
นับย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนวอลเลย์บอลไทยมีเรื่องราวมากมายที่เป็นต้นตอของความสำเร็จในยุคปัจจุบัน แต่กระนั้นกว่าจะก้าวมายืนอยู่แถวแนวหน้าของโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อทุกสิ่งอย่างของทีมไทยทั้งหมดเริ่มต้นจากศูนย์
"ผมจะพาทีมไทยไปเล่นระดับโลก"

ใครจะรู้ว่าคำพูดของ "โค้ชอ๊อต" เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมตบสาวไทย เมื่อ 15-16 ปีที่แล้วจะเป็นความจริง เพราะตอนนั้นต้นทุนของทีมไทยเมื่อเทียบกับต่างชาติ ดูเหมือนว่าทุกอย่างไม่มีอะไรที่สามารถประกบเทียบได้ ตั้งแต่เรื่องงบประมาณ จำนวนนักกีฬา ความสูงของผู้เล่น รวมไปถึงอุปกรณ์ทางเทคนิค

วรรณา บัวแก้ว ตัวรับอิสระทีมชาติที่อยู่กับทีมตั้งแต่ยุคแรก เคยบอกว่า "ตอนนั้น อาจารย์อ๊อต บอกว่าจะพาทีมไปเล่นระดับโลก เราเองก็ไม่รู้ว่าแกจะทำยังไง แต่สุดท้ายแกก็ทำได้สำเร็จ"
เรื่องงบประมาณแม้ว่าจะมีไม่เยอะ แต่สมาคมฯลูกยางก็พยายามทุกทางที่จะทำให้ทีมไทยก้าวเดินไปข้างหน้า และ ตอนนั้น "จังหวัดยะลา" ได้เอื้อเฟื้อสถานที่เก็บตัว และ ช่วยเหลือทุกทางเท่าที่ทำได้
มีเรื่องที่ฟังแล้วหลายคนอาจจะมีรอยยิ้มปนไปด้วยความสงสาร
สมัยก่อนเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาของไทย โค้ชอ็อตก็พยายามทำตามตำรา และ ความรู้ที่พลิกแพลงปรับใช้ แต่เมื่อนักกีฬาเจ็บขึ้นมาปัญหาก็เกิด เพราะไม่มีศูนย์ที่จะทำไว้ใช้รักษา และ ทำกายภาพบำบัด
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่โชคดีที่มีหน่วยงานท้องถิ่นช่วยเหลืออีกแรง และ ให้นักกีฬาทำบัตร "ผู้ป่วยอนาถา" ได้ยินชื่อบัตรแล้วรู้สึกอย่างไร?

ขณะเดียวกันบุคลากรที่ได้ร่วมงานกับโค้ชอ๊อต ณ ตอนนั้น ก็มี "โค้ชด่วน" ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็น 1 ในทีมงานสต๊าฟโค้ช และ จุดเด่นของโค้ชท่านนี้นอกจากที่จะวางแผนการซ้อม หรือ ช่วยโค้ชอ๊อตแก้เกมแล้วนั้นก็คือ "มันสมองการสเก๊าท์เกมของคู่ต่อสู้"
การสเก๊าท์เกมของวอลเลย์บอล ไม่ได้แปลว่าเอากล้องไปถ่ายแล้วมาเปิดให้นักกีฬาดูเกมเท่านั้น มันมีรายละเอียดอีกเยอะมากมายที่คาดไม่ถึง!!!!
