ด้านสว่างและด้านมืดของโรงเรียนประจำ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์ตรง  ก่อนอื่นต้องตกลงกันก่อนว่า ขอความกรุณาอ่านไปเรื่อยๆ
ไม่เดา ไม่ขุดคุ้ย อยากแค่เล่าให้ฟังว่า  โลกนี้ไม่มีอะไรขาวหรือดำ ทุกอย่างเป็นเพียงประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
เป็นสิ่ง หล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่ง ได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญานรู้จักวางตัวกับสังคม
นะคะ นะคะ นะคะ  ไม่ขุดคุ้ย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1.ตอนเมื่อแม่สนองนี้ดตัวเอง
มีลูกคนแรกเมื่ออายุ 40 อยากได้ลูกมากจนไม่ยอมตรวจน้ำคร่ำ  พออายุครรภ์ได้แปดเดือนวิตกกังวลเป็นที่ยิ่งว่า
ลูกรักจะปกติหรือไม่ แต่ก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ลูกออกมาปกติ  เอ๊ะ หรือไม่  ไม่แน่ใจ  
แต่ก็เลี้ยงลูกมาจนเข้าอนุบาล ชั้นประถมตามลำดับ  ลูกเป็นเด็กฉลาด  เรียนดี
แต่เป็นที่รังเกียจ  อืมมม...ไม่สิ  เป็นที่เอือมระอา ของบรรดาคุณครูทั้งหลาย ทำไมหรือ  เดี๋ยวบอก  

เนื่องจากอยู่ในเมือง และ ตอนเป็นเด็ก ตัวแม่เองไม่เคยมีพ่อแม่ตามประกบ เมื่อลูกเรียนอยู่ชั้น ป.4 แม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการโอ๋ลูก  
จึงสอนวิธีการหาทางกลับบ้านเอง ไม่ไปรับส่งทุกวันเช่นเคย ดังนั้นจึงไม่ได้ไปที่โรงเรียนบ่อยนัก
แต่ทุกครั้งที่ไปรร. เมื่อเดินเข้าไป  จะเจอเหตุการณ์ดังนี้เสมอ
เจอครูสอนสังคม
“พี่...(ลากเสียงยาวมาก)ไม่มาซะนาน  ลูกสาวไม่ไหวเลย  ไม่ส่งงาน  ไม่จี้ไม่ส่ง  ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ในห้องก็ไม่สนใจเรียน ชอบมองนอกหน้าต่าง ชอบฉีกกระดาษไว้ใต้โต๊ะเต็มไปหมด ชอบฟุบบนโต๊ะ ฯลฯ”
ยังไม่ทันตอบคนแรก ครูภาษาไทยมาสมทบ ประโยคเดียวกับครูสังคม  และ ครูคณิตศาสตร์  ตามมาด้วยครูการงาน ประโยคนั้นเช่นกัน
แม่ได้ฟังอื้ออึงสองหูแน่นเปรี๊ยะๆ เอ๊ะก็ถามทุกวันนี่หนา ว่ามีการบ้าน  มีงานส่งไหม เขาบอกว่าไม่มีทุกครั้ง  
แม่เดินงงๆจน กลับถึงบ้านจัดการดุจนร้องห่มร้องไห้  แต่วันหลังก็ ตามสภาพเดิม
หมายเหตุ  ชอบมองนอกหน้าต่าง ชอบฉีกกระดาษไว้ใต้โต๊ะเต็มไปหมด ชอบฟุบบนโต๊ะ
พฤติกรรมเหล่านั้น ลูกมีเหตุผลอธิบายให้เข้าใจได้เพราะแม่พร้อมจะเข้าใจ ซึ่งยังไม่บอกตอนนี้นะคะเดี๋ยวจะนอกเรื่อง

