
จากเฮลซิงกิ ผ่านป่าสน ชุมชนเกษตรกรรม บ้านไม้ และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ก่อนข้ามพรมแดน มีการตรวจอย่างเข้มข้น มีตม.หรือ ทหาร ไม่แน่ใจเพราะชุดเหมือนทหารแต่ติดแถบ Security 4 นาย พร้อมพนง.ตรวจตั๋วของ 2 ประเทศ ทำงานร่วมกัน ให้เราสแกนนิ้วมือ เปรียบเทียบกับพาสปอร์ต และวีซ่าเชงเก้น แต่ก่อนที่ทีมนี้จะมาตรวจ มีจนท.คนหนึ่ง เอาใบเข้าออกประเทศมาให้กรอก แล้วกำชับว่า ต้องติดไว้ในพาสปอร์ตตลอดเวลา
สถานีสุดท้ายของฟินแลนด์ คือ Vainikkala ข้ามแดนไปสถานีแรกของรัสเซียคือ Viipuzi (Bborbopzviborg) อ่านไม่ออกค่ะ ก่อนถึงสถานี มีประกาศว่า เมื่อเข้าเขตรัสเซียแล้ว ห้ามใช้เครื่องมืออิเล็คโทรนิค และห้ามออกไปสูบบุหรี่ ที่รอยต่อของตู้ ดังนั้นป้าจึงต้องบอกลาสมาชิกในกลุ่มไลน์ ที่ส่งรายงานการท่องเที่ยว จนกว่าจะออกจากรัสเซีย แต่ก่อนอื่นต้องพยายามส่งข้อความออกไป ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าจะส่งได้หรือไม่
จากเฮลซิงกิ ถึง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ใช้เวลาเดินทาง 3.36 ชั่วโมง (12.10-15.46 น.) ก่อนหน้าที่จะถึงเมืองนี้ เราไม่แน่ใจว่าชื่อเมืองเขียนอย่างไร มี s หรือ ไม่มี พอไปถึงที่สถานีเห็นป้าย St.Petersburg เป็นอันสรุปได้
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก เคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซีย 205 ปี (ค.ศ. 1703- 1918) ชื่อเดิมของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ "เปโตรกราด" หรืออาจจะเรียกว่า "เลนิน กราด" เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ได้รับสมญานามว่า หน้าต่างแห่งยุโรป (เวนิสแห่งยุโรปเหนือ) คนที่ย้ายเมืองหลวงจากมอสโคว(มัสกวา) ไปที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ส่วนคนที่ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่มัสกวา คือ เลนิน หลังการปฏิวัติรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1918
ที่สถานีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไม่มีที่แลกเงิน เราใช้วิธีกดเงินรูเบิล จากตู้เอทีเอ็ม กดได้สูงสุด ครั้งละ 5,000 รูเบิล เมื่อกลับถึงบ้าน ไปเช็คดู จึงรู้ว่า ถูกหักค่ากดครั้งละ 100 บาท แล้วเข้าคิวซื้อตั๋วด้านหลังตู้กดเงิน พอถึงคิว คนขายบอกว่า No! แล้วก็ชี้ลงใต้ดิน ป้าจึงเดาเอาว่า เป็นที่ขายตั๋วรถใต้ดิน พอถามว่า ซื้อตั๋วรถไฟได้ที่ไหน เธอทำมือวน ๆ แล้วก็ชี้ทแยง ป้าก็เข้าใจเอาเองอีกว่า เดินออกไปนอกสถานี แล้วเดินอ้อม จากนั้นก็เดินเฉียงไปทิศที่เธอชี้
ที่นั่นหาคนรู้ภาษาอังกฤษยากมาก เดินวนรอบสถานี ที่ทั้งกว้างและใหญ่ อยู่ 2 รอบ กว่าจะรู้ว่าการไปมอสโควต้องไปซื้อตั๋ว และขึ้นรถไฟที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ที่จัตุรัส St.Square Vosstania มีผู้ชายคนหนึ่งรู้ภาษาอังกฤษ แบบพอจะสื่อสารได้ เห็นเราวนผ่านไปรอบ 2 ทำท่าอยากช่วย พวกเขา 3 คน พ่อ แม่ และลูกสาวนั่งรอเวลาไปขึ้นรถ ป้าจึงถามเขา แต่กว่าจะสื่อสารกันได้ ก็หลายนาที ภรรยาเห็นไม่ได้การ จึงเขียนชื่อสถานี และย่านให้ แล้วบอกให้เรานั่งรถใต้ดิน ไปที่สถานีนั้น
ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปซื้อตั๋วที่เดิม เพื่อลงใต้ดิน ไปที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ทางลงไปรถใต้ดินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก น่ากลัวที่สุด สำหรับคนเป็นโรคกลัวที่แคบอย่างป้า เพราะต้องลงบันไดเลื่อนที่สูงชัน มองจนสุดสายตา ยังไม่เห็นปลายทาง ต่อด้วยทางเดิน อีกยาวไกล ทำให้หายใจขัด อึดอัด เหมือนจะขาดอากาศหายใจขึ้นมาทันที ตั้งแต่ออกจากสถานีมอสควา กว่าจะถึงที่ขายตั๋ว ลุงก็ถอนหายใจดังๆหลายครั้ง จนป้าเกือบจะปรี๊ดแตก พอถึงคิวเราคนขายยกป้ายว่าหมดเวลาขาย....ซะงั้น!
เดินไปต่อแถวช่องที่เพิ่งเปิด พอถึงคิวป้าส่งกระดาษที่เขียนรายการ พร้อมพาสปอร์ตให้ แต่จนท. บอกว่าไม่ขายให้เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง พอดีมาดามที่ยืนต่อจากป้า พอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง เธอดึงกระดาษไปอ่าน แล้วพูดภาษารัสเซียน จนท. จึงยอมทำรายการให้ แบบเงอะงะ งุ่มง่าม ขณะที่กำลังจะได้เรื่อง ก็มีคนไปขอแทรกคิว ส่งจนท.เข้าไปข้างในแล้วตัวเอง ก็ยืนเป่าปี่อยู่ข้างนอก
เราจึงหันไปหามาดาม ว่าเอาไงดี มาดามบอกว่า เฉยๆไว้ และแล้วคนขอลัดคิว ก็สอดแบงค์พรวดผ่านหน้าเราไป ใส่ถาด จนท.นางที่อยู่ข้างใน รีบทอนเงิน พร้อมส่งตั๋ว ให้จึงจบไปได้....อย่างนี้ก็มีด้วย! ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปมอสโคว และตั๋วจากมอสโควไปทาลลินส์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย
เมื่อได้ตั๋วและเวลาเดินทางเรียบร้อยแล้ว เราก็หาทางไปโบสถ์หยดเลือด โดยเอาภาพจากมือถือให้จนท.รักษาความปลอดภัยดู เขาพูดไม่ได้ แต่เขาอยากช่วยเรา ป้าจึงส่งกระดาษกับปากกาให้เขา เขาวาดแผนที่รถใต้ดิน และบอกจุดที่เราอยู่ กับจุดที่จะไป เราเดินไปที่แผนที่รถใต้ดิน หาชื่อสถานี เขียนให้เขาอ่าน เขาดีใจที่เราเข้าใจถูกต้อง แล้วอาสาจะไปส่งเรา ที่สถานีใต้ดิน แต่ป้าบอกว่าเราไปเองได้ แล้วก็ควักเหรียญออกมากอง ถามค่าของเงิน เขาหยิบเหรียญในกองออกมา จำนวน 62 รูเบิล แล้วยัดใส่มือเรา เราจึงรู้ว่า เขาคิดว่า เราถามค่ารถใต้ดิน ทำให้เราพลอยเรียนรู้ค่าของเงินไปด้วย

เคยมีคนบอกว่า ถ้าไปเห็นสิ่งก่อสร้างในรัสเซียแล้ว สิ่งก่อสร้างในยุโรปตะวันออก จะเป็นของเด็กเล่นเลยทีเดียว ตอนนั้นคิดว่า จะจริงหรือเท็จอีกไม่กี่นาทีก็จะได้รู้กัน
วิธีการเดินทางไปโบสถ์หยดเลือด (The Church of the Savior on Spilled Blood) จากสถานี Mayakovskaya ไปสถานี Gostiny แค่สถานีดียว พอลงรถเราก็เอารูปถามเขาว่าทางออกไปทางไหน แล้วเราก็ไปถึงจนได้ ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ เพราะที่นั่นเป็นศูนย์รวมของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวา ไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่บริเวณนั้นได้มาจากการ ถมทรายและหินบริเวณปากแม่น้ำ จาก พื้นที่เดิมเป็นดินเลนของทะเล กลายเป็นพื้นหินอัดแน่นหนา
มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก เต็มไปหมด ทางเดินไปโบสถ์หยดเลือด เป็นที่ที่นั่งดู แล้วเพลิดเพลินมาก นอกจากตัวโบสถ์จะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ด้านหลังมีสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตโอ่อ่า ข้างหนึ่งเป็นคลองมีเรือบริการนักท่องเที่ยว ถัดจากคลองเป็นถนนเลียบคลอง ถัดจากถนนเป็นอาคารสวยงาม ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นสวนหลังวัง บริเวณรอบๆ มีการเล่นดนตรีเปิดหมวก ตั้งแต่ดีดกีต้าร์ร้องเพลงคนเดียว ไปจนถึงออร์เคสตร้า นักท่องเที่ยวนิยมดนตรีคลาสสิก มากที่สุด วงออร์เคสตร้าน่าจะได้เงินหลายพัน เพราะเห็นมีแบงค์ 50 เต็มฝากล่องเซลโล่ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในวง

มีจุดรับสักสี คนวาดรูปเหมือน แผงขายของที่ระลึก เครื่องดื่ม ไอศกรีม ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม สายไหมฯลฯข้าวโพดสวีทต้มฝักไม่ใหญ่ ฝักละ 130 รูเบิล ราวๆ 85 บาท
มีแฟชั่นมากมายให้ชม อยู่ตลอดเวลา สาวรัสเซียสวยเกือบ 100% หาคนอ้วนและไม่สวยยากมาก เท่าที่นั่งดูคนเดินผ่าน 20 คนจะมีคนอ้วนเดินผ่าน 1 คน แต่สาวสวย และคนไม่อ้วนเหล่านั้นก็หาคนที่ไม่สูบบุหรี่ได้ยาก เช่นกัน
ที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก นอกจากโบสถ์หยดเลือดแล้วยังมีพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ หรือพระราชวังฤดูหนาว เป็นที่เก็บของหายาก งานศิลปะ สมบัติ ของพระนางแคทเธอรีนแทน เป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่ 1 ใน 5 ของโลก มีแสดงผลงานศิลปะจากทั่วโลก 3 ล้านชิ้น และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เพราะเคยเป็นเมืองหลวงเก่า
จากโบสถ์หยดเลือดเดินเลียบริมคลองกลับไปเรื่อย ๆ เจอวิหารคาซาน เลี้ยวขวา เดินไปจนสุดทาง ประมาณกิโลเมตรเศษ เจอสามแยก หันขวาเห็นตึกใหญ่สีเขียว นั่นคือ พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ ยอดโดมสีทองด้านซ้าย คือ มหาวิหารเซนต์ไอแซคฯลฯ เราเดินจนเมื่อยและฝนลงเม็ดหนาขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินกลับลงไปที่สถานีใต้ดิน นั่งเมโมโทรกลับไปที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ที่จัตุรัส St.Square Vosstania ….เพื่อรอรถไปมอสโคว
พอใกล้เวลาที่จะเดินทาง (22.13 น.) จนท. ก็ปล่อยให้ผู้โดยสารออกไปที่ชานชาลา พอเห็นรถไฟรัสเซีย ก็เป็นที่เข้าใจ ทั้งตัวรถ และสถานี สมกับฉายา ประเทศหลังม่านเหล็กจริงๆ เพราะทุกอย่างทำจากเหล็ก ไม่มีไม้ปน ตอนที่รถไฟจอดอยู่ ยังไม่ให้ผู้โดยสารขึ้น ดูเหมือนคุก เพราะไม่มีช่องว่าง ให้มองผ่านตัวรถเลย แต่พอขึ้นไปอยู่บนรถ ที่เป็นตู้นอน มีหน้าต่างกระจก 1 ช่อง แต่ขยับไม่ได้ ตู้นอนเป็นเตียง 2 ชั้น 4 เตียง
ผู้โดยสารร่วมห้องของเรา ขึ้นรถก่อนและนั่งอยู่ในห้องอยู่แล้ว เป็นแม่ลูกจากเมืองที่อยู่ใกล้ๆมอสโคว จำชื่อไม่ได้ออกเสียงยาก มีตัว Sar.... ตอนที่จนท. ตรวจตั๋วเดินผ่าน แม่คุยกับเธอแล้วก็บอกเราว่าขอสลับเตียงกัน โดยแต่ละคู่อยู่ด้านเดียวกัน เตียงล่าง 1 คน เตียงบน 1 คน ลงตัว ป้านอนล่าง ลุงนอนบน ส่วนอีกด้านหนึ่ง แม่นอนล่าง ลูกนอนบน
เราอยู่กันแบบค่อนข้างอึดอัด เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ภาษากัน ลูกชายอยู่เกรด 8 พอรู้อยู่บ้าง แต่เวลาถามรายละเอียดเขาตอบไม่ได้ ตอบได้แค่ Yes&No ต่างฝ่าย จึงต่างนอน ไม่มีที่เสียบปลั๊กชาร์จแบ็ตเตอรี่ ที่มีอยู่หน้าห้องน้ำ ก็เสียบไม่ได้ รูถ่างเกินไป สรุปว่า เราต้องประหยัดแบ็ตเตอรี่กันสุดฤทธิ์
ตู้รถไฟที่เราโดยสาร ห้องนอน 1 ห้องมีผู้โดยสาร 4 คน มี 10 ห้องแต่ทั้งตู้ มีห้องน้ำห้องเดียว ไปตู้อื่นไม่ได้ เพราะทางเชื่อมถูกล็อค เนื่องจากรถจะไปถึงปลายทางเวลา 05.38 น. พอตี 4 ผู้โดยสารแต่ละห้องก็ออกไปรอคิวหน้าห้องน้ำ เพื่อจัดการกับภารกิจส่วนตัวก่อนรถถึงที่หมาย ไม่น่าเชื่อว่าสาวสวยรัสเซีย จะมีนิสัยไม่เหมือนรูปร่างหน้าตา เธอออกจากห้องซึ่งอยู่ติดห้องน้ำ เดินตัดหน้าคนที่ยืนรอคิว เข้าไปโดยไม่พูดไม่จา ในขณะที่คนอื่นๆ รอคิวอยู่ก่อนหลายคน
รถเข้าสถานีตามเวลา ดังนั้นเราจึงไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาก่อน 6 โมงเช้าเล็กน้อย โชคดีตอนที่เรากำลังเดินหาสถานีรถใต้ดิน มีคุณลุงคนหนึ่ง เพิ่งขึ้นมาจากใต้ดิน เห็นเราเงอะงะ ละล้าละลัง เดินผ่านเราไปแล้ว เดินย้อนกลับมาถาม แม้ภาษาจะไม่แข็งแรง แต่ลุงก็ใช้ภาษากาย ทำให้เราเห็นทางสว่างจนได้ นั่งเมโทรไปที่สถานี…..พอโผล่ขึ้นไปจากสถานีใต้ดินจึงพบแต่ความเวิ้งว้างของสถานที่ท่องเที่ยว (ตอนส่งรูปกลับมาไทย สมาชิกในกลุ่มถามว่า นักท่องเที่ยวไม่นิยมไปเที่ยวที่นั่นหรือไร เพราะแต่ละภาพไม่เห็นมีใครแพล็มเข้าไปในเฟรม)….
ที่รัสเซีย เราไม่ค่อยเห็นต้นไม้ เราได้เห็นต้นไม้ และหญ้าสีเขียวในสวนหลังวังเครมลิน สวนที่โบสถ์หยดเลือด และวังเครมลิน เป็นพื้นที่สีเขียว และไม้ดอกหลากสีสัน สวยงามตระการตา ชาวรัสเซีย คุ้นเคยกับการเดินทางโดยรถใต้ดิน มากที่สุด รถเมล์ก็มีแต่ไม่ค่อยนิยม เราถามเรื่องรถบัส และรถราง พวกเขามักตอบไม่ได้ พวกเขาไม่เคยรู้ว่า มีรถบัส หรือรถรางที่ไป-กลับ ระหว่างสถานีมอสโคว กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
[CR] ลุงกับป้าตะลุยยุโรป 64 วัน 33 ประเทศ [ตอนที่ 5]จากความยิ่งใหญ่สู่วัฒนธรรมเมืองดอกไม้ รัสเซีย-เอสโตเนีย-ลัตเวีย-ลิธัวเนีย
สถานีสุดท้ายของฟินแลนด์ คือ Vainikkala ข้ามแดนไปสถานีแรกของรัสเซียคือ Viipuzi (Bborbopzviborg) อ่านไม่ออกค่ะ ก่อนถึงสถานี มีประกาศว่า เมื่อเข้าเขตรัสเซียแล้ว ห้ามใช้เครื่องมืออิเล็คโทรนิค และห้ามออกไปสูบบุหรี่ ที่รอยต่อของตู้ ดังนั้นป้าจึงต้องบอกลาสมาชิกในกลุ่มไลน์ ที่ส่งรายงานการท่องเที่ยว จนกว่าจะออกจากรัสเซีย แต่ก่อนอื่นต้องพยายามส่งข้อความออกไป ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าจะส่งได้หรือไม่
จากเฮลซิงกิ ถึง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ใช้เวลาเดินทาง 3.36 ชั่วโมง (12.10-15.46 น.) ก่อนหน้าที่จะถึงเมืองนี้ เราไม่แน่ใจว่าชื่อเมืองเขียนอย่างไร มี s หรือ ไม่มี พอไปถึงที่สถานีเห็นป้าย St.Petersburg เป็นอันสรุปได้
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก เคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซีย 205 ปี (ค.ศ. 1703- 1918) ชื่อเดิมของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ "เปโตรกราด" หรืออาจจะเรียกว่า "เลนิน กราด" เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ได้รับสมญานามว่า หน้าต่างแห่งยุโรป (เวนิสแห่งยุโรปเหนือ) คนที่ย้ายเมืองหลวงจากมอสโคว(มัสกวา) ไปที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ส่วนคนที่ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่มัสกวา คือ เลนิน หลังการปฏิวัติรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1918
ที่สถานีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไม่มีที่แลกเงิน เราใช้วิธีกดเงินรูเบิล จากตู้เอทีเอ็ม กดได้สูงสุด ครั้งละ 5,000 รูเบิล เมื่อกลับถึงบ้าน ไปเช็คดู จึงรู้ว่า ถูกหักค่ากดครั้งละ 100 บาท แล้วเข้าคิวซื้อตั๋วด้านหลังตู้กดเงิน พอถึงคิว คนขายบอกว่า No! แล้วก็ชี้ลงใต้ดิน ป้าจึงเดาเอาว่า เป็นที่ขายตั๋วรถใต้ดิน พอถามว่า ซื้อตั๋วรถไฟได้ที่ไหน เธอทำมือวน ๆ แล้วก็ชี้ทแยง ป้าก็เข้าใจเอาเองอีกว่า เดินออกไปนอกสถานี แล้วเดินอ้อม จากนั้นก็เดินเฉียงไปทิศที่เธอชี้
ที่นั่นหาคนรู้ภาษาอังกฤษยากมาก เดินวนรอบสถานี ที่ทั้งกว้างและใหญ่ อยู่ 2 รอบ กว่าจะรู้ว่าการไปมอสโควต้องไปซื้อตั๋ว และขึ้นรถไฟที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ที่จัตุรัส St.Square Vosstania มีผู้ชายคนหนึ่งรู้ภาษาอังกฤษ แบบพอจะสื่อสารได้ เห็นเราวนผ่านไปรอบ 2 ทำท่าอยากช่วย พวกเขา 3 คน พ่อ แม่ และลูกสาวนั่งรอเวลาไปขึ้นรถ ป้าจึงถามเขา แต่กว่าจะสื่อสารกันได้ ก็หลายนาที ภรรยาเห็นไม่ได้การ จึงเขียนชื่อสถานี และย่านให้ แล้วบอกให้เรานั่งรถใต้ดิน ไปที่สถานีนั้น
ในที่สุดเราก็ต้องกลับไปซื้อตั๋วที่เดิม เพื่อลงใต้ดิน ไปที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ทางลงไปรถใต้ดินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก น่ากลัวที่สุด สำหรับคนเป็นโรคกลัวที่แคบอย่างป้า เพราะต้องลงบันไดเลื่อนที่สูงชัน มองจนสุดสายตา ยังไม่เห็นปลายทาง ต่อด้วยทางเดิน อีกยาวไกล ทำให้หายใจขัด อึดอัด เหมือนจะขาดอากาศหายใจขึ้นมาทันที ตั้งแต่ออกจากสถานีมอสควา กว่าจะถึงที่ขายตั๋ว ลุงก็ถอนหายใจดังๆหลายครั้ง จนป้าเกือบจะปรี๊ดแตก พอถึงคิวเราคนขายยกป้ายว่าหมดเวลาขาย....ซะงั้น!
เดินไปต่อแถวช่องที่เพิ่งเปิด พอถึงคิวป้าส่งกระดาษที่เขียนรายการ พร้อมพาสปอร์ตให้ แต่จนท. บอกว่าไม่ขายให้เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง พอดีมาดามที่ยืนต่อจากป้า พอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง เธอดึงกระดาษไปอ่าน แล้วพูดภาษารัสเซียน จนท. จึงยอมทำรายการให้ แบบเงอะงะ งุ่มง่าม ขณะที่กำลังจะได้เรื่อง ก็มีคนไปขอแทรกคิว ส่งจนท.เข้าไปข้างในแล้วตัวเอง ก็ยืนเป่าปี่อยู่ข้างนอก
เราจึงหันไปหามาดาม ว่าเอาไงดี มาดามบอกว่า เฉยๆไว้ และแล้วคนขอลัดคิว ก็สอดแบงค์พรวดผ่านหน้าเราไป ใส่ถาด จนท.นางที่อยู่ข้างใน รีบทอนเงิน พร้อมส่งตั๋ว ให้จึงจบไปได้....อย่างนี้ก็มีด้วย! ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วไปมอสโคว และตั๋วจากมอสโควไปทาลลินส์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย
เมื่อได้ตั๋วและเวลาเดินทางเรียบร้อยแล้ว เราก็หาทางไปโบสถ์หยดเลือด โดยเอาภาพจากมือถือให้จนท.รักษาความปลอดภัยดู เขาพูดไม่ได้ แต่เขาอยากช่วยเรา ป้าจึงส่งกระดาษกับปากกาให้เขา เขาวาดแผนที่รถใต้ดิน และบอกจุดที่เราอยู่ กับจุดที่จะไป เราเดินไปที่แผนที่รถใต้ดิน หาชื่อสถานี เขียนให้เขาอ่าน เขาดีใจที่เราเข้าใจถูกต้อง แล้วอาสาจะไปส่งเรา ที่สถานีใต้ดิน แต่ป้าบอกว่าเราไปเองได้ แล้วก็ควักเหรียญออกมากอง ถามค่าของเงิน เขาหยิบเหรียญในกองออกมา จำนวน 62 รูเบิล แล้วยัดใส่มือเรา เราจึงรู้ว่า เขาคิดว่า เราถามค่ารถใต้ดิน ทำให้เราพลอยเรียนรู้ค่าของเงินไปด้วย
เคยมีคนบอกว่า ถ้าไปเห็นสิ่งก่อสร้างในรัสเซียแล้ว สิ่งก่อสร้างในยุโรปตะวันออก จะเป็นของเด็กเล่นเลยทีเดียว ตอนนั้นคิดว่า จะจริงหรือเท็จอีกไม่กี่นาทีก็จะได้รู้กัน
วิธีการเดินทางไปโบสถ์หยดเลือด (The Church of the Savior on Spilled Blood) จากสถานี Mayakovskaya ไปสถานี Gostiny แค่สถานีดียว พอลงรถเราก็เอารูปถามเขาว่าทางออกไปทางไหน แล้วเราก็ไปถึงจนได้ ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ เพราะที่นั่นเป็นศูนย์รวมของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวา ไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่บริเวณนั้นได้มาจากการ ถมทรายและหินบริเวณปากแม่น้ำ จาก พื้นที่เดิมเป็นดินเลนของทะเล กลายเป็นพื้นหินอัดแน่นหนา
มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก เต็มไปหมด ทางเดินไปโบสถ์หยดเลือด เป็นที่ที่นั่งดู แล้วเพลิดเพลินมาก นอกจากตัวโบสถ์จะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ด้านหลังมีสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตโอ่อ่า ข้างหนึ่งเป็นคลองมีเรือบริการนักท่องเที่ยว ถัดจากคลองเป็นถนนเลียบคลอง ถัดจากถนนเป็นอาคารสวยงาม ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นสวนหลังวัง บริเวณรอบๆ มีการเล่นดนตรีเปิดหมวก ตั้งแต่ดีดกีต้าร์ร้องเพลงคนเดียว ไปจนถึงออร์เคสตร้า นักท่องเที่ยวนิยมดนตรีคลาสสิก มากที่สุด วงออร์เคสตร้าน่าจะได้เงินหลายพัน เพราะเห็นมีแบงค์ 50 เต็มฝากล่องเซลโล่ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในวง
มีจุดรับสักสี คนวาดรูปเหมือน แผงขายของที่ระลึก เครื่องดื่ม ไอศกรีม ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม สายไหมฯลฯข้าวโพดสวีทต้มฝักไม่ใหญ่ ฝักละ 130 รูเบิล ราวๆ 85 บาท
มีแฟชั่นมากมายให้ชม อยู่ตลอดเวลา สาวรัสเซียสวยเกือบ 100% หาคนอ้วนและไม่สวยยากมาก เท่าที่นั่งดูคนเดินผ่าน 20 คนจะมีคนอ้วนเดินผ่าน 1 คน แต่สาวสวย และคนไม่อ้วนเหล่านั้นก็หาคนที่ไม่สูบบุหรี่ได้ยาก เช่นกัน
ที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก นอกจากโบสถ์หยดเลือดแล้วยังมีพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ หรือพระราชวังฤดูหนาว เป็นที่เก็บของหายาก งานศิลปะ สมบัติ ของพระนางแคทเธอรีนแทน เป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่ 1 ใน 5 ของโลก มีแสดงผลงานศิลปะจากทั่วโลก 3 ล้านชิ้น และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เพราะเคยเป็นเมืองหลวงเก่า
จากโบสถ์หยดเลือดเดินเลียบริมคลองกลับไปเรื่อย ๆ เจอวิหารคาซาน เลี้ยวขวา เดินไปจนสุดทาง ประมาณกิโลเมตรเศษ เจอสามแยก หันขวาเห็นตึกใหญ่สีเขียว นั่นคือ พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ ยอดโดมสีทองด้านซ้าย คือ มหาวิหารเซนต์ไอแซคฯลฯ เราเดินจนเมื่อยและฝนลงเม็ดหนาขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินกลับลงไปที่สถานีใต้ดิน นั่งเมโมโทรกลับไปที่สถานี CAHKT ΠETEPУPΓ ที่จัตุรัส St.Square Vosstania ….เพื่อรอรถไปมอสโคว
พอใกล้เวลาที่จะเดินทาง (22.13 น.) จนท. ก็ปล่อยให้ผู้โดยสารออกไปที่ชานชาลา พอเห็นรถไฟรัสเซีย ก็เป็นที่เข้าใจ ทั้งตัวรถ และสถานี สมกับฉายา ประเทศหลังม่านเหล็กจริงๆ เพราะทุกอย่างทำจากเหล็ก ไม่มีไม้ปน ตอนที่รถไฟจอดอยู่ ยังไม่ให้ผู้โดยสารขึ้น ดูเหมือนคุก เพราะไม่มีช่องว่าง ให้มองผ่านตัวรถเลย แต่พอขึ้นไปอยู่บนรถ ที่เป็นตู้นอน มีหน้าต่างกระจก 1 ช่อง แต่ขยับไม่ได้ ตู้นอนเป็นเตียง 2 ชั้น 4 เตียง
