ทำไมจูล่ง นี่ตอนบั้นปลายไม่ได้อวยยศเท่าที่ควรครับ

อ่านการ์ตูนหงสา  ก็พอเข้าใจเหตุผล
แต่ในสามก๊กฉบับจริง  กับในประวัตศาสตร์จริงๆมีเนื่องนี้ไหมครับ หรือจริงๆก็อวยยศตามปกติ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ฉบับวรรณกรรมไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ชัดเจน


ส่วนในประวัติศาสตร์ อ้างอิงเนื้อหาจากจดหมายเหตุสามก๊ก  มีบันทึกไว้ดังนี้


        ปีค.ศ.229 (ตรงกับปีเจียนซิงที่ 7) จูล่งล้มป่วยแล้วเสียชีวิตลง รวมอายุได้ 61 ปี ซึ่งในสมัยที่เล่าปี่เป็นฮ่องเต้นั้น ขุนนางที่ได้รับเกียรติให้มีการอวยยศเพิ่มหลังจากเสียชีวิตไปแล้วมีเพียงแค่หวดเจ้งคนเดียวเท่านั้น ส่วนในสมัยที่เล่าเสี้ยนครองราชย์ ภาระต่างๆของบ้านเมืองได้มอบให้เป็นหน้าที่ของขงเบ้ง เจียวอ้วน และบิฮุย ซึ่งหลังจากพวกเขาทั้งสามคนสิ้นไปแล้ว ก็ล้วนได้รับการอวยยศย้อนหลังทั้งสิ้น ส่วนบรรดาครอบครัวที่เหลือของขุนนางเหล่านี้ล้วนได้พระราชทานรางวัลและการดูแลให้อย่างดี ส่วนในบรรดาขุนพลนั้น แฮหัวป๋าถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากหลังจากสิ้นชีพไปแล้ว

        ด้าน กวนอู เตียวหุย ม้าเฉียว บังทอง ฮองตง และจูล่ง ทั้งหมดล้วนได้รับสมัญญานามและตำแหน่งย้อนหลังที่เหมาะสมกับเกียรติภูมิในสมัยของเล่าเสี้ยนด้วย สำหรับจูล่งนั้นเป็นผู้ที่สร้างผลงานความชอบ เป็นที่ยกย่องมาก
ดังนั้นในปีค.ศ.261 (ตรงกับปีจิ้งเหยาที่ 4) จูล่งจึงได้รับการอวยยศย้อนหลังเป็น “ซุ่นผิงโหว” หรือพระยาสามัญนิยม (Marquis of Shunping) ส่วนบุตรชายทั้งสองคนของจูล่งคือ เตียวต๋ง บุตรชายคนโตได้รับตำแหน่งทางทหารแทนที่ต่อมาเป็น “หูเปิ่นจงหลาง” นายพลพยัคฒ์เดช ส่วนเตียวกอง บุตรชายคนรองได้รับตำแหน่งเป็น “หย่าเหมินเจียงจวุน” นายพลแห่งความเที่ยงตรง ทั้งสองคนได้ร่วมติดตามเกียงอุยไปทำศึกภาคเหนือปราบวุยก๊ก แล้วก็เสียชีวิตในระหว่างการรบ

        ด้านเผยซงจือได้บันทึกแทรกประกาศฏีกาของเล่าเสี้ยนที่ต้องการกล่าวยกย่องจูล่งเป็นการเฉพาะเจาะจงหลังจากจูล่งสิ้นชีพไปหลายสิบปีแล้วว่า

        “เมื่อครั้งอดีต จูล่ง ได้ติดตามรับใช้และคอยช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) ด้วยดีเสมอมา วีรกรรมและความดีเหล่านั้นควรค่าแก่การสรรเสริญยกย่อง ตัวเรา (เล่าเสี้ยน) สามารถเอาชีวิตรอดพ้นจากภยันตรายมาได้นั้นถือว่าติดหนี้บุณคุญในความจงรักภักดีที่หาใดจะเปรียบได้ของเขา ดังนั้น จึงนับว่าเป็นการคู่ควรอย่างยิ่งที่จะประกาศก้องไปทั่วว่า จูล่ง คือยอดคนที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือก่อร่างสร้างอาณาจักร (จ๊กก๊ก) ขึ้นมาได้สำเร็จ”

        นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารเกียงอุยกับเหล่าขุนนางและขุนพลคนอื่นๆล้วนได้ข้อสรุปว่า นับตั้งแต่จูล่งเริ่มติดตามรับใช้เล่าปี่ ก็ได้คอยช่วยเหลือและสร้างผลงานความชอบอย่างยอดเยี่ยม ยึดมั่นในกฏระเบียบ เป็นแบบอย่างที่ควรได้รับการจารึกไว้ วีรกรรมที่ทุ่งเตียงหยางนั้นแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ภักดีและความยึดมั่นในคุณธรรม ด้วยเหตุนี้ การได้บุคคลเช่นเขาเป็นบริวาร จึงย่อมเป็นความปิติยินดีอย่างเหลือคณาขององค์ฮ่องเต้
ตามที่กล่าวมา เมื่อพิจารณาตามกฏมณเฑียรบาลในการอวยยศย้อนหลังนั้น บุคคลผู้มีจิตใจอ่อนโยน สุขุมรอบคอบ และเปี่ยมด้วยความกล้าหาญ จะได้รับพระราชทานคำว่า “ซุ่น” และสำหรับผู้ที่มีความสามารถจัดการเรื่องราวอันยากลำบากได้ดี และมีความสามารถสยบความวุ่นวายต่างๆได้นั้น จะได้รับพระราชทานคำว่า “ผิง” ดังนั้น จูล่งจะได้รับการอวยยศย้อนหลังเป็นพระยาสามัญนิยม “ซุ่นผิงโหว” (Marquis of Shunping)


        ยกมาจากหนังสือ จดหมายเหตุสามก๊กภาคยอดขุนพลจ๊กก๊ก (หนังสือผมเอง ขายของหน่อย)


        จริงๆแล้ว เคสของจูล่งไม่แปลกนะครับ คือเราจะพบว่าในก๊กอื่น อย่างฝ่ายวุย มีเคาทูที่ใกล้ชิดโจโฉมาก แต่ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไร เพราะเป็นราชองครักษ์อยู่ข้างกาย ได้รับหน้าที่นำทัพออกศึกบ้าง แต่ไม่ได้นำทัพใหญ่ หรือมีกรณีของเล่งทองและจิวท่าย ที่เป็นองครักษ์ของซุนกวนด้วย ตำแหน่งในกองทัพสูงจริง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ระดับแม่ทัพใหญ่

         ลองดูสมัยราชวงศ์อื่นๆบ้าง สมัยถังไท่จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ได้มอบตำแหน่งระดับสูงในกองทัพให้สองขุนพลคู่ใจคือ ฉินซู่เป่า และ เว่ยฉีจิ้งเต๋อ ได้ตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ในกองทัพ ซึ่งสองคนนี้สมัยก่อนมีหน้าที่เป็นราชองครักษ์คู่กายเฝ้าอยู่หน้ากระโจมของถังไท่จงด้วย แต่สองคนนี้ได้รับหน้าที่ให้คุมทัพใหญ่อีกต่างหาก ต่อมา ฉินซู่เป่า ได้เป็นถึงอ๋อง แต่ก็ไม่ได้ยุ่งการเมืองเท่าไรนัก ตอนอายุมากแล้ว ต้องการออกศึก ก็โดนห้ามปรามไว้เพราะกลัวว่าแก่แล้วจะออกไปแพ้ ส่วนเว่ยฉีจิ้งเต๋อจะยุ่งการเมืองมากกว่า  


        สรุปว่า เรื่องตำแหน่งของจูล่งที่ด้อยกว่าอีกสี่ขุนพลทหารเสือที่เหลือ เอาจริงๆแล้วไม่ได้เป็นประเด็นนักหนาหรอกครับ เพราะม้าเฉียวนี่ตำแหน่งสูงจริง แต่เหมือนตั้งไว้ลอยๆเพื่อเอาใจ แล้วม้าเฉียวมีสถานะดั้งเดิมเป็นบุตรชายของม้าเท้งที่เป็นขุนศึกตระกูลใหญ่ทางเหนือ มีศักดิ์ศรีของตนเองสูง เมื่อมาอยู่กับเล่าปี่ ก็ได้รับตำแหน่งนายพลระดับสูง ใกล้เคียงกับกวนอู และ เตียวหุย ทันที จึงไม่แปลกนัก
ความคิดเห็นที่ 12
ถ้าเป็นบั้นปลายของจูล่งจริงๆ ก็ยศสูงนะครับ

