
Will you marry me ?
ขึ้น title เรื่องกันแบบนี้ ก็บอกกันชัดเจนเลยนะ ว่าทริปนี้คือทริปขอแต่งงาน และ....เราขายออกแล้ว

จุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็คือ เช้าวันนึงแฟนเราก็มาเคาะห้อง
แล้วก็เอาของสิ่งนี้มาให้

ใครเคยดูหนังเรื่อง The Da Vinci code (
http://www.imdb.com/title/tt0382625/)
คงจะรู้ว่ามันคืออะไร สิ่งนี้เรียกว่า Cryptex ( คริปเท็ค -
https://en.wikipedia.org/wiki/Cryptex ) เราต้องหมุนรหัสให้ถูก มันจึงจะเปิดออกได้ ข้างในมักจะใส่กระดาษที่มีข้อความลับเอาไว้

Cryptex ในหนัง Davinci Code
Credit:
www.teambonding.com
แฟนเรายื่นให้ แล้วบอกให้เราไขรหัสให้ได้ แล้ว he ก็จากไป... แค่นั้นเลย
ส่วนเราเช้าๆยังเมาขี้ตา ก็ต้องมานั่งแกะรหัสทันที (นี่ก็บ้าเล่นตามเค้าเนอะ)

เนื่องจากเรามีเซ้นอยู่แล้ว ว่าแฟนเราจะขอแต่งงาน (ความมโนเต็มเปี่ยม) เราเลยคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขอแต่งงานของแฟนเราแน่ เพราะเค้ารู้เราชอบอะไรแนวสืบสวน ไขปริศนา อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
หาคำใบ้ทั่วบ้าน จนในที่สุดเราก็เปิดได้ ส่วนในนั้น มันไม่ใช่ จดหมายรัก หรือ คำขอแต่งงานแต่อย่างใด (มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะสิ)
.......แต่มันคือตั๋วเตรื่องบินไปเชียงใหม่ ! ! และบินวันนี้ตอนบ่าย !!!


เอาแล้วไง เราก็วิ่งไปเก็บกระเป๋าทันที ( แบบนี้เค้าเรียกหนีตามผู้ชายมั้ยเนี่ย ) บินๆๆๆ
ออกเดินทางไปตามผู้ชายของเรากัน ระหว่างทางเราก็ตื่นเต้นสุดๆ นั่งเครื่องบินคนเดียวแบบนั่งไม่ค่อยจะติด โอ๊ยไปเชียงใหม่ทำไมมันนานจัง นานเหมือนนั่งไปญี่ปุ่นเลย
ไปถึง แฟนเราก็มารอรับ ด้วยใบหน้ายิ้มแป้น แถมยังบอกว่า
"พี่แอบกังวลว่าแฟนจะโง่ ไขรหัสไม่ได้ แล้วตกเครื่อง 5555" ( มีหลอกด่า )
"โถ่ เรื่องแค่นี้สบายมาก" (จริงๆเราแอบใช้ Google ช่วยไขรหัสแหละ)
"แล้วนี่เราจะไปไหนเนี่ย มีที่นอนรึยังรึยัง"
"ไม่ต้องห่วง ตามมาๆ"
แล้วทริปนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ...
ออกเดินทางไป "ม่อนแจ่ม" กัน ในที่สุดคุณแฟนก็ยอมบอกว่าวันนี้เราจะพักกันที่ โรงแรมที่ชื่อว่าบ้านม่อนม่วน

มาถึงก็ประทับใจกับบรรยากาศสวนของโรงแรม ที่ปลูกดอกไม้สีสันสดใสไว้เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกสดชื่น เมื่อเดินเข้าไปบริเวณที่พัก

