักระยะ อารมณ์เย็น ก็ลองชวนมานั่งคุยกันดู ถ้ารักกันจริง เดี๋ยวก็เครียกันได้ ท่านก็คิดว่าเด็กๆ ไม่น่าโกรธกันมากมาย เรื่องก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ดิฉันก็มีกำลังใจจากท่านพูดตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้น ทำตัวปกติ คอยหาโอกาสคุยกับเพื่อนเอา

แต่ อาทิตย์ก็แล้ว เดือนก็แล้ว จนถึงสองเดือนคะ ระหว่างนั้นก็ดิฉันก็พยายามพูดคุยกับเพื่อนให้ปกติ เพราะต้องทำงานกลุ่มร่วมกัน ปูตอบดิฉันดีตามปกติคะ แต่คนอื่นๆยังคงเหมือนเดิมคะ นิ่ง สบัดหน้าหนี บางคนลุกหนีไปเลยคะ ก็พยายามอดทนคะ ช่วงนั้นกลับบ้านร้องไห้ทุกวัน ว่าเราทำอะไรผิดเหรอ สิ่งที่เราทำ เราขอโอกาสได้ไหม แม้ว่าจะไม่รู้จริงๆ คะ ว่ามันคืออะไรกันแน่ พอปรึกษาครูประจำชั้น คำตอบที่ได้ ก็คือ ยุบๆกลุ่มมันไปซะ ต่างคนต่างอยู่ เพื่อนคนอื่นอยากให้ยุบคะ เราไม่อยากเลย แต่ก็ต้องตามเขาคะ นั่งน้ำตาร่วงคนเดียวเหมือนเคยคะ

แล้วทุกๆวันสิ่งที่เราเจอ การไปนั่งคนเดียวในห้องสมุดจนหมดเวลาพัก นั่งคนเดียวจนรถประจำทางมารับ กินข้าวคนเดียว ปูมานั่งด้วยบ้าง แต่ตอนนั้นปูย้ายไปอีกห้อง เลยไม่ค่อยได้มาด้วยคะ ทุกอย่างนี้ เปลี่ยนให้ช่วงท้ายที่เราเรียนที่นี่ เราเงียบกริบคะ จากคนหัวเราะทั้งวัน กลายเป็นคนนั่งคิดทุกวันคะ คิดเรื่องเดิมๆ เราทำอะไรผิด? วนทุกวันคะ นานเข้า เริ่มไม่สบายบ่อย เรียนไม่รู้เรื่องคะ วันสุดท้าย เราเดินเข้าไปคุยกับพวกนั้นคะ เดินเข้าไปซื่อๆเลย "ตกลงเราไม่คุยกันแล้วใช่ไหม" พวกนั้นตอบเลยคะ "ยังต้องพูดอีกเหรอ น่าเบื่อ" ดิฉันเดินออกเลยคะ ถือว่าจบ แล้วตกเย็นวันนั้นกลับบ้าน โทรหาคุณแม่เลยคะ คือ ดิฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เด็กอายุ 15 คะ ในตอนนั้นมันไม่ไหวจริงๆ ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ คือสิ่งที่เราคิดคะ
ไม่กี่วัน คุณแม่มารับ เราโดดขึ้นรถเลยคะ บอกว่าไปเที่ยวช่วงปิดเทอมเฉยๆ แต่ในใจคือ ไม่กลับแน่นอนคะ แล้วเราก็มาเรียนต่อกทม.ในเวลาต่อมา

แต่ แต่สิ่งที่มันไม่มีวันจางหาย คือ แผลในตอนนั้นคะ จนตอนนี้ แม้ว่าจะเข้าสู่วัยทำงาน เราก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยยิ้ม หัวเราะ จนหลายคนรอบข้าง มาบอกทีหลังว่าเราน่ากลัว ไม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง เพื่อนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาและเข้าใจก็มีบ้างคะ แต่ส่วนใหญ่ จะมองว่าเราคุยยาก ซึ่งต่างกับแต่ก่อน เรามีเพื่อนหัวเราะเฮฮาตลอด เหมือนเราเสียข้อดีของเราไปตลอดกาล เพื่อเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน เพื่อนที่เสียเวลา เสียน้ำตา เสียความรู้สึก ทีได้รู้จักกัน

ดิฉันกลายเป็นคนขี้ระแวง ใครทำอะไร ก็คิดไปไกล กลัวคนนู้นคิดว่าเราอย่างงู้นอย่างงี้ คิดไปหมดคน หลายคนบอกว่าเราคิดมาก ทั้งที่แต่ก่อน ไม่มีใครพูด มีแต่คนบอกแต่ว่าเราเฮฮาไม่จริงจังดี ช่วงปีสองปีแรกที่มาอยู่กับคุณแม่อาการหนักมากคะ ไม่ไว้ใจใคร ไม่คุยกับเพื่อนใหม่ อยู่คนเดียว คุยแต่กับคุณแม่เท่านั้น คุณแม่ก็เฝ้าแต่บอกว่า ช่างมันๆ เพื่อนหาใหม่ได้ ดีๆ เยอะแยะ แต่ดิฉันก็ยังลืมไม่ได้อยู่ดีคะ รักมาก เจ็บมาก ลืมยาก

มีเพื่อนคนนึงที่ดีกับดิฉัน ถามว่า ถ้าวันนึงเจอกันอีก จะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม กับพวกนั้น ดิฉันตอบคำเดียว โดยไม่คิดคะ คงไม่อโหสิ แน่นอน ช่วงนั้น ตัวเรา ครอบครัวเราทุกข์มากคะ คงจะให้ผ่านไปไม่ได้

ก็ฝากไว้เป็นอุธาหรณ์กับน้องๆ หลายคนที่ยังเรียนอยู่โดยเฉพาะช่วงมัธยม ที่เราจะติดเพื่อนมาก คบเพื่อน ดูกันนานๆ รักได้ แต่อย่าให้ใจไปทั้งหมดแต่แรก เพื่อนแท้ต้องผ่านอะไรหลายอย่าง วันสุขอยู่ข้างกัน วันทุกข์ก็ต้องอยู่ข้างกันด้วย ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนเป็นยังไง บอกว่าเพื่อนรัก ให้กันได้ทุกอย่าง ก็อย่าลืมให้อภัยให้โอกาสซึ่งกันและกัน มันคงรักษาความเป็นเพื่อนต่อกันไม่ได้ ถ้ามีเพียงคนเดียว เดินเข้าหา แต่อีกคนเดินหนีออกไป เพื่อนบางคน อาจจะขอโทษ ไม่ใช่เพราะสำนึกผิด แต่เพราะเขารู้ว่าความเป็นเพื่อนสำคัญกว่า ถ้าเรายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ก็ควรมองข้ามปัญหานั้นไป

แต่กระนั้นก็อยากปรึกษาผู้ใหญ่ในพันทิปคะ ว่าดิฉันควรจะทำอย่างไรดี ดิฉันอยากได้ตัวตนที่ดีของตัวเองกลับมา อยากลืมพวกนั้นไป จะสามารถทำได้ไหมคะ

ขอบพระคุณท่านที่กรุณา ฟังดิฉันระบาย เรื่องนี้จนจบ ทุกๆ คำแนะนำ ทุกๆ คำพูด มีค่ากับดิฉันมากคะ ขอบคุณคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่