อ้างอิงจดหมายเหตุสามก๊กของเฉินโซ่ว ในรัชศกเจี้ยนซิงที่ 1 (ค.ศ.223) ปีแรกในรัชสมัยพระเจ้าเล่าเสี้ยน  จูล่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจงฮู่จวิน (中護軍)    ควบยศ เจิงหนานเจียงจวิน (征南將軍) ขุนพลพิชิตทักษิณ  มีบรรดาศักดิ์หย่งชางถิงโหว (永昌亭侯) หรือ โหวหมู่บ้านหย่งชาง    ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นเจิ้นตงเจียงจวิน (鎮東將軍) ขุนพลพิทักษ์บูรพา  

จงฮู่จวิน หรือผู้พิทักษ์ทัพกลาง (คำว่ากลาง 中 หมายถึงราชธานี)  ของจ๊กก๊กหน้าที่ไม่ชัดเจน  แต่ของวุยก๊กมีหน้าที่บัญชาการทหารองครักษ์ส่วนกลาง และควบคุมการคัดเลือกข้าราชการฝ่ายทหาร  ถ้าจูล่งมีหน้าที่แบบเดียวกัน ก็นับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ


ขออธิบายยศเจียงจวิน (將軍) หรือตำแหน่งขุนพลในสมัยฮั่นตะวันออกสักหน่อยครับ   ตำแหน่งขุนพลระดับสูงสุดมีสี่ตำแหน่งไล่จากสูงไปต่ำคือ  ต้าเจียงจวิน (大將軍) มหาขุนพลหรือแม่ทัพใหญ่  เทียบเท่าผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ถัดมาคือ เพี่ยวจี้เจียงจวิน/เพี่ยวฉีเจียงจวิน (驃騎將軍) ขุนพลทหารม้าทะยาน   จวี้จี้เจียงจวิน/เชอฉีเจียงจวิน (車騎將軍) ขุนพลทหารม้ารถศึก  และเว่ยเจียงจวิน (衞將軍) ขุนพลองครักษ์   ถัดลงมาคือขุนพลสี่ทิศได้แก่ หน้า (前) ซ้าย (左) ขวา (右) หลัง (後)  เหล่านี้เป็นตำแหน่งขุนพลระดับสูงเรียกว่า จ้งเฮ่าเจียงจวิน (雜號將軍) หรือขุนพลชื่อสำคัญ  

ในปลายราชวงศ์ฮั่นตั้งตำแหน่งต้าซือหม่า (大司馬) หรือสมุหพระกลาโหมให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สูงกว่าต้าเจียงจวินขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง  

ขุนพลระดับรองลงมาเรียกว่า จ๋าเฮ่าเจียงจวิน (雜號將軍) หรือขุนพลชื่อหลากหลาย  คือขุนพลชื่ออื่นๆ นอกเหนือจากด้านบน  ดั้งเดิมในสมัยราชวงศ์ฮั่นไม่ได้เป็นตำแหน่งประจำ มักตั้งเป็นคราวๆ ไปโดยให้มีชื่อเข้ากับหน้าที่ อาจเรียกตามชื่อทิศที่ออกไปรบหรือประจำการ เช่น สี่พิชิต (四征)  สี่พิทักษ์ (四镇)  สี่สงบ (四安)  สี่สันติ (四平)   และยังมีชื่ออื่นหลากหลายไปอีก     (ระบบวุยก๊กยกให้สี่พิชิตกับสี่พิทักษ์สูงกว่าขุนพลสี่ทิศ สี่พิชิตสูงกว่าสี่พิทักษ์  ส่วนจ๊กก๊กให้ขุนพลสี่ทิศสูงกว่าสี่พิชิตพิทักษ์ สี่พิทักษ์สูงกว่าสี่พิชิต แต่ถ้าสี่พิชิตสี่พิทักษ์ได้ติดยศเป็นต้าเจียงจวินด้วยจะสูงกว่าขุนพลสี่ทิศ)