เพราะเหตุนี้แม่ตั้งใจเลยว่า  จบป. 6 จะส่งเธอไปอยู่ รร ประจำดัดนิสัย  เชื่อว่าลูกเก่งต้องสอบเข้าได้แน่ๆ
ซื้อใบสมัครที่จะสมัครทางไปรษณีย์มา ลูกไม่ยอมสมัครจนหมดเขตส่ง แม่สั่งซื้อใบสมัครอีกครั้งที่จะไปสมัครวันสุดท้าย  
ปลอบลูกว่า แม่อยากให้ลองไปสอบ จะเรียนหรือไม่ก็ตามใจ  แต่แม่อยากรู้ว่าลูกจะเก่งสอบได้ตามที่แม่คิดไว้ไหม
หลอกล่อ จนลูก ยอมให้แม่ขับรถพาข้ามสองจังหว้ด  ไปสมัครสอบแบบไม่เต็มใจ ปากลูกก็พร่ำบอกตลอดเวลาว่า  

"ถึงสอบได้หนูก็ไม่เรียนนะแม่ แม่สัญญานะ  หนูจะอยู่กับแม่ หนูไม่ไปอยู่ประจำนะ" แม่ก็เออออห่อหมกไปตามน้ำ  

จนถึงวันสอบ ก่อนลงจากรถ เข้าห้องสอบ ลูกหันมาย้ำกับแม่อีกทีว่า
"แม่สัญญานะว่า ถึงสอบได้หนูก็จะไม่เรียนที่นี่ "
“จ้า..ไปสอบเถอะ ทำให้เต็มที่ทดสอบตัวเอง นี่มัน รร. ระดับ สิบสองของประเทศนะ สอบได้จะภูมิใจนา
ดูสิ ใครก็มาสอบกันเป็นพันๆ เขารับแค่ 135 คน เด็กมาสอบเป็นพันๆ เชียวนะลูก”

สอบเสร็จถามว่าเป็นไง ข้อสอบยากไหม ลูกบอกว่า ไปเถอะแม่  กลับบ้าน  ไม่พูดเรื่องข้อสอบสักคำ  แม่ถอดใจแล้วไม่อยากเซ้าซี้

วันประกาศผลแม่เข้าไปดูในเน็ต เปิดไล่ลงมาๆๆๆๆๆไม่มีชื่อลูก เออ คงไม่ได้แล้ว แม่นึกในใจ จ๊ะเอ๋ ชื่อลูกฉัน อยู่ติดกับเส้นขึดเส้นใต้  จบ  พอดี
ยูเรก้า  ก่าก๊า  ยูเรก้า  ก่าก๊า ได้ตัวจริงคนสุดท้าย
แม่ดีใจ รีบไปที่ รร. ที่ลูกเรียน  มีงานรุ่นน้องกำลังเลี้ยงส่งรุ่นลูกอยู่พอดี  ไปบอกลูกด้วยความดีใจ แต่สิ่งที่ปรากฏคือ  ลูกซัดโฮออกมาตรงนั้น  
“ฮือๆๆๆๆไม่นะแม่ไม่นะ  หนูไม่ไปเรียนที่นั่น  หนูไม่ไปอยู่ประจำ  หนูจะอยู่กับแม่”
"เอานะ แล้วค่อยคุยกัน  ใจเย็นๆลูก"