ไปถึงที่พักประมาณเกือบ 5 โมงเย็น อากาศที่นี่เย็นสบาย ที่โรงแรมจะมีชานไม้ยื่นออกไป ไว้ให้นั่งพักผ่อน และทานอาหาร
วิวจากโรงแรม
ด้วยความที่วันนี้เราเหนื่อยเสมือนไปแรนลี่มา ถึง ที่พักก็กินข้าวเย็นทันที อาหารคุณแฟนก็สั่งมาไว้หมดแล้ว พร้อมกับโม้ว่าเป็นเมนูเด็ดของที่นี่ มีสลัดผัก และน้ำพริกจานใหญ่
ถ่ายรูปคู่ฉลองที่ทำภารกิจตามหารัก สำเร็จ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็นั่งชมวิวกันสักพัก ถึงตอนนี้เราก็เริ่มสงสัยว่า แล้วทำไมแฟนเราต้องมาที่นี่ก่อนด้วยเนี่ย ทำไมไม่มาพร้อมๆกัน.....
แล้วเราก็ได้คำตอบ เมื่อเค้าพาเราไปดูสิ่งนี้...
แฟนเราตกแต่งห้องทั้งห้องด้วยภาพถ่ายของเราสองคน เริ่มตั้งแต่วันที่คบกัน จนมาถึงวันนี้ เอามาแขวนไว้เต็มห้องไปหมด เราเดินดูที่ละรูปๆ ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาดีที่เรามีด้วยกันมาตลอด

จากนั้นเค้าก็เอาของเหล่านี้ ออกมาทำเป็นการแสดงเล็กๆ เล่าเรื่องของเราสองคน เหมือนเป็นนิทาน (ตอนนี้น้ำตาไหลเลย

) สุดท้ายเค้าก็ขอเราแต่งงาน....วันแรกของทริปนี้จึงจบลงอย่าง Happy Ending (แล้วเราก็ได้ว่าที่เจ้าบ่าวมาหนึ่งคน)
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศดีมากๆ มีหมอกลงแต่เช้า เรารีบเอากล้องไปถ่ายวิวจากหน้าห้องพักที่บ้านม่อนม่วน

หน้าห้องพัก
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เราสองคนก็รีบขึ้นไปบน ม่อนแจ่ม ทันมี หวังว่าจะได้เจอหมอกหนาๆ และวิวสวยๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

ดอกไม้บนนี้สีสันสดใสมาก แถมมาแต่เช้า ยังไม่มีคนเลย
สีม่วงคือสีโปรดของเราด้วย ถ่ายรูปดอกไม้รัวๆๆๆ
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปคู่ (แรดๆ) สัก 1 รูป ก่อนที่คนจะมาเยอะ เดี๋ยวจะอายไม่กล้าโพส
สูดอากาศสดชื่นจนเต็มปอด เราก็ออกเดินทางไปที่ต่อไป แน่นอน ไปหาของกิน เช้าๆอย่างนี้ ร่างกายต้องการกาแฟ
ร้านที่เราจะไปกันมีชื่อว่าร้าน Tita Gallery (
https://www.wongnai.com/restaurants/175295yB-tita-gallery-suan-lahu-cafe/)
เป็นร้านกาแฟที่มีการตกแต่งสวยงาม และมีแกลลอรี่ภาพเล็กๆ ให้เข้าชมได้ฟรี
ตู้เค้กขนาดใหญ่ มีเค้กละลานตา จนเลือกไม่ถูก
เราขึ้นไปนั่งตรงส่วนของชั้นลอยด้านบน
สั่งกาแฟกันคนละแก้ว มากินกับ Avocado Cheesecake แต่กลับลืมถ่ายรูปซะงั้น (หิวจัด)
กินเสร็จ โหมดนางแบบ เริ่มทำงานอีกครั้ง หามุมถ่ายรูป เจอมุมประตูสีสันสดใส ถ่ายรูปออกมาสีสวยมาก