ตำแหน่งทางทหารของจ๊กก๊กในสมัยขงเบ้งไม่ได้ตั้งตำแหน่ง "ต้าเจียงจวิน"  ขงเบ้งเป็นอัครมหาเสนาบดี รวบอำนาจทั้งทหารและพลเรือนไว้ในมือ หลังขงเบ้งตายจึงยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี เจียวอ้วนได้เป็นต้าเจียงจวิน แล้วได้เลื่อนเป็นต้าซือหม่า ควบอำนาจว่าราชการซ่างซู จากนั้นผู้มีอำนาจสูงสุดในจ๊กก๊กคือ บิฮุย เกียงอุย ต่างได้เป็นต้าเจียงจวิน


ผู้ที่มีตำแหน่งทหารสูงสุดคือลิเงียม  ที่เป็นผู้สำเร็จราชการคู่กับขงเบ้ง ซึ่งเล่าปี่ก่อนตายได้แต่งตั้งเป็น จงตูฮู่ (中都護) หรือผู้บัญชาการทหารกลาง ให้มีอำนาจบัญชาการฝ่ายทหารทั้งในและนอกของจ๊กก๊ก ประจำการที่เมืองหย่งอัน (永安) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเล่าปี่ในช่วงนั้น   เมื่อเล่าเสี้ยนครองราชย์ได้รับคฑาอาญาสิทธิ์ ควบตำแหน่งกวงลู่ซวิน (光禄勋) สมุหมณเฑียรบาล บัญชาการทหารรักษาพระองค์และขุนนางที่ปรึกษา     แต่ในทางปฏิบัติอำนาจของลิเงียมอยู่แค่แถบหย่งอันเท่านั้น  ในจดหมายเหตุหัวหยางกั๋วจื้อเรียกเพียงว่า ตูฮู่แห่งหย่งอัน (永安都護)

รัชศกเจี้ยนซิงที่ 4 (ค.ศ. 226) ได้เลื่อนยศทหารเป็น เฉียนเจียงจวิน (前將軍) ขุนพลฝ่ายหน้า   เมื่อขงเบ้งยกทัพขึ้นเหนือ จึงย้ายลิเงียมมาเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งเจียงโจว (江州都護) ให้ดูแลแนวหลัง ส่งตันเตา (陳到 เฉินเต้า) ไปดูแลหย่งอันแทนโดยอยู่ใต้บังคับบัญชาลิเงียม อำนาจทหารของลิเงียมจึงครอบคลุมทั้งหย่งอันและเจียงโจว  

รัชศกเจี้ยนซิงที่ 8 (ค.ศ. 230) (ตอนนั้นจูล่งตายแล้ว) ได้เลื่อนยศทหารเป็น  เพี่ยวจี้เจียงจวิน (驃騎將軍) ขุนพลทหารม้าทะยาน  มียศทหารสูงสุดในช่วงนั้น ปีนั้นโจจิ๋นยกทัพบุกจ๊กก๊ก ขงเบ้งสั่งให้ลิเงียมคุมทหารสองหมื่นไปที่ฮั่นจง แล้วเสนอชื่อตั้งบุตรชายลิเงียมมาเป็นผู้บัญชาการทหารเจียงโจวแทน รวมถึงให้ลิเงียมเป็นจงตูฮู่มีอำนาจว่าราชการในทำเนียบเสนาบดีที่ฮั่นจงแทนขงเบ้งด้วย



รองลงมาจากลิเงียมคือ หลิวเหยี่ยน (劉琰) ขุนนางเก่าแก่ที่ติดตามเล่าปี่มาตั้งแต่ยังอยู่มณฑลอิจิ๋ว หลิวเหยี่ยนเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่น เป็นคนมีบุคลิกโดดเด่น ช่างเจรจา จึงได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติ  เมื่อเล่าเสี้ยนครองราชย์จึงตั้งให้มีเกียรติยศรองมาจากลิเงียม   ให้ควบตำแหน่งจงจวินซือ (中軍師) เสนาธิการกลาง   เว่ยเว่ย (衛尉) ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวัง    มียศทหารเป็นโฮ่วเจียงจวิน (前將軍) ขุนพลฝ่ายหลัง  

ภายหลังได้เลื่อนยศเป็น จวีจี้เจียงจวิน (車騎將軍) ขุนพลทหารม้ารถศึก    หลิวเหยี่ยนมีอำนาจบัญชาการทหารแค่พันนาย แต่ไม่ได้มีส่วนในราชการบ้านเมืองสำคัญและไม่เคยเป็นแม่ทัพออกศึก มีแต่พูดคุยเล่นหัวกับขงเบ้ง  จึงมีตำแหน่งสูงเป็นเกียรติยศเท่านั้น    หลิวเหยี่ยนใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า มีหญิงรับใช้นับสิบคนขับร้องลำนำให้ฟัง


มีการวิเคราะห์ว่า จูล่งอาจได้เป็นจงฮู่จวินและขุนพลพิชิตทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเล่าปี่ตายแล้ว  เพราะเอกสารหัวหยางกั๋วจื้อกล่าวถึงการเลื่อนบรรดาศักดิ์ของขุนนางจ๊กก๊กในรัชศกเจี้ยนซิงที่ 1 ตอนเล่าเสี้ยนครองราชย์ ระบุว่าจูล่งเป็นจงฮู่จวินอยู่แล้ว    และพิจารณาจากการที่จูล่งได้เลื่อนยศจากขุนพลพิชิตทักษิณเป็นขุนพลพิทักษ์บูรพาติดกันสองครั้งโดยไม่มีบันทึกความชอบชัดเจนไม่น่าเป็นไปได้   ดังนั้นเมื่อเล่าเสี้ยนครองราชย์จูล่งควรจะได้เลื่อนตำแหน่งจากขุนพลพิชิตทักษิณที่เป็นอยู่ก่อนแล้วขึ้นเป็นขุนพลพิทักษ์บูรพามากกว่า

การลำดับชื่อขุนนางที่ได้เลื่อนยศในครั้งนั้นได้ใส่ชื่อจูล่งไว้เป็นอันดับสี่ รองมาจาก ขงเบ้ง ลิเงียม หลิวเหยี่ยน  สะท้อนให้เห็นว่าสถานะของจูล่งในเวลานั้นสูงพอสมควรครับ


เวลานั้นจูล่งอาจไม่ได้มีอำนาจทหารสูงสุดของจ๊กก๊ก แต่มีตำแหน่งเป็นขุนพลอันดับต้นๆ รองลงมาจากลิเงียมและหลิวเหยี่ยน   ยศทหารของจูล่งในตอนนั้นเสมอกับอุยเอี๋ยนที่เป็นขุนพลพิทักษ์อุดร

รองลงมาคือตันเตา เป็นขุนพลพิชิตประจิม (征西將軍) ควบตำแหน่งฮู่จวิน (護軍) เหมือนจูล่ง  และได้เป็นผู้บัญชาการทหารหย่งอันแทนลิเงียม มีบันทึกว่าตันเตามีสถานะและชื่อเสียงรองลงมาจากจูล่ง  

ขุนพลสำคัญอีกคนในเวลานั้นคือ เซี่ยงฉ่ง (向寵) ซึ่งมีตำแหน่งเป็น จงตูตู (中都督) ผู้บัญชาการทหารราชองครักษ์ ซึ่งขงเบ้งไว้วางใจให้ดูแลการทหารภายในขณะออกศึกบุกวุยก๊กครั้งแรก ปรากฏในสาส์นกราบบังคมทูลออกศึกของขงเบ้งว่า เซี่ยงฉ่งเป็นผู้รอบรู้พิชัยสงครามได้รับการยกย่องจากเล่าปี่ เป็นผู้ที่เล่าเสี้ยนสมควรปรึกษาราชการทหารทั้งใหญ่น้อยเพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ในกองทัพ



จดหมายเหตุสามก๊กของเฉินโซ่วระบุว่า ในรัชศกเจี้ยนซิงที่ 6 (ค.ศ. 228) ขงเบ้งปล่อยข่าวว่าจะยกทัพออกทางช่องเขาเสียกู่ (斜谷)  เพื่อยกไปตีอำเภอเหม่ย (郿縣) ใกล้กับเมืองฉางอาน เพื่อล่อทัพใหญ่ของวุยก๊ก  จึงสั่งให้จูล่งกับเตงจี๋ยกกองทัพเป็นนกต่อ  ในขณะที่ขงเบ้งยกกองทัพใหญ่อ้อมไปทางเขาฉีซานเพื่อตีหัวเมืองในเหลียงโจว     จูล่งต้องเจอกับกองทัพใหญ่ของโจจิ๋นมหาขุนพลของวุยก๊กที่มีกำลังมากกว่า  ในขณะที่กองทัพตนเองเป็นเพียงนกต่อที่อ่อนแอกว่าจึงรบแพ้ที่จี้กู่ (箕谷)    

กองทัพจูล่งนั้นเสียเปรียบตั้งแต่แรกและไม่ได้มีจุดประสงค์จะต้องรบชนะโจจิ๋น  การที่รบแพ้ในครั้งนี้อาจจะสรุปอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าจูล่งอ่อนด้อยครับ

นอกจากนี้จดหมายเหตุสามก๊กบันทึกว่าฝ่ายจูล่งสามารถรวบรวมผู้คนต้านทานไว้ได้ จึงไม่ได้พ่ายแพ้หนัก  

จดหมายเหตุยวิ๋นเปี๋ยจ้วน ขยายความว่า   เมื่อถอยทัพกลับมาถึงฮันต๋ง ขงเบ้งได้ถามจูล่งกับเตงจี๋ว่า "ทัพของเราที่ถอยมาจากเกเต๋งนั้นไม่เป็นระบบระเบียบ แต่ทัพจากจี้กู่กลับถอยออย่างเป็นระเบียบ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น" เตงจี๋ตอบว่า "ยวิ๋น (จูล่ง) คุมทัพด้านหลังด้วยตนเอง ควบคุมให้กองทัพเราถอยอย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้ทิ้งสิ่งใดไว้ ทหารไพร่พลไม่แตกแยก"

ในตอนนั้นในทัพของจูล่งยังมีผ้าไหมเหลืออยู่มาก ขงเบ้งจึงต้องการนำมาแบ่งให้ทหารเป็นรางวัล แต่จูล่งปฏิเสธว่า "การทหารไม่ได้มีความชอบ เหตุใดจะได้รับบำเหน็จ ขอให้เก็บไว้ในคลังหลวง เมื่อถึงเดือนสิบจึงแจกเป็นบำเหน็จฤดูหนาว" ขงเบ้งยกย่องจูล่งมาก

จดหมายเหตุสามก๊กระบุว่าหลังสงครามจูล่งซึ่งรบแพ้ถูกลดตำแหน่งเป็น เจิ้นจวินเจียงจวิน (鎮軍將軍) ขุนพลพิทักษ์ทัพ  แต่น่าจะลดพอเป็นพิธีเป็นการแสดงความรับผิดชอบเท่านั้น เพราะอย่างที่กล่าวคือจูล่งไม่ได้ถูกคาดหวังให้เอาชนะทัพใหญ่ของโจจิ๋นตั้งแต่แรก   ขงเบ้งก็ลดตำแหน่งตนเองจากอัครมหาเสนาบดีลงมาสามขั้นเป็นขุนพลฝ่ายขวา โดยยังมีอำนาจในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีดังเดิม ฐานะของจูล่งคงจะไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากครับ



แต่ถ้าเทียบจูล่งกับขุนพลจ๊กก๊กรุ่นเล่าปี่คนอื่นแล้ว จูล่งได้เลื่อนยศช้ากว่า เมื่อเล่าปี่ตั้งตัวเป็นฮันต๋งอ๋อง (漢中王 ฮั่นจงหวัง) ได้แต่งตั้งกวนอู เตียวหุย ม้าเฉียว ฮองตง เป็นขุนพลสี่ทิศเสมอกัน กวนอูได้เป็นขุนพลฝ่ายหน้า (前將軍) ดูแลมณฑลเกงจิ๋วทั้งหมด เตียวหุยได้เป็นขุนพลฝ่ายขวา (右將軍) ควบตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปาซี (巴西太守) ที่เป็นอยู่ก่อน  ม้าเฉียวได้เป็นขุนพลฝ่ายซ้าย (左將軍) และเป็นผู้บัญชาการทหารเมืองหลินจวี่ (臨沮) สามคนนี้ได้คฑาอาญาสิทธิ์  ฮองตงเป็นขุนพลฝ่ายหลัง (後將軍) มีบรรดาศักดิ์เป็นกวนเน่ยโหว (關內侯)    ส่วนอุยเอี๋ยนได้เป็นขุนพลพิทักษ์ภูธร (鎮遠將軍 เจิ้นเหยฺวี่ยนเจียงจวิน) ควบตำแหน่งเจ้าเมืองฮันต๋ง (漢中太守) ซึ่งหลายคนคาดว่าเล่าปี่จะให้เตียวหุยเป็น

จูล่งนั้นไม่มีหลักฐานว่าได้เลื่อนยศ  ยังคงมีตำแหน่งเดิมคือขุนพลผู้ช่วยทัพ (翊ู้軍將軍 อี้จวินเจียงจวิน)   (เอกสารหัวหยางกั๋วจื้อ 華陽國志 ระบุว่าเพิ่งได้เป็นตอนเล่าปี่เป็นฮันต๋งอ๋อง)  เป็นขุนพลชื่อหลากหลาย  มีแต่ทหารในกองทัพเรียกยกย่องจูล่งที่มีความชอบในการรบที่แม่น้ำฮั่นซุยว่า "ขุนพลเดชพยัคฆ์" (虎威將軍 หู่เวยเจียงจวิน) ซึ่งเป็นเพียงฉายาไม่ใช่ตำแหน่ง จูล่งรับราชการอยู่ใกล้ชิดเล่าปี่ไม่ได้ดูแลจุดยุทธศาสตร์เหมือนคนอื่น


ตอนเล่าปี่ครองราชย์ ม้าเฉียวได้เลื่อนเป็นขุนพลทหารม้าทะยาน นับว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทหารสูงสุดในช่วงนั้น เตียวหุยได้เลื่อนเป็นขุนพลทหารม้ารถศึก     อุยเอี๋ยนก็ได้เลื่อนเป็นขุนพลพิทักษ์อุดร แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจูล่งได้เลื่อนยศอีกเช่นเคย

ในสมัยเล่าปี่จูล่งไม่เคยได้บรรดาศักดิ์ "โหว" (พระยา) เหมือนคนอื่น  มีการสันนิษฐานว่าอาจเพราะจูล่งแสดงความคิดเห็นคัดค้านการนำที่ดินราษฎรมาปูนบำเหน็จหลังจากเล่าปี่ยึดเสฉวนได้ และยังค้านเล่าปี่ในการทำศึกกับง่อก๊ก  หรือไม่หลักฐานประวัติศาสตร์คือจดหมายเหตุสามก๊กระบุว่าเล่าปี่เป็นคนที่มองเห็นถึงความสามารถของคนและเลือกใช้คนตามความสามารถ ดังนั้นเล่าปี่อาจจะประเมินว่าจูล่งไม่ได้เหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งควบคุมกำลังพลหรือดูแลจุดยุทธศาสตร์เหมือนคนอื่นๆ  จึงเลือกให้อยู่เป็นขุนพลใกล้ชิดทำนององครักษ์  และไม่ได้ยกให้มียศทางทหารสูงมาก  

ตัวอย่างเปรียบเทียบคือ เคาทูที่เป็นองครักษ์ของโจโฉเป็นจงเจียนเจียงจวิน (中堅將軍) ขุนพลชื่อหลากหลายเหมือนกัน  แต่ก็เป็นที่ไว้ใจของโจโฉให้ใช้สอยใกล้ชิด



หลังจูล่งตายไปแล้ว ลิเงียมได้เลื่อนยศจากขุนพลฝ่ายหน้าเป็นขุนพลทหารม้าทะยาน เข้าใจว่าหลิวเหยี่ยนน่าจะได้เลื่อนจากขุนพลฝ่ายหลังเป็นขุนพลทหารมารถศึกในช่วงเดียวกัน  แต่ปีถัดมาลิเงียมก็ถูกปลดจากตำแหน่ง

หลังลิเงียมถูกปลด  ขุนพลที่มียศทหารสูงสุดคืออุยเอี๋ยน (ไม่นับหลิวเหยี่ยนที่มีแต่ตำแหน่งลอย) ซึ่งหลังจากสร้างความชอบในสงครามบุกวุยก๊กครั้งที่สี่จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น เสนาธิการหน้า (前軍師)  มียศเป็นมหาขุนพลพิชิตประจิม (征西大將軍 เจิงซีต้าเจียงจวิน)  มีบรรดาศักดิ์หนานเจิ้งโหว (南鄭侯) หรือ โหวแห่งเมืองหนานเจิ้ง (ลำเต๋ง) เมืองหลวงของฮั่นจง

ถ้าจูล่งยังอยู่และมีความดีความชอบ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่