ถึงกำหนดวันรายงานตัว ลูกบอกแม่ว่า หนูไม่ไปหนูไม่เรียน  ไม่ไปอยู่ประจำ
แม่บอกว่า ลองไปดูแล้วกันนะลูก ไปดู รร ก่อนไปถึงเราไปรายงานตัวแล้วหากลูกไม่อยากอยู่จริงๆ  
วันมอบตัวเราไม่ต้องมามอบก็ได้ รายงานตัวไว้ก่อน  แล้วลูกอยากสอบที่ไหนอีกก็ค่อยว่ากัน  ไหนๆก็ได้แล้วนะลูกนะ
หมายเหตุ  รร. นี้เป็น รร.พิเศษ เปิดสมัครสอบก่อน รร. สังกัด สพฐ.ปกติ
พอมาถึง รร. นั่งอยู่ด้านล่างหอประชุมด้านบนเป็นที่รายงานตัวดูท่าทีไปเรื่อยๆ  
อาจจะด้วย บรรยายกาศ ได้พูดคุย ได้ฟังผู้ปกครองอื่นๆ พูด ด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจที่ลูกของตนสามารถสอบผ่านเข้าเรียนใน รร. นี้
ได้พูดถึงคุณภาพเด็กๆ  ที่จบไปจากรร. นี้  ลูกจึงยอมเข้ารายงานตัว และเริ่มรู้สึกภูมิใจในตัวเอง  
บอกแม่ว่า “ไปรายงานตัวกันเถอะแม่  จะได้กลับ บ้าน แต่แม่ต้องสัญญานะว่าให้หนูเลือกว่าจะอยู่หรือไม่อีกที
และหากหนูอยู่แม่ต้องให้หนูกลับทุกอาทิตย์”
(อยากกลับไปเล่นเกม ติดเกมมาก)”ได้จ้ะ  แม่สัญญา”ฉันแอบดีใจ

ต่อมาเมื่อมีการเปิดรับสมัครสอบเข้าเรียนต่อของ รร. สังกัด สพฐ ในจังหวัดที่อยู่ ลูกไม่สนใจจะสอบที่ใดๆเลย เอาแต่เล่นเกม  
และตัวแม่เองก็พาเที่ยวระหว่างปิดเทอมสนุกสนานกันใหญ่ เพราะเขารู้ว่าเขามีที่เรียนแล้ว ตอนนั้นเริ่มภูมิใจมีโม้เล็กน้อย

จนวันนั้นมาถึง วันมามากแห่งอารมณ์  วันมอบตัวเข้าหอพักเพื่อไปปรับพื้นฐานเด็กใหม่ ไปอยู่ประจำ  
ตอนช่วยกันจัดกระเป๋าเตรียมตัวลูกยังสนุกสนาน ตื่นเช้า ใส่ชุดใหม่ ของโรงเรียนใหม่  ด้วยความภูมิใจ และชื่นชมตัวเองเมื่อออกจากบ้าน
ขณะที่รถข้ามจังหวัดบ้านเกิด สู่จังหวัดที่สอง ในรถ สนุกสนานฮาเฮ ร้องเพลงต่อกลอน สรวลเสเฮฮา
สองชม.ผ่านไป เมื่อล้อรถ สัมผัสกม.ที่ 0 ของจังหวัดที่โรงเรียนตั้งอยู่  เสียงเฮฮาในรถหายไป  ความเงียบงึมเข้ามาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้  
รู้แต่ว่าหมดเรื่องคุย นึกเรื่องคุยไม่ได้ จนรถเลี้ยวเข้าสู่ประตูโรงเรียน ไปส่งลูกที่หอพักหญิง ลงจากรถ

ลูกเริ่มจับมือแม่  น้ำตาคลอ  มองตาแม่ (ลูกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นแม่ก็ใจแห้งไปหมดแล้วเหมือนกัน)
”แม่จ๋า   หนูไม่อยากอยู่แล้ว หนูอยากกลับบ้าน”
“ไม่เอาลูกไม่เหลวไหล  ลูกยังไม่ได้อยู่เลยลูกรู้ได้ไงว่าอยู่ไม่ได้  อยู่แล้วลูกอาจจะชอบก็ได้นะ ใจเย็นๆ ลองดูก่อนก็ได้นะลูกนะ”
ไปดูรายชื่อว่าลูกอยู่ชั้นไหน หออนุญาตให้ผู้ปกครองไปส่งลูกที่เตียงได้เพื่อจะได้ดูสภาพที่ลูกจะมาอยู่  ก็สภาพเหมือนหอพักทั่วๆไป  
เอาของไปเก็บเรียบร้อย  แล้วลงกันมา เพราะเด็กจะต้องเข้าห้องประชุม  ผู้ปกครองต้องกลับบ้าน แต่ยังไม่ถึงเวลา  