ในยุคนี้การทำงานง่ายขึ้นถ้าเทียบกลับเมื่อก่อน สมัยนั้นเคยได้ยินมาว่าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งราคาเฉียดแสน ครั้นจะเอามาทำงานด้านนี้โดยเฉพาะก็คงลำบากสำหรับสมาคมฯที่เคยมีเงินติดบัญชีแค่ 700 บาท
แต่...ด้วยการช่วยเหลือจากใครสักคนทำให้ทีมตบชุดนี้มีคอมพิวเตอร์มือสองมาไว้ใช้งาน เมื่อมีอุปกรณ์ก็ทำให้งานเริ่มมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่จะให้เทียบเท่ากับต่างชาติที่มีโปรแกรมการทำข้อมูลที่ล้ำสมัยก็คงลำบาก

ทีมไทยโชคดีที่ "โค้ชด่วน" เป็นคนฉลาด ด้วยการที่เคยอยู่กับโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด(ใช้พิมพ์รายงาน) และ ไมโครซอฟต์เอ็กเซล(ใช้พิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับตาราง) ตอนที่ทำงานเป็นนายธนาคาร ทำให้ โค้ชด่วน ปรับโปรแกรมพวกนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยประยุกต์สูตรในเอ็กเซลมาผนวกกับข้อมูลดิบที่ต้องคีย์เข้าไป จนทำให้ทีมไทยมีข้อมูลการสเก๊าท์คู่ต่อสู้มาอธิบายให้กับนักกีฬาได้ฟังกัน
ยุคนั้นการสเก๊าท์ข้อมูล 1 คู่ใช้เวลานานมาก แต่มันคุ้มค่าเพราะสิ่งพวกนี้จะทำให้รู้ว่า"ส่วนใหญ่"คู่ต่อสู้จะตีไปทางไหน ถนัดเซตแบบไหน หน้าบอลลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะจ่ายไปจุดไหน แม้ว่ามันจะไม่เป็นเปอร์เซ็นที่เต็มร้อย แต่ก็เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงพอสมควร และ การที่นักกีฬาจะลงสนามโดยที่ไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้เล่นยังไง กับการที่ลงสนามไปพร้อมกับข้อมูล ความรู้สึกในการสู้มันจะต่างกันทันที
นี่เป็นเรื่องที่ได้ฟังแล้วประทับใจอีก 1 เรื่องของเส้นทางวอลเลย์บอลไทย
วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ทุกคนยังคงเหมือนเดิม "โค้ชด่วน" ไม่ได้ขยันน้อยลง แต่ก็ยังคงศึกษาอะไรใหม่ๆอยู่ตลอด การทำงานง่ายขึ้นเมื่อมีงบพอจะซื้อโปรแกรมที่ใช้สเก๊าท์โดยเฉพาะมาทำงาน และ บ่อยครั้งที่โค้ชจะเป็นคนที่ตื่นเช้าสุด เข้านอนดึกสุด เพราะต้องนั่งดูคู่แข่งที่ลงสนามตั้งแต่เช้า และ เอาข้อมูลทั้งหมดมาทำการบ้านให้กับทีม เพื่อส่งต่อให้โค้ชอ๊อตเพื่อวิเคราะห์เกมก่อนที่จะย่อให้เหลือแต่เนื้อ และ นำไปเปิดอธิบายให้กับนักกีฬาได้ดู

การได้เห็นโปรแกรมdata video volleyballทำงานต้องบอกเลยว่า "ช่วยทีมได้เยอะ" ท่าทางลักษณะการเล่นบอลของผู้เล่นตัวเซตแสดงออกมาชัดเจนจากสรีระ การวิ่งการยืนรอบอลผู้เล่นตัวตบ สามารถทำให้นักกีฬามีข้อมูลจะลงไปเล่นทันที แต่มันไม่ได้แปลว่าจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ทั้งหมด เพราะคู่แข่งก็ทำการบ้านแบบนี้เช่นกัน.....นี่ละคือคำว่าสู้กันด้วยเทคนิค
ขณะที่โปรแกรมนี้ในประเทศไทยยังไม่มีการนำมาใช้อย่างกว้างขว้าง และ คนที่มีความรู้ในด้านนี้ก็มีน้อยมากๆ หากกางชื่อออกมาแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน ทั้งนี้ยังมี "พี่โก้"พิสิษฐ์ นัทธี ที่เป็นอีก 1 บุคลากรที่ช่วยเหลือทีมชาติไทยในการแข่งขันรายการต่างๆอยู่เป็นประจำ เรามักจะเห็นชายรูปร่างใหญ่สวมแว่นใสนั่งอยู่ท้ายคอร์ดเพื่อคอยแจ้งลักษณะการเล่นหน้าบอลต่างๆของคู่แข่งให้กับโค้ชอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหูฟังที่โค้ชอ๊อตใส่นั้นละคือไว้ใช้สื่อสารกับข้อมูลที่ส่งมา
วันนี้มานั่งคิดย้อนกลับไปถ้า "โค้ชด่วน" ตอนนั้นถอดใจไม่สู้ขึ้นมา เส้นทางของทีมจะเป็นยังไง แต่ถึงอย่างไรถือว่าเป็นเรื่องดีๆของวงการที่มีบุคลากรที่ทุ่มเทกาย ใจ และ เวลาส่วนตัวให้กับประเทศชาติแบบนี้อยู่อีกคน ....ขอบคุณโค้ชด่วนครับ
จาก...
