ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอเล่าเลยแล้วกันนะคะ เราเป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย เห็นว่าระยะเวลาระหว่างที่ปิดภาคเรียนกับรับปริญญานั้นค่อนข้างห่างกันและมีความฝันว่าอยากไปอเมริกาซักครั้ง จึงเข้าร่วมโครงการ CampstaffUSA เป็นโครงการที่พาเด็กไปเป็นสตาฟในค่ายฤดูร้อนต่างๆในอเมริกา แน่นอนค่ะว่าพอไปถึงแค้มป์จะพาเราไปเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่งไอ้ที่มีปัญหาเนี่ย ไม่ใช่บัตรเดบิตใบใหม่จากอเมริกาแต่เป็นบัตรที่เราเอาไปจากไทยค่ะ ซึ่งเราเอาเงินก้อนนึงใส่ลงไปในบัตรเดบิต จากธนาคารกรุงไทย แล้วนำติดตัวไปด้วย เผื่อมีปัญหาและอื่นๆ
ตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกาไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ จนเสร็จงาน เราก็ไปเที่ยวต่อที่ออร์แลนโดและนิงยอร์ค ขณะที่อยู่อเมริกาไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกว่า บัตรเรากำลังถูกใครบางคนแฮก จากนั้นเราก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อขาแวะกลับกับพี่สาวและเพื่อนพี่ค่ะ ก็ยังคงไม่มีปัญหาต่อไป ตลอดระยะเวลาที่ไปทำงาน ไปเที่ยว ที่ต่างๆ เราใช้บัตรสองใบค่ะ พอกลับถึงไทย ในวันที่ 12 กันยายน 2558 ก็ไม่มีปัญหาอะไร เวลาก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์
พอเช้าวันนี้แหละค่ะ ปัญหามาทันที เวลาสิบโมงกว่าๆ ทางธนาคารกรุงไทยสาขาใหญ่ ได้โทรมาแจ้งกับเราว่ามีการทำธุรกรรมการเงิน คือ รูดบัตรซื้อของที่ต่างประเทศเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงินไทยกว่า 19,000 บาท ทางธนาคารจึงโทรมาสอบถามเนื่องจากได้มีประวัติการใช้บัตรของเรา เมื่อวันก่อน เราเพิ่งรูดบัตรเดบิตเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท แถว อยุธยา ไปและเราก็ขับรถกลับบ้านที่ลำปาง ทางธนาคารคงสังเกต (รึเปล่าไม่แน่ใจ) ว่าทำไมวันก่อนเราอยู่ไทย แต่วันนี้าร์ปไปรูดบัตรที่อเมริกา เราก็งงสิคะ เราก็บอกว่าเราเรียนสายด้วยตัวเองและอยู่ไทยแล้ว เป็นเหตุให้ทางธนาคารขอให้เราอนุญาตอาญัติบัตรไว้ก่อนเพราะยังมีจำนวนเงินอยู่ในบัตรอยู่ จากนั้นทางธนาคารได้แนะนำให้เราไปแจ้งความ เพื่อลงบันทึกประจำวันกับตำรวจ แล้วนำเอาใบนั้นไปยื่นกับธนาคารกรุงไทยสาขาที่ใกล้เพื่อดำเนินเรื่อง
เราก็ดำเนินตามขั้นตอนทั้งหมดในวันนี้เลยค่ะ เราไปแจ้งความ แล้วนำใบแจ้งความไปยื่นทำเรื่องกับธนาคาร เพื่อให้ธนาคารส่งเรื่องไปยังสาขาใหญ่ต่อไป จริงแล้วๆ เราก็คิดนะคะว่าแบบ จะได้เงินคืนไหมนะ เงิน 19,000 บาท ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แล้วการที่เราโดนแฮคข้อมูลบัตร ที่จริงจะว่าเป็นความผิดเรา เราว่าก็ส่วนหนึ่งค่ะที่ไม่ระมัดระวังตัว แต่ของแบบนี้ก็ไม่รู้ได้จริงๆนะว่าจะไปโดนยังไงอีท่าไหน เราเลยนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังให้ทุกๆคนระวังภัยใกล้ตัวให้มากขึ้นค่ะ
แต่เรามีคำถามนิดน่อย เผื่อพี่ๆเพื่อนๆท่านไหนเคยประสบพบเจอกับปัญหาแบบนี้ ขอคำแนะนำหน่อยนะคะ
- ระยะดำเนินการเรื่องนี้คงยาวแน่ๆเราคิดว่า แต่เราอยากรู้ว่าคนที่เคยพบเจอปัญหานี้ใช้ระยะเวลาตามเรื่องนานแค่ไหนคะ เราถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกอย่างต่ำๆก็น่าจะเป็นเดือนหรืออาจถึงครึ่งปี
- มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะสามารถเทคเงินเรากลับมาได้ (มันต่างกับบัตรเครดิต ตรงที่เครดิตถ้ามีคนเอาบัตรไปใช้ มันไม่ใช่ตัดเงินทันที ดังนั้นยังพอสามารถแก้ไข้ได้ แต่บัตรเดบิตเนี่ยมันตัดจากบัญชีเราทันที)
ตอนนี้ก็ทำได้เพียงรอค่ะ แต่จะมาอัพเดตเรื่อยๆนะคะ เผื่อเรื่องหายไปกับสายลมและแสงแดดจะได้มีพยาน ตอนนี้ต้องขอบคุณธนาคารกรุงไทยสาขาใหญ่และลำปางนะคะที่โทรมาแจ้งแบบรวดเร็วและรับเรื่องไว้ แต่ก็ต้องดูกันยาวๆว่าทางธนาคารจะสามารถทำอะไรให้ได้บ้าง รอคอยความหวังอยู่นะคะกรุงไทยยยยย
ในวันที่ฉันโดยแฮกบัตรเดบิตที่อเมริกา แต่ฉันอยู่ไทยแลนด์
ตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกาไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ จนเสร็จงาน เราก็ไปเที่ยวต่อที่ออร์แลนโดและนิงยอร์ค ขณะที่อยู่อเมริกาไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอกว่า บัตรเรากำลังถูกใครบางคนแฮก จากนั้นเราก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อขาแวะกลับกับพี่สาวและเพื่อนพี่ค่ะ ก็ยังคงไม่มีปัญหาต่อไป ตลอดระยะเวลาที่ไปทำงาน ไปเที่ยว ที่ต่างๆ เราใช้บัตรสองใบค่ะ พอกลับถึงไทย ในวันที่ 12 กันยายน 2558 ก็ไม่มีปัญหาอะไร เวลาก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์
พอเช้าวันนี้แหละค่ะ ปัญหามาทันที เวลาสิบโมงกว่าๆ ทางธนาคารกรุงไทยสาขาใหญ่ ได้โทรมาแจ้งกับเราว่ามีการทำธุรกรรมการเงิน คือ รูดบัตรซื้อของที่ต่างประเทศเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงินไทยกว่า 19,000 บาท ทางธนาคารจึงโทรมาสอบถามเนื่องจากได้มีประวัติการใช้บัตรของเรา เมื่อวันก่อน เราเพิ่งรูดบัตรเดบิตเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท แถว อยุธยา ไปและเราก็ขับรถกลับบ้านที่ลำปาง ทางธนาคารคงสังเกต (รึเปล่าไม่แน่ใจ) ว่าทำไมวันก่อนเราอยู่ไทย แต่วันนี้าร์ปไปรูดบัตรที่อเมริกา เราก็งงสิคะ เราก็บอกว่าเราเรียนสายด้วยตัวเองและอยู่ไทยแล้ว เป็นเหตุให้ทางธนาคารขอให้เราอนุญาตอาญัติบัตรไว้ก่อนเพราะยังมีจำนวนเงินอยู่ในบัตรอยู่ จากนั้นทางธนาคารได้แนะนำให้เราไปแจ้งความ เพื่อลงบันทึกประจำวันกับตำรวจ แล้วนำเอาใบนั้นไปยื่นกับธนาคารกรุงไทยสาขาที่ใกล้เพื่อดำเนินเรื่อง
เราก็ดำเนินตามขั้นตอนทั้งหมดในวันนี้เลยค่ะ เราไปแจ้งความ แล้วนำใบแจ้งความไปยื่นทำเรื่องกับธนาคาร เพื่อให้ธนาคารส่งเรื่องไปยังสาขาใหญ่ต่อไป จริงแล้วๆ เราก็คิดนะคะว่าแบบ จะได้เงินคืนไหมนะ เงิน 19,000 บาท ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แล้วการที่เราโดนแฮคข้อมูลบัตร ที่จริงจะว่าเป็นความผิดเรา เราว่าก็ส่วนหนึ่งค่ะที่ไม่ระมัดระวังตัว แต่ของแบบนี้ก็ไม่รู้ได้จริงๆนะว่าจะไปโดนยังไงอีท่าไหน เราเลยนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังให้ทุกๆคนระวังภัยใกล้ตัวให้มากขึ้นค่ะ
แต่เรามีคำถามนิดน่อย เผื่อพี่ๆเพื่อนๆท่านไหนเคยประสบพบเจอกับปัญหาแบบนี้ ขอคำแนะนำหน่อยนะคะ
- ระยะดำเนินการเรื่องนี้คงยาวแน่ๆเราคิดว่า แต่เราอยากรู้ว่าคนที่เคยพบเจอปัญหานี้ใช้ระยะเวลาตามเรื่องนานแค่ไหนคะ เราถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกอย่างต่ำๆก็น่าจะเป็นเดือนหรืออาจถึงครึ่งปี
- มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะสามารถเทคเงินเรากลับมาได้ (มันต่างกับบัตรเครดิต ตรงที่เครดิตถ้ามีคนเอาบัตรไปใช้ มันไม่ใช่ตัดเงินทันที ดังนั้นยังพอสามารถแก้ไข้ได้ แต่บัตรเดบิตเนี่ยมันตัดจากบัญชีเราทันที)
ตอนนี้ก็ทำได้เพียงรอค่ะ แต่จะมาอัพเดตเรื่อยๆนะคะ เผื่อเรื่องหายไปกับสายลมและแสงแดดจะได้มีพยาน ตอนนี้ต้องขอบคุณธนาคารกรุงไทยสาขาใหญ่และลำปางนะคะที่โทรมาแจ้งแบบรวดเร็วและรับเรื่องไว้ แต่ก็ต้องดูกันยาวๆว่าทางธนาคารจะสามารถทำอะไรให้ได้บ้าง รอคอยความหวังอยู่นะคะกรุงไทยยยยย