ส่วนของแกลลอรี่
เนื่องจากทริปนี้ แฟนเราเป็นคนวางแผนทั้งหมด เราเลยไม่รู้ว่าวันนี้เราจะไปไหนกันต่อเลย
"คุณแฟน กินเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปไหนกันต่อหรอ"
"เดี๋ยวจะพาไปทำอะไรตื่นเต้น" เอ๊ะ มีSurprise อีกหรอเนี่ย ??
ว่าแล้วเราก็ขับรถกันออกไป ไม่นานคุณแฟนเราก็เลี้ยวรถไปที่แห่งหนึ่ง มันเขียนว่า "Tiger Kingdom"
(
http://www.tigerkingdom.com/chiangmai/) หาาาาา นี่อะหรอ อะไรที่ว่าตื่นเต้น พาเรามาดูเสือเนี่ยนะ !!!
จอดรถเดินเข้าไป ปรากฎว่าที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์อย่างที่เราคิด มันพิเศษกว่าตรงที่ เราสามารถเข้าไปในกรงเดียวกับเสือได้เลย เข้าไปจับ ไปถ่ายรูป กับเสือตัวเป็นๆนี่แหละ แถมมีให้เลือกขนาดตัวของเสือที่เราจะเข้าไปอยู่ด้วยอีกนะ ตั้งแต่ใหญ่(L) กลาง(M) เล็ก(S) เล็กมากกก(SS)
ราคาค่าเข้าก็แตกต่างกันไป ยิ่งตัวเล็ก ราคายิ่งแพง เทคนิคการตั้งราคานี้ดีมาก เพราะคนส่วนใหญ่กลัวตัวใหญ่ ค่าเข้าไปอยู่กับเจ้าตัวใหญ่เลยถูกที่สุดนั่นเอง (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใครใจกล้าจ่ายราคาถูก ใครใจป๊อด ก็ต้องจ่ายแพงนั่นเอง)
อ๋อ..นี่เองที่ว่าให้มาทำอะไรตื่นเต้น....แต่เราชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
"คุณแฟน เราเอาไซต์กลางดีมั้ย กำลังดี"
"....." เงียบ

"คุณแฟนเอาไง" นิ่งไปอีก 5 วินาที
"ไม่เข้าไปเล่นกับตัวเล็กๆหรอ น่ารักออก" แฟนเราหมายถึงขนาด SS เล็กที่สุด เหมือนเสือเด็กทารก ประมาณนั้น
"ไม่เอา แบบนั้นไม่ตื่นเต้น"
"ไปตัวเล็กเถอะ" อ่าว คนชวนมา กลัวซะงั้น
ต่อรองไปมา จนในที่สุดพบกันครึ่งทาง ไซต์ S ก็คือขนาดเจ้าตัวในรูปข้างล่างนี่เอง (กำลังแลบลิ้นให้กล้องเลย)

Size S
ก่อนเข้าทุกคนต้องล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเสียก่อน พอเข้าไปข้างในจะมีเจ้าหน้าที่อยู่กับเราตลอด เค้าจะคอยแนะนำว่าต้องทำยังไง เช่น อย่าไปลูบหัว หรือดึงหางมัน ให้ลูบตรงท้อง
เจ้าหน้าที่ที่นี่บริการดีมาก จะเล่าให้ฟังว่าแต่ละตัวอายุเท่าไหร่ ดูแลยังไง แล้วยังช่วยถ่ายรูปให้อีกด้วย
เราขอนอนกอดซะเลย น่ารัก (แต่กลิ่นไม่ค่อยหอมนะ) ถึงนี่จะไม่ใช่กิจกรรมที่โรแมนติกนัก แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก คงไม่ได้มีโอกาศมาทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ ใครชอบอะไรแบบนี้ ไปลองดูกันได้นะ
แนบชิด (คนข้างหลังนั่งห่างเชียว)
ถึงเวลามื้อเที่ยง เราสองคนก็ตรงไปร้านดังของเชียงใหม่ ร้านต๊อง เต็ม โต๊ะ นั่นเอง
อาหารรสชาติดี สมกับชื่อเสียง แต่ติดตรงที่เราไปถึงตอนเกือบบ่าย 2 ยังต้องรอคิว แถมอาหารจานแนะนำต่างๆก็ หมดๆๆ เราเลยได้มาแค่ 3 จานนี้เอง อดกินไส้อั่วอีกต่างหาก (เสียใจ)
เสร็จจากกินของคาว ก็ต้องต่อด้วยของหวานสินะ....ว่าแล้วก็เดินไปที่เป้าหมายต่อไปกัน
นั่นก็คือ Local Cafe ของพี่โน็ตนั่นเอง ร้านหาง่ายมาก มีรูปปั้นเจ้าแมวยักตัวนี้อยู่น่าร้าน

ร้านมี 2 ชั้น คนค่อนข้างเยอะทีเดียว ชั้นล่างไม่มีที่เหลือเลย เราจึงเดินไปนั่งชั้น 2 มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะทีเดียว การตกแต่งบ่งบอกถึงความเป็น โน็ต อุดม
อาหารที่เราสั่งเป็นไอติมชาไทย รสชาติอร่อยดี แต่ค่อนข้างหวานนนน
กินเสร็จก็ได้เวลากลับที่พักกันแล้ว
วันนี้เราเที่ยวกันมาหลายที่จึงกลับไปนั่งชิวที่โรงแรมแทน ที่ม่อนม่วนระเบียงสำหรับทานข้าวบรรยากาศตอนกลางคืนก็โรแมนติก ดังนั้น Sweet Gimmick เคล็ดลับเพิ่มความโรแมนติก ของทริปนี้ก็คือ ตอนกลางคืน เราก็ชวนกันมานั่งนับดาวที่ระเบียง สั่งชาม่อนม่วน กับเค้กมะพร้าวมากินเล่น


มีแสงไฟจากตะเกียงคอยให้ความสว่าง อากาศกลางคืนหนาวมาก ต้องหาเสื้อแขนยาวมาใส่กันเลย แต่มีคนรู้ใจอยู่ข้างๆ กับชาอุ่นๆ ก็ช่วยให้หายหนาวได้ดีทีเดียว
[CR] Will You Marry Me? ทริปตามหาว่าที่เจ้าบ่าว ณ ม่อนเเจ่ม!
Will you marry me ?
ขึ้น title เรื่องกันแบบนี้ ก็บอกกันชัดเจนเลยนะ ว่าทริปนี้คือทริปขอแต่งงาน และ....เราขายออกแล้ว
จุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็คือ เช้าวันนึงแฟนเราก็มาเคาะห้อง
แล้วก็เอาของสิ่งนี้มาให้
ใครเคยดูหนังเรื่อง The Da Vinci code (http://www.imdb.com/title/tt0382625/)
คงจะรู้ว่ามันคืออะไร สิ่งนี้เรียกว่า Cryptex ( คริปเท็ค - https://en.wikipedia.org/wiki/Cryptex ) เราต้องหมุนรหัสให้ถูก มันจึงจะเปิดออกได้ ข้างในมักจะใส่กระดาษที่มีข้อความลับเอาไว้
Cryptex ในหนัง Davinci Code
Credit:www.teambonding.com
แฟนเรายื่นให้ แล้วบอกให้เราไขรหัสให้ได้ แล้ว he ก็จากไป... แค่นั้นเลย
ส่วนเราเช้าๆยังเมาขี้ตา ก็ต้องมานั่งแกะรหัสทันที (นี่ก็บ้าเล่นตามเค้าเนอะ)
เนื่องจากเรามีเซ้นอยู่แล้ว ว่าแฟนเราจะขอแต่งงาน (ความมโนเต็มเปี่ยม) เราเลยคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขอแต่งงานของแฟนเราแน่ เพราะเค้ารู้เราชอบอะไรแนวสืบสวน ไขปริศนา อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
หาคำใบ้ทั่วบ้าน จนในที่สุดเราก็เปิดได้ ส่วนในนั้น มันไม่ใช่ จดหมายรัก หรือ คำขอแต่งงานแต่อย่างใด (มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะสิ)
.......แต่มันคือตั๋วเตรื่องบินไปเชียงใหม่ ! ! และบินวันนี้ตอนบ่าย !!!
