คำแนะนำ: 1. กระทู้นี้มีเนื้อหาสปอยส์อย่างรุนแรง เลยต้องใส่ข้อความสปอยส์ลงในช่องสปอยส์ตามความเหมาะสมนะคะ แม้ว่างานเขาจบไปแล้ว
2. การรีวิวหนังที่จะได้เห็นต่อไปนี้ บางเรื่องอาจไม่เข้าใจเนื้อหาของมัน ซึ่งใครที่ดูมาแล้วแล้วเข้าใจมาช่วยชี้แจงแถลงไขจะเป็นการดีมากๆค่ะ เพราะเป็นการช่วยระดมสมองไปในตัว
ตอนแรกเดิมทีกะจะตั้งกระทู้ทันทีหลังไปดูเสร็จ แต่เนื่องจากว่าถ้าตั้งไปก่อน เดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยส์เพราะรอบภูมิภาคยังฉายไม่เสร็จ แต่ตอนนี้งานเขาเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่น่าจะมีปัญหานะคะ
"เรายังเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาน้อยเกินไป"
นี่คือสิ่งที่ได้จากการไปดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯในปีนี้ซึ่งจัดเป็นปีแรก ที่เกริ่นไปแบบนี้เพราะเรารู้ตัวเองว่าเรายังเขลาในเรื่องวัฒนธรรมของประเทศในภูมิภาคอาเซียนอยู่ ทั้งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากไทยและวัฒนธรรมบางอย่างก็แอบคล้ายคลึงกันอย่างเหลือเชื่อก็ตาม และทั้งที่คิดว่าตัวเองรู้มาเยอะแล้ว หลังที่ได้ดูหนังต่างแดนกว่า 9 เรื่อง (ไม่นับหนังของไทย) บางเรื่องสามารถเข้าถึงแก่นของมัน แต่บางเรื่องที่เป็นของใหม่สำหรับตัวเองเจอเข้าไปแทบจะเกิดภาวะ Cultural Shock แทบไปไม่เป็นเลยทันทีที่ออกจากโรงหนัง
"งานนี้น่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้"
อย่างที่บอกไปว่าตัวเองยังเขลาในเรื่องวัฒนธรรมอาเซียน แต่ก็ไม่หมายความว่าจะไม่มีความกระหายที่อยากจะเรียนรู้ เพียงแต่ช่องทางการเข้าถึงมันแทบจะไม่มีเลยในเมื่อก่อน โดยเฉพาะตามภูมิภาค ที่เทศกาลหนังนานาชาติยังมีแต่เฉพาะกรุงเทพฯ สิ่งที่นึกในหัวในตอนที่รู้ข่าวว่าจะมีงานนี้ คือ อยากให้จัดงานนี้ตั้งแต่ซักสามสี่ปีก่อน อย่างน้อยก็ช่วยปูพื้นฐานการรับรู้ของคนไทยได้บ้างและตัวของฉันเองด้วย แต่เมื่อมันมาแล้ว ก็ต้องใช้โอกาสของตัวเองให้มากที่สุด แม้ว่าดูหนังจากงานนี้อาจจะได้รู้แค่ส่วนหนึ่ง เพราะยังมีอะไรอีกมากมายให้เราไปสัมผัสนอกเหนือจากตัวหนัง
ก่อนอื่นต้องบอกรายละเอียดนิดๆหน่อยๆว่ามีอะไรบ้างในงานนี้ เทศกาลหนังครั้งนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ปีนี้นำหนัง 10 เรื่องมาฉายฟรีให้คนไทยที่สนใจเข้าชม ทั้งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ตามภูมิภาคที่โรงหนังเอสเอฟ มีดังนี้
What's So Special About Rina? จากบรูไน
The Last Reel จากกัมพูชา
Siti จากอินโดนีเซีย
ฮักอีหลี ภาค 2 จากลาว
Men Who Save the World จากมาเลเซีย
Golden Kingdom จากพม่า
Bwaya จากฟิลิปปินส์
1021 จากสิงคโปร์
ละติจูดที่ 6 จากไทย
และ Big Father, Small Father and Other Stories จากเวียดนาม
ตอนแรกคิดว่าจะดูเฉพาะเรื่อง The Last Reel และฮักอีหลี ภาค 2 แต่คิดอีกทีดูให้ครบ 10 เรื่องไปเลยดีกว่า เพราะจะได้เรียนรู้วัฒนธรรม โปรดักชั่น แนวคิด และอื่นๆที่อยู่ในหนัง ทั้งที่รู้ตัวตั้งแต่แรกว่าหนังที่จะได้ดูหลายเรื่องมีแต่หนังอาร์ทที่อุดมไปด้วยความดิบไร้การปรุงแต่ง แต่ได้ความเป็นธรรมชาติของเนื้อหาที่ผู้สร้างต้องการนำเสนอ ซึ่งไม่ใช่สายถนัดของตัวเองเอาเสียเลย เพราะถนัดแต่หนังสายตลาดมากกว่า แต่ก็สั่นสู้แล้วกัน ข้ามขีดจำกัดในการรับชมหนังของตัวเองดู
เรื่องการจัดเรตในงานนี้ อันนี้ชื่นชมที่ได้บอกเรตของหนังในช่วงโปรโมตทั้งในเวปของเอสเอฟและแผ่นพับ แต่มันจะดีมากๆถ้ากระทรวงวัฒนธรรมจะสั่งให้ผู้สร้างหนังต้องโชว์เรตทั้งโปสเตอร์หนัง โฆษณาโปรโมตหนังตามสื่อต่างๆ สำหรับหนังที่ฉายทั่วไป เพราะมาบอกเรตตอนไปโรงหนังมันช่วยอะไรไม่มากเท่าไหร่นะคะ เพราะคนที่เขาอยากมาดูมักทราบจากการโปรโมตตามสื่อ ถ้าสามารถสกรีนอายุผู้ชมตั้งแต่เนิ่นๆมันจะดีมากๆ เหมือนที่ต่างประเทศที่เขาแล้วได้ผล แต่กระนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ก็ตะหงิดๆในความเหมาะสมในการจัดเรตคงมีเรื่องเดียว...ละติจูดที่ 6 ได้เรตจีทั้งมีฉากระเบิดตู้มต้าม คนตายเป็นใบไม้ร่วง หมายความว่าอย่างไรคะ อ๋อ ทางภาครัฐอยากโปรโมต พอเข้าใจค่ะว่าอยากให้คนมาดูเยอะๆกับสื่อที่ภาครัฐอยากให้ชม
ส่วนซับนี่ขอติหน่อยเถอะ เพราะหนังบางเรื่องสะกดคำผิดแถมไม่โผล่ซับในบางท่อนด้วย ส่วนที่เป็นเพลงควรแปลด้วยนะคะ เพราะเพลงมันเป็นตัวเชื่อมในการดำเนินหนังนะคะคุณ ละส่วนนี้ไม่ได้ ฝากเอาไปปรับปรุงด้วยนะคะ
จขกท. ขอรีวิวหนังทีละเรื่องตามช่องเม้นช่องละเรื่องนะคะ แต่ก่อนที่จะรีวิว อยากฝากความเห็นให้ผู้จัดงานว่าปีหน้าอยากให้มีงานนี้อีก นำเสนอหนังที่หลากหลายมากขึ้นกว่านี้ เพราะเท่าที่ดูมามีแต่หนังชีวิตรันทดซะมากกว่า และควรโปรโมตให้หนักกว่านี้ และอยากฝากถึงผู้ประกอบการกิจการภาพยนตร์ในไทยว่าอยากให้นำเขาหนังในโซนอาเซียนให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้เอาหนังตลาดฮิตๆที่ประสบความสำเร็จมาทดลองฉายดูเพราะคิดว่ามันจะเหมือนยาน้ำเด็กที่รับประทานง่ายขึ้นมาหน่อย แม้ว่าอาจจะทำให้ขาดทุนไปบ้าง ซึ่งเท่าที่ดูมีบางค่ายเริ่มทำแล้ว และอยากฝากถึงคนไทยว่าอย่าอายที่จะดูหนังในภูมิภาคเดียวกัน เพราะมีหนังที่น่าสนใจหลายเรื่อง หนังบางประเทศมีโปรดักชั่นล้ำสมัยมากขึ้นและพัฒนาคุณภาพได้ดีเสียด้วย แถมมีดีกรีไปฉายเทศกาลหนังนานาชาติดังๆ ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะหนังบ้านเรา นอกจากนี้ หนังเข้าชิงรอบสุดท้ายในออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซึ่งมีหนังมาจากโซนอาเซียนนี่แหล่ะ อย่างหนังจากเวียดนามและกัมพูชา ที่หนังไทยไม่เคยมีโอกาสได้เข้าถึงรอบสุดท้ายซักที ไม่แน่...อาจจะมีหนังซักเรื่องจากงานนี้เข้ารอบสุดท้ายในออสการ์ปีหน้าก็เป็นไปได้ และที่สำคัญมากกว่าอื่นใด ภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัยที่น่าจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างกันได้ ซึ่งตรงกับเสาทางด้านสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเป็นเสาที่เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงกันและกันได้มากที่สุด
ปล. ไม่ได้เป็นคอหนังค่ะ เพราะนานๆถึงจะเข้าโรงหนังซักที เลยรีวิวและวิจารณ์ระดับต่ำกว่าเบบี๋ไไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะคะ
รีวิวหนัง + ความคิดเห็นที่มีต่องาน Bangkok ASEAN Film Festival 2015
คำแนะนำ: 1. กระทู้นี้มีเนื้อหาสปอยส์อย่างรุนแรง เลยต้องใส่ข้อความสปอยส์ลงในช่องสปอยส์ตามความเหมาะสมนะคะ แม้ว่างานเขาจบไปแล้ว
2. การรีวิวหนังที่จะได้เห็นต่อไปนี้ บางเรื่องอาจไม่เข้าใจเนื้อหาของมัน ซึ่งใครที่ดูมาแล้วแล้วเข้าใจมาช่วยชี้แจงแถลงไขจะเป็นการดีมากๆค่ะ เพราะเป็นการช่วยระดมสมองไปในตัว
ตอนแรกเดิมทีกะจะตั้งกระทู้ทันทีหลังไปดูเสร็จ แต่เนื่องจากว่าถ้าตั้งไปก่อน เดี๋ยวมันจะเป็นการสปอยส์เพราะรอบภูมิภาคยังฉายไม่เสร็จ แต่ตอนนี้งานเขาเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่น่าจะมีปัญหานะคะ
นี่คือสิ่งที่ได้จากการไปดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพฯในปีนี้ซึ่งจัดเป็นปีแรก ที่เกริ่นไปแบบนี้เพราะเรารู้ตัวเองว่าเรายังเขลาในเรื่องวัฒนธรรมของประเทศในภูมิภาคอาเซียนอยู่ ทั้งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากไทยและวัฒนธรรมบางอย่างก็แอบคล้ายคลึงกันอย่างเหลือเชื่อก็ตาม และทั้งที่คิดว่าตัวเองรู้มาเยอะแล้ว หลังที่ได้ดูหนังต่างแดนกว่า 9 เรื่อง (ไม่นับหนังของไทย) บางเรื่องสามารถเข้าถึงแก่นของมัน แต่บางเรื่องที่เป็นของใหม่สำหรับตัวเองเจอเข้าไปแทบจะเกิดภาวะ Cultural Shock แทบไปไม่เป็นเลยทันทีที่ออกจากโรงหนัง
อย่างที่บอกไปว่าตัวเองยังเขลาในเรื่องวัฒนธรรมอาเซียน แต่ก็ไม่หมายความว่าจะไม่มีความกระหายที่อยากจะเรียนรู้ เพียงแต่ช่องทางการเข้าถึงมันแทบจะไม่มีเลยในเมื่อก่อน โดยเฉพาะตามภูมิภาค ที่เทศกาลหนังนานาชาติยังมีแต่เฉพาะกรุงเทพฯ สิ่งที่นึกในหัวในตอนที่รู้ข่าวว่าจะมีงานนี้ คือ อยากให้จัดงานนี้ตั้งแต่ซักสามสี่ปีก่อน อย่างน้อยก็ช่วยปูพื้นฐานการรับรู้ของคนไทยได้บ้างและตัวของฉันเองด้วย แต่เมื่อมันมาแล้ว ก็ต้องใช้โอกาสของตัวเองให้มากที่สุด แม้ว่าดูหนังจากงานนี้อาจจะได้รู้แค่ส่วนหนึ่ง เพราะยังมีอะไรอีกมากมายให้เราไปสัมผัสนอกเหนือจากตัวหนัง
ก่อนอื่นต้องบอกรายละเอียดนิดๆหน่อยๆว่ามีอะไรบ้างในงานนี้ เทศกาลหนังครั้งนี้จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมและสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ปีนี้นำหนัง 10 เรื่องมาฉายฟรีให้คนไทยที่สนใจเข้าชม ทั้งในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ตามภูมิภาคที่โรงหนังเอสเอฟ มีดังนี้
What's So Special About Rina? จากบรูไน
The Last Reel จากกัมพูชา
Siti จากอินโดนีเซีย
ฮักอีหลี ภาค 2 จากลาว
Men Who Save the World จากมาเลเซีย
Golden Kingdom จากพม่า
Bwaya จากฟิลิปปินส์
1021 จากสิงคโปร์
ละติจูดที่ 6 จากไทย
และ Big Father, Small Father and Other Stories จากเวียดนาม
ตอนแรกคิดว่าจะดูเฉพาะเรื่อง The Last Reel และฮักอีหลี ