นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงรายงานนโยบายการเงินฉบับเดือนกันยายน 2558 ว่า กนง.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ลง 2.7% จากประมาณการเดิมในเดือนมิถุนายนที่ระดับ 3% และปรับลดจีดีพีปี 2559 เหลือโต 3.7% จากเดิมคาดการณ์โต 4.1% เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นและตลาดการเงินโลกมีความผันผวนมากขึ้น จากความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และประสิทธิผลของมาตรการดูแลตลาดการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ ของทางการจีน ทั้งความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งล่าสุด
ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศอื่นในเอเชียและประเทศคู่ค้าที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าส่งออกไทยลดลง และเมื่อรวมกับสินค้าการส่งออกของไทยบางประเภทที่มีแนวโน้มต่ำลงตามราคาน้ำมัน และการต่อรองราคาของคู่ค้า ส่งผลให้การส่งออกปีนี้ติดลบสูง โดยธปท.ได้ปรับลดประมาณการส่งออกปีนี้ติดลบ 5% จากเดิมติดลบ 1.5% ส่วนปี 2559 การส่งออกจะเริ่มกลับมาดีขึ้นเล็กน้อย โดยขยายตัว 1.2% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ว่าโต 2.5%
นายเมธี กล่าวว่า เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการ ซึ่งจะมีการปรับจีดีพีอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม คาดว่าจีดีพีครึ่งปีหลังของปี 2558 จะขยายตัว 2.5% ขณะที่ครึ่งปีแรกขยายตัว 2.9% ซึ่งหากพิจารณาจีดีพีรายไตรมาสแล้วพบว่าครึ่งปีหลังมีการขยายตัวมากกว่าครึ่งปีแรก โดย ธปท.มองเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ และมีความเสี่ยงด้านลบที่จีดีพีจะขยายตัวต่ำ โดยยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนเมื่อไร ซึ่งต้องติดตามในระยะต่อไป
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 3 มาตรการ ประกอบด้วยมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็ก มองว่าจะมีผลต่อการกระตุ้นจีดีพีเพียง 0.1% เท่านั้น ในส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยังไม่น่าเห็นผลในปีนี้ เพราะว่าต้องมีกระบวนการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ อีก ซึ่งผลที่ชัดเจนของมาตรการจะเกิดขึ้นชัดเจนในปี 2559
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังอ่อนแรง เนื่องจากความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภคยังไม่ฟื้น กำลังการผลิตยังเหลืออยู่มากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการส่งออก จึงยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม โดยการลงทุนเอกชนติดลบ 0.5% ส่วนปี 2559 มีแนวโน้มดีขึ้นขยายตัว 5.4%
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายภาครัฐซึ่งการใช้จ่ายลงทุนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 สูงเกินคาดและ มีแนวโน้มทำได้ต่อเนื่อง จากการเร่งรัดก่อหนี้ผูกพัน และการใช้จ่ายตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 อีกทั้งการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาล เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) ซึ่งหากทำได้ดีต่อเนื่องและได้ผลเกินคาดจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและเอกชน
นอกจากนี้ ยังมีการท่องเที่ยวที่น่าจะฟื้นตัวหลังจากผ่านเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า จากที่ปีนี้การท่องเที่ยวลดลงมากกว่าคาดโดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 28.8 ล้านคน
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.9% เป็นผลมาจากต้นทุนราคาน้ำมันต่ำและราคาสินค้ายังมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบต่อเนื่องทั้งปี แต่ความเสี่ยงในเรื่องเงินฝืดยังค่อนข้างต่ำ ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.2% ส่วนในปี 2559 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8%
สำหรับกรณีแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ คาดว่ากระทบเศรษฐกิจไทยคงไม่มาก ตลาดคงไม่ผันผวนมาก เนื่องจากมีการรับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว และธปท. ยังมีเครื่องมือดูแลความผันผวนของการไหลเข้าและออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ดี อย่างไรก็ตาม มองว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่จำเป็นต้องปรับไปตามสหรัฐฯ
JJNY : ธปท.หั่นจีดีพีเหลือ 2.7% ชิ่งส่งออกไทยหนัก ติดลบ5%
ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศอื่นในเอเชียและประเทศคู่ค้าที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลง ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าส่งออกไทยลดลง และเมื่อรวมกับสินค้าการส่งออกของไทยบางประเภทที่มีแนวโน้มต่ำลงตามราคาน้ำมัน และการต่อรองราคาของคู่ค้า ส่งผลให้การส่งออกปีนี้ติดลบสูง โดยธปท.ได้ปรับลดประมาณการส่งออกปีนี้ติดลบ 5% จากเดิมติดลบ 1.5% ส่วนปี 2559 การส่งออกจะเริ่มกลับมาดีขึ้นเล็กน้อย โดยขยายตัว 1.2% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ว่าโต 2.5%
นายเมธี กล่าวว่า เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการ ซึ่งจะมีการปรับจีดีพีอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม คาดว่าจีดีพีครึ่งปีหลังของปี 2558 จะขยายตัว 2.5% ขณะที่ครึ่งปีแรกขยายตัว 2.9% ซึ่งหากพิจารณาจีดีพีรายไตรมาสแล้วพบว่าครึ่งปีหลังมีการขยายตัวมากกว่าครึ่งปีแรก โดย ธปท.มองเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้าๆ และมีความเสี่ยงด้านลบที่จีดีพีจะขยายตัวต่ำ โดยยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนเมื่อไร ซึ่งต้องติดตามในระยะต่อไป
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 3 มาตรการ ประกอบด้วยมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับหมู่บ้าน มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็ก มองว่าจะมีผลต่อการกระตุ้นจีดีพีเพียง 0.1% เท่านั้น ในส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยังไม่น่าเห็นผลในปีนี้ เพราะว่าต้องมีกระบวนการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ อีก ซึ่งผลที่ชัดเจนของมาตรการจะเกิดขึ้นชัดเจนในปี 2559
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังอ่อนแรง เนื่องจากความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภคยังไม่ฟื้น กำลังการผลิตยังเหลืออยู่มากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการส่งออก จึงยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม โดยการลงทุนเอกชนติดลบ 0.5% ส่วนปี 2559 มีแนวโน้มดีขึ้นขยายตัว 5.4%
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายภาครัฐซึ่งการใช้จ่ายลงทุนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 สูงเกินคาดและ มีแนวโน้มทำได้ต่อเนื่อง จากการเร่งรัดก่อหนี้ผูกพัน และการใช้จ่ายตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 อีกทั้งการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มของรัฐบาล เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) ซึ่งหากทำได้ดีต่อเนื่องและได้ผลเกินคาดจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและเอกชน
นอกจากนี้ ยังมีการท่องเที่ยวที่น่าจะฟื้นตัวหลังจากผ่านเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า จากที่ปีนี้การท่องเที่ยวลดลงมากกว่าคาดโดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 28.8 ล้านคน
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.9% เป็นผลมาจากต้นทุนราคาน้ำมันต่ำและราคาสินค้ายังมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะติดลบต่อเนื่องทั้งปี แต่ความเสี่ยงในเรื่องเงินฝืดยังค่อนข้างต่ำ ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.2% ส่วนในปี 2559 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1% และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8%
สำหรับกรณีแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยปลายปีนี้ คาดว่ากระทบเศรษฐกิจไทยคงไม่มาก ตลาดคงไม่ผันผวนมาก เนื่องจากมีการรับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว และธปท. ยังมีเครื่องมือดูแลความผันผวนของการไหลเข้าและออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ดี อย่างไรก็ตาม มองว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่จำเป็นต้องปรับไปตามสหรัฐฯ