ตอนนี้สภาพสีหน้าท่าทางลูกเริ่มกระสับกระส่าย เข้ามากอดแม่ น้ำตาคลออีก  แม่ หนูอยู่ไม่ได้จริงๆ  หนูไม่อยากอยู่
แม่ทำเสียงเย็นๆ “หนูรู้ได้ไงว่าอยู่ไม่ได้  ประเดี๋ยวหนูมีเพื่อนไปเองละ ใจเย็นๆลูก แม่เชื่อว่าหนูทำได้ ”

ลืมบอกไปว่าเด็กอื่นที่เข้าใหม่ จะมีเพื่อนจาก รร.เดิมมาด้วยคนสองคน  หรือบางคนก็เป็นกลุ่ม
แต่ลูกเป็หนึ่งเดียวจาก รร.เดิม  ส่วนพื้นฐานลูกเป็นเด็กที่โลกส่วนตัวสูงมาก...มั้ย.... ไม่แน่ใจ แต่ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท

เห็นแม่ไม่ยอม  ลูกก็ออกเดินเวียนตึกสองสามรอบ  กลับมาหาแม่นั่งคุกเข่า ตรงหน้า สะอึกสะอื้น เอามือวางที่เข่าแม่

“แม่ อย่าให้หนูอยู่ที่นี่นะ  หนูอยู่ไม่ได้จริงๆ หนูไม่อยากอยู่ หนูอยากอยู่กับแม่ “ พูดไปสะอึกสะอื้นไป

ฉันดึงลูกขึ้นมากอดอย่างแน่น ใจว้าวุ่น   แต่ฉันต้องเดินต่อ

“ลูกไม่ร้องลูกต้องเข้มแข็ง  ลูกไม่อยู่ที่นี่ ลูกก็ไม่มีที่เรียนเพราะลูกไม่ได้สอบที่อื่นไว้เลย ลูกต้องอยู่
เช็ดน้ำตาซะ แม่จะพาไปล้างหน้า แล้วไปเข้าแถว ครูเรียกขึ้นห้องประชุมแล้ว แม่จะไปส่งที่แถว  แล้วแม่จะกลับละ”

ฉันดึงลูกลุกขึ้น พาไปล้างหน้าแล้วส่งเขาเข้าแถว ส่วนตัวฉันขับรถออกมาแต่มาแอบจอดไว้ไม่ให้เขาเห็น แอบมองลูกเดินในแถว  
ตั้งแต่ส่งลูกเข้าแถว ลูกไม่เงยหน้าดูอะไรอีกเลยดูแต่ชายกระโปรงเด็กข้างหน้าเพื่อเดินตาม  ฉันมองลูกเดินเข้าห้องประชุมจนลับตา

ตัดใจออกมาขึ้นรถเพื่อกลับบ้านให้คนที่มาด้วยขับให้ เพราะรู้ตัวว่าขับกลับเองไม่ไหวจริงๆ เมื่อรถออกมาถึงปากประตูโรงเรียน
นั่นละตัวตนฉันระเบิดทันที

โฮโฮโฮ ฮือฮือ  ฉันทำอะไรไปนี่ ฉันทำอะไรกับลูก...นี่เป็นคืนแรกที่ลูกต้องจากแม่จากบ้านไปนอนที่ที่ไม่คุ้ยเคย ฮือฮือ(สะอึกสะอื้นยิ่งกว่าลูกเมื่อกี้)

น้ำตา มาจากไหนไม่รู้  มันพังความเข้มแข็ง ที่ฉันพยายามฉาบใจให้มันเป็นสีดำสนิท   ละลายไปหมดสิ้น

แต่...... ช้าก่อน  

ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับโลกภายนอกของลูกฉันในโรงเรียนประจำมันยังไม่เริ่มต้น น้ำตาเราสองคนยังต้องหลั่งอีกหลายรอบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่