ผู้โดยสารร่วมห้องของเรา ขึ้นรถก่อนและนั่งอยู่ในห้องอยู่แล้ว เป็นแม่ลูกจากเมืองที่อยู่ใกล้ๆมอสโคว จำชื่อไม่ได้ออกเสียงยาก มีตัว Sar.... ตอนที่จนท. ตรวจตั๋วเดินผ่าน แม่คุยกับเธอแล้วก็บอกเราว่าขอสลับเตียงกัน โดยแต่ละคู่อยู่ด้านเดียวกัน เตียงล่าง 1 คน เตียงบน 1 คน ลงตัว ป้านอนล่าง ลุงนอนบน ส่วนอีกด้านหนึ่ง แม่นอนล่าง ลูกนอนบน
เราอยู่กันแบบค่อนข้างอึดอัด เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ภาษากัน ลูกชายอยู่เกรด 8 พอรู้อยู่บ้าง แต่เวลาถามรายละเอียดเขาตอบไม่ได้ ตอบได้แค่ Yes&No ต่างฝ่าย จึงต่างนอน ไม่มีที่เสียบปลั๊กชาร์จแบ็ตเตอรี่ ที่มีอยู่หน้าห้องน้ำ ก็เสียบไม่ได้ รูถ่างเกินไป สรุปว่า เราต้องประหยัดแบ็ตเตอรี่กันสุดฤทธิ์
ตู้รถไฟที่เราโดยสาร ห้องนอน 1 ห้องมีผู้โดยสาร 4 คน มี 10 ห้องแต่ทั้งตู้ มีห้องน้ำห้องเดียว ไปตู้อื่นไม่ได้ เพราะทางเชื่อมถูกล็อค เนื่องจากรถจะไปถึงปลายทางเวลา 05.38 น. พอตี 4 ผู้โดยสารแต่ละห้องก็ออกไปรอคิวหน้าห้องน้ำ เพื่อจัดการกับภารกิจส่วนตัวก่อนรถถึงที่หมาย ไม่น่าเชื่อว่าสาวสวยรัสเซีย จะมีนิสัยไม่เหมือนรูปร่างหน้าตา เธอออกจากห้องซึ่งอยู่ติดห้องน้ำ เดินตัดหน้าคนที่ยืนรอคิว เข้าไปโดยไม่พูดไม่จา ในขณะที่คนอื่นๆ รอคิวอยู่ก่อนหลายคน
รถเข้าสถานีตามเวลา ดังนั้นเราจึงไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาก่อน 6 โมงเช้าเล็กน้อย โชคดีตอนที่เรากำลังเดินหาสถานีรถใต้ดิน มีคุณลุงคนหนึ่ง เพิ่งขึ้นมาจากใต้ดิน เห็นเราเงอะงะ ละล้าละลัง เดินผ่านเราไปแล้ว เดินย้อนกลับมาถาม แม้ภาษาจะไม่แข็งแรง แต่ลุงก็ใช้ภาษากาย ทำให้เราเห็นทางสว่างจนได้ นั่งเมโทรไปที่สถานี…..พอโผล่ขึ้นไปจากสถานีใต้ดินจึงพบแต่ความเวิ้งว้างของสถานที่ท่องเที่ยว (ตอนส่งรูปกลับมาไทย สมาชิกในกลุ่มถามว่า นักท่องเที่ยวไม่นิยมไปเที่ยวที่นั่นหรือไร เพราะแต่ละภาพไม่เห็นมีใครแพล็มเข้าไปในเฟรม)….
ที่รัสเซีย เราไม่ค่อยเห็นต้นไม้ เราได้เห็นต้นไม้ และหญ้าสีเขียวในสวนหลังวังเครมลิน สวนที่โบสถ์หยดเลือด และวังเครมลิน เป็นพื้นที่สีเขียว และไม้ดอกหลากสีสัน สวยงามตระการตา ชาวรัสเซีย คุ้นเคยกับการเดินทางโดยรถใต้ดิน มากที่สุด รถเมล์ก็มีแต่ไม่ค่อยนิยม เราถามเรื่องรถบัส และรถราง พวกเขามักตอบไม่ได้ พวกเขาไม่เคยรู้ว่า มีรถบัส หรือรถรางที่ไป-กลับ ระหว่างสถานีมอสโคว กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น