เอาแล้วไง เราก็วิ่งไปเก็บกระเป๋าทันที ( แบบนี้เค้าเรียกหนีตามผู้ชายมั้ยเนี่ย ) บินๆๆๆ
ออกเดินทางไปตามผู้ชายของเรากัน ระหว่างทางเราก็ตื่นเต้นสุดๆ นั่งเครื่องบินคนเดียวแบบนั่งไม่ค่อยจะติด โอ๊ยไปเชียงใหม่ทำไมมันนานจัง นานเหมือนนั่งไปญี่ปุ่นเลย
ไปถึง แฟนเราก็มารอรับ ด้วยใบหน้ายิ้มแป้น แถมยังบอกว่า
"พี่แอบกังวลว่าแฟนจะโง่ ไขรหัสไม่ได้ แล้วตกเครื่อง 5555" ( มีหลอกด่า )
"โถ่ เรื่องแค่นี้สบายมาก" (จริงๆเราแอบใช้ Google ช่วยไขรหัสแหละ)
"แล้วนี่เราจะไปไหนเนี่ย มีที่นอนรึยังรึยัง"
"ไม่ต้องห่วง ตามมาๆ"
แล้วทริปนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ...
ออกเดินทางไป "ม่อนแจ่ม" กัน ในที่สุดคุณแฟนก็ยอมบอกว่าวันนี้เราจะพักกันที่ โรงแรมที่ชื่อว่าบ้านม่อนม่วน
มาถึงก็ประทับใจกับบรรยากาศสวนของโรงแรม ที่ปลูกดอกไม้สีสันสดใสไว้เต็มไปหมด ให้ความรู้สึกสดชื่น เมื่อเดินเข้าไปบริเวณที่พัก
ไปถึงที่พักประมาณเกือบ 5 โมงเย็น อากาศที่นี่เย็นสบาย ที่โรงแรมจะมีชานไม้ยื่นออกไป ไว้ให้นั่งพักผ่อน และทานอาหาร
ด้วยความที่วันนี้เราเหนื่อยเสมือนไปแรนลี่มา ถึง ที่พักก็กินข้าวเย็นทันที อาหารคุณแฟนก็สั่งมาไว้หมดแล้ว พร้อมกับโม้ว่าเป็นเมนูเด็ดของที่นี่ มีสลัดผัก และน้ำพริกจานใหญ่
ถ่ายรูปคู่ฉลองที่ทำภารกิจตามหารัก สำเร็จ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็นั่งชมวิวกันสักพัก ถึงตอนนี้เราก็เริ่มสงสัยว่า แล้วทำไมแฟนเราต้องมาที่นี่ก่อนด้วยเนี่ย ทำไมไม่มาพร้อมๆกัน.....
แล้วเราก็ได้คำตอบ เมื่อเค้าพาเราไปดูสิ่งนี้...
แฟนเราตกแต่งห้องทั้งห้องด้วยภาพถ่ายของเราสองคน เริ่มตั้งแต่วันที่คบกัน จนมาถึงวันนี้ เอามาแขวนไว้เต็มห้องไปหมด เราเดินดูที่ละรูปๆ ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาดีที่เรามีด้วยกันมาตลอด
จากนั้นเค้าก็เอาของเหล่านี้ ออกมาทำเป็นการแสดงเล็กๆ เล่าเรื่องของเราสองคน เหมือนเป็นนิทาน (ตอนนี้น้ำตาไหลเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศดีมากๆ มีหมอกลงแต่เช้า เรารีบเอากล้องไปถ่ายวิวจากหน้าห้องพักที่บ้านม่อนม่วน
หน้าห้องพัก
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เราสองคนก็รีบขึ้นไปบน ม่อนแจ่ม ทันมี หวังว่าจะได้เจอหมอกหนาๆ และวิวสวยๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
ดอกไม้บนนี้สีสันสดใสมาก แถมมาแต่เช้า ยังไม่มีคนเลย
สีม่วงคือสีโปรดของเราด้วย ถ่ายรูปดอกไม้รัวๆๆๆ
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปคู่ (แรดๆ) สัก 1 รูป ก่อนที่คนจะมาเยอะ เดี๋ยวจะอายไม่กล้าโพส
สูดอากาศสดชื่นจนเต็มปอด เราก็ออกเดินทางไปที่ต่อไป แน่นอน ไปหาของกิน เช้าๆอย่างนี้ ร่างกายต้องการกาแฟ
ร้านที่เราจะไปกันมีชื่อว่าร้าน Tita Gallery (https://www.wongnai.com/restaurants/175295yB-tita-gallery-suan-lahu-cafe/)
เป็นร้านกาแฟที่มีการตกแต่งสวยงาม และมีแกลลอรี่ภาพเล็กๆ ให้เข้าชมได้ฟรี
ตู้เค้กขนาดใหญ่ มีเค้กละลานตา จนเลือกไม่ถูก
เราขึ้นไปนั่งตรงส่วนของชั้นลอยด้านบน
สั่งกาแฟกันคนละแก้ว มากินกับ Avocado Cheesecake แต่กลับลืมถ่ายรูปซะงั้น (หิวจัด)
กินเสร็จ โหมดนางแบบ เริ่มทำงานอีกครั้ง หามุมถ่ายรูป เจอมุมประตูสีสันสดใส ถ่ายรูปออกมาสีสวยมาก
ส่วนของแกลลอรี่
เนื่องจากทริปนี้ แฟนเราเป็นคนวางแผนทั้งหมด เราเลยไม่รู้ว่าวันนี้เราจะไปไหนกันต่อเลย
"คุณแฟน กินเสร็จแล้ว เดี๋ยวเราไปไหนกันต่อหรอ"
"เดี๋ยวจะพาไปทำอะไรตื่นเต้น" เอ๊ะ มีSurprise อีกหรอเนี่ย ??
ว่าแล้วเราก็ขับรถกันออกไป ไม่นานคุณแฟนเราก็เลี้ยวรถไปที่แห่งหนึ่ง มันเขียนว่า "Tiger Kingdom"
(http://www.tigerkingdom.com/chiangmai/) หาาาาา นี่อะหรอ อะไรที่ว่าตื่นเต้น พาเรามาดูเสือเนี่ยนะ !!!
จอดรถเดินเข้าไป ปรากฎว่าที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์อย่างที่เราคิด มันพิเศษกว่าตรงที่ เราสามารถเข้าไปในกรงเดียวกับเสือได้เลย เข้าไปจับ ไปถ่ายรูป กับเสือตัวเป็นๆนี่แหละ แถมมีให้เลือกขนาดตัวของเสือที่เราจะเข้าไปอยู่ด้วยอีกนะ ตั้งแต่ใหญ่(L) กลาง(M) เล็ก(S) เล็กมากกก(SS)
ราคาค่าเข้าก็แตกต่างกันไป ยิ่งตัวเล็ก ราคายิ่งแพง เทคนิคการตั้งราคานี้ดีมาก เพราะคนส่วนใหญ่กลัวตัวใหญ่ ค่าเข้าไปอยู่กับเจ้าตัวใหญ่เลยถูกที่สุดนั่นเอง (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใครใจกล้าจ่ายราคาถูก ใครใจป๊อด ก็ต้องจ่ายแพงนั่นเอง)
อ๋อ..นี่เองที่ว่าให้มาทำอะไรตื่นเต้น....แต่เราชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
"คุณแฟน เราเอาไซต์กลางดีมั้ย กำลังดี"
"....." เงียบ
"คุณแฟนเอาไง" นิ่งไปอีก 5 วินาที
"ไม่เข้าไปเล่นกับตัวเล็กๆหรอ น่ารักออก" แฟนเราหมายถึงขนาด SS เล็กที่สุด เหมือนเสือเด็กทารก ประมาณนั้น
"ไม่เอา แบบนั้นไม่ตื่นเต้น"
"ไปตัวเล็กเถอะ" อ่าว คนชวนมา กลัวซะงั้น
ต่อรองไปมา จนในที่สุดพบกันครึ่งทาง ไซต์ S ก็คือขนาดเจ้าตัวในรูปข้างล่างนี่เอง (กำลังแลบลิ้นให้กล้องเลย)
Size S
ก่อนเข้าทุกคนต้องล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเสียก่อน พอเข้าไปข้างในจะมีเจ้าหน้าที่อยู่กับเราตลอด เค้าจะคอยแนะนำว่าต้องทำยังไง เช่น อย่าไปลูบหัว หรือดึงหางมัน ให้ลูบตรงท้อง
เจ้าหน้าที่ที่นี่บริการดีมาก จะเล่าให้ฟังว่าแต่ละตัวอายุเท่าไหร่ ดูแลยังไง แล้วยังช่วยถ่ายรูปให้อีกด้วย
เราขอนอนกอดซะเลย น่ารัก (แต่กลิ่นไม่ค่อยหอมนะ) ถึงนี่จะไม่ใช่กิจกรรมที่โรแมนติกนัก แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก คงไม่ได้มีโอกาศมาทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ ใครชอบอะไรแบบนี้ ไปลองดูกันได้นะ
ถึงเวลามื้อเที่ยง เราสองคนก็ตรงไปร้านดังของเชียงใหม่ ร้านต๊อง เต็ม โต๊ะ นั่นเอง
อาหารรสชาติดี สมกับชื่อเสียง แต่ติดตรงที่เราไปถึงตอนเกือบบ่าย 2 ยังต้องรอคิว แถมอาหารจานแนะนำต่างๆก็ หมดๆๆ เราเลยได้มาแค่ 3 จานนี้เอง อดกินไส้อั่วอีกต่างหาก (เสียใจ)
เสร็จจากกินของคาว ก็ต้องต่อด้วยของหวานสินะ....ว่าแล้วก็เดินไปที่เป้าหมายต่อไปกัน
นั่นก็คือ Local Cafe ของพี่โน็ตนั่นเอง ร้านหาง่ายมาก มีรูปปั้นเจ้าแมวยักตัวนี้อยู่น่าร้าน
ร้านมี 2 ชั้น คนค่อนข้างเยอะทีเดียว ชั้นล่างไม่มีที่เหลือเลย เราจึงเดินไปนั่งชั้น 2 มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะทีเดียว การตกแต่งบ่งบอกถึงความเป็น โน็ต อุดม
อาหารที่เราสั่งเป็นไอติมชาไทย รสชาติอร่อยดี แต่ค่อนข้างหวานนนน
กินเสร็จก็ได้เวลากลับที่พักกันแล้ว
วันนี้เราเที่ยวกันมาหลายที่จึงกลับไปนั่งชิวที่โรงแรมแทน ที่ม่อนม่วนระเบียงสำหรับทานข้าวบรรยากาศตอนกลางคืนก็โรแมนติก ดังนั้น Sweet Gimmick เคล็ดลับเพิ่มความโรแมนติก ของทริปนี้ก็คือ ตอนกลางคืน เราก็ชวนกันมานั่งนับดาวที่ระเบียง สั่งชาม่อนม่วน กับเค้กมะพร้าวมากินเล่น
มีแสงไฟจากตะเกียงคอยให้ความสว่าง อากาศกลางคืนหนาวมาก ต้องหาเสื้อแขนยาวมาใส่กันเลย แต่มีคนรู้ใจอยู่ข้างๆ กับชาอุ่นๆ ก็ช่วยให้หายหนาวได้ดีทีเดียว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น