http://www.smmsport.com/reader.php?article=5811
เรื่องที่ไม่เคยถูกเปิดเผยของทีมลูกยางไทยหลายๆ เรื่อง แม้กระทั้งให้นักกีฬาทำบัตร "ผู้ป่วยอนาถา"
นับย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนวอลเลย์บอลไทยมีเรื่องราวมากมายที่เป็นต้นตอของความสำเร็จในยุคปัจจุบัน แต่กระนั้นกว่าจะก้าวมายืนอยู่แถวแนวหน้าของโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อทุกสิ่งอย่างของทีมไทยทั้งหมดเริ่มต้นจากศูนย์ "ผมจะพาทีมไทยไปเล่นระดับโลก"
ใครจะรู้ว่าคำพูดของ "โค้ชอ๊อต" เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมตบสาวไทย เมื่อ 15-16 ปีที่แล้วจะเป็นความจริง เพราะตอนนั้นต้นทุนของทีมไทยเมื่อเทียบกับต่างชาติ ดูเหมือนว่าทุกอย่างไม่มีอะไรที่สามารถประกบเทียบได้ ตั้งแต่เรื่องงบประมาณ จำนวนนักกีฬา ความสูงของผู้เล่น รวมไปถึงอุปกรณ์ทางเทคนิค
วรรณา บัวแก้ว ตัวรับอิสระทีมชาติที่อยู่กับทีมตั้งแต่ยุคแรก เคยบอกว่า "ตอนนั้น อาจารย์อ๊อต บอกว่าจะพาทีมไปเล่นระดับโลก เราเองก็ไม่รู้ว่าแกจะทำยังไง แต่สุดท้ายแกก็ทำได้สำเร็จ"
เรื่องงบประมาณแม้ว่าจะมีไม่เยอะ แต่สมาคมฯลูกยางก็พยายามทุกทางที่จะทำให้ทีมไทยก้าวเดินไปข้างหน้า และ ตอนนั้น "จังหวัดยะลา" ได้เอื้อเฟื้อสถานที่เก็บตัว และ ช่วยเหลือทุกทางเท่าที่ทำได้
มีเรื่องที่ฟังแล้วหลายคนอาจจะมีรอยยิ้มปนไปด้วยความสงสาร
สมัยก่อนเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาของไทย โค้ชอ็อตก็พยายามทำตามตำรา และ ความรู้ที่พลิกแพลงปรับใช้ แต่เมื่อนักกีฬาเจ็บขึ้นมาปัญหาก็เกิด เพราะไม่มีศูนย์ที่จะทำไว้ใช้รักษา และ ทำกายภาพบำบัด
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่โชคดีที่มีหน่วยงานท้องถิ่นช่วยเหลืออีกแรง และ ให้นักกีฬาทำบัตร "ผู้ป่วยอนาถา" ได้ยินชื่อบัตรแล้วรู้สึกอย่างไร?
ขณะเดียวกันบุคลากรที่ได้ร่วมงานกับโค้ชอ๊อต ณ ตอนนั้น ก็มี "โค้ชด่วน" ดนัย ศรีวัชรเมธากุล ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็น 1 ในทีมงานสต๊าฟโค้ช และ จุดเด่นของโค้ชท่านนี้นอกจากที่จะวางแผนการซ้อม หรือ ช่วยโค้ชอ๊อตแก้เกมแล้วนั้นก็คือ "มันสมองการสเก๊าท์เกมของคู่ต่อสู้"
การสเก๊าท์เกมของวอลเลย์บอล ไม่ได้แปลว่าเอากล้องไปถ่ายแล้วมาเปิดให้นักกีฬาดูเกมเท่านั้น มันมีรายละเอียดอีกเยอะมากมายที่คาดไม่ถึง!!!!
ในยุคนี้การทำงานง่ายขึ้นถ้าเทียบกลับเมื่อก่อน สมัยนั้นเคยได้ยินมาว่าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งราคาเฉียดแสน ครั้นจะเอามาทำงานด้านนี้โดยเฉพาะก็คงลำบากสำหรับสมาคมฯที่เคยมีเงินติดบัญชีแค่ 700 บาท
แต่...ด้วยการช่วยเหลือจากใครสักคนทำให้ทีมตบชุดนี้มีคอมพิวเตอร์มือสองมาไว้ใช้งาน เมื่อมีอุปกรณ์ก็ทำให้งานเริ่มมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่จะให้เทียบเท่ากับต่างชาติที่มีโปรแกรมการทำข้อมูลที่ล้ำสมัยก็คงลำบาก
ทีมไทยโชคดีที่ "โค้ชด่วน" เป็นคนฉลาด ด้วยการที่เคยอยู่กับโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด(ใช้พิมพ์รายงาน) และ ไมโครซอฟต์เอ็กเซล(ใช้พิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับตาราง) ตอนที่ทำงานเป็นนายธนาคาร ทำให้ โค้ชด่วน ปรับโปรแกรมพวกนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยประยุกต์สูตรในเอ็กเซลมาผนวกกับข้อมูลดิบที่ต้องคีย์เข้าไป จนทำให้ทีมไทยมีข้อมูลการสเก๊าท์คู่ต่อสู้มาอธิบายให้กับนักกีฬาได้ฟังกัน
ยุคนั้นการสเก๊าท์ข้อมูล 1 คู่ใช้เวลานานมาก แต่มันคุ้มค่าเพราะสิ่งพวกนี้จะทำให้รู้ว่า"ส่วนใหญ่"คู่ต่อสู้จะตีไปทางไหน ถนัดเซตแบบไหน หน้าบอลลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะจ่ายไปจุดไหน แม้ว่ามันจะไม่เป็นเปอร์เซ็นที่เต็มร้อย แต่ก็เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงพอสมควร และ การที่นักกีฬาจะลงสนามโดยที่ไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้เล่นยังไง กับการที่ลงสนามไปพร้อมกับข้อมูล ความรู้สึกในการสู้มันจะต่างกันทันที
นี่เป็นเรื่องที่ได้ฟังแล้วประทับใจอีก 1 เรื่องของเส้นทางวอลเลย์บอลไทย
วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ทุกคนยังคงเหมือนเดิม "โค้ชด่วน" ไม่ได้ขยันน้อยลง แต่ก็ยังคงศึกษาอะไรใหม่ๆอยู่ตลอด การทำงานง่ายขึ้นเมื่อมีงบพอจะซื้อโปรแกรมที่ใช้สเก๊าท์โดยเฉพาะมาทำงาน และ บ่อยครั้งที่โค้ชจะเป็นคนที่ตื่นเช้าสุด เข้านอนดึกสุด เพราะต้องนั่งดูคู่แข่งที่ลงสนามตั้งแต่เช้า และ เอาข้อมูลทั้งหมดมาทำการบ้านให้กับทีม เพื่อส่งต่อให้โค้ชอ๊อตเพื่อวิเคราะห์เกมก่อนที่จะย่อให้เหลือแต่เนื้อ และ นำไปเปิดอธิบายให้กับนักกีฬาได้ดู
การได้เห็นโปรแกรมdata video volleyballทำงานต้องบอกเลยว่า "ช่วยทีมได้เยอะ" ท่าทางลักษณะการเล่นบอลของผู้เล่นตัวเซตแสดงออกมาชัดเจนจากสรีระ การวิ่งการยืนรอบอลผู้เล่นตัวตบ สามารถทำให้นักกีฬามีข้อมูลจะลงไปเล่นทันที แต่มันไม่ได้แปลว่าจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ทั้งหมด เพราะคู่แข่งก็ทำการบ้านแบบนี้เช่นกัน.....นี่ละคือคำว่าสู้กันด้วยเทคนิค
ขณะที่โปรแกรมนี้ในประเทศไทยยังไม่มีการนำมาใช้อย่างกว้างขว้าง และ คนที่มีความรู้ในด้านนี้ก็มีน้อยมากๆ หากกางชื่อออกมาแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน ทั้งนี้ยังมี "พี่โก้"พิสิษฐ์ นัทธี ที่เป็นอีก 1 บุคลากรที่ช่วยเหลือทีมชาติไทยในการแข่งขันรายการต่างๆอยู่เป็นประจำ เรามักจะเห็นชายรูปร่างใหญ่สวมแว่นใสนั่งอยู่ท้ายคอร์ดเพื่อคอยแจ้งลักษณะการเล่นหน้าบอลต่างๆของคู่แข่งให้กับโค้ชอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหูฟังที่โค้ชอ๊อตใส่นั้นละคือไว้ใช้สื่อสารกับข้อมูลที่ส่งมา
วันนี้มานั่งคิดย้อนกลับไปถ้า "โค้ชด่วน" ตอนนั้นถอดใจไม่สู้ขึ้นมา เส้นทางของทีมจะเป็นยังไง แต่ถึงอย่างไรถือว่าเป็นเรื่องดีๆของวงการที่มีบุคลากรที่ทุ่มเทกาย ใจ และ เวลาส่วนตัวให้กับประเทศชาติแบบนี้อยู่อีกคน ....ขอบคุณโค้ชด่วนครับ
จาก... http://www.smmsport.com/reader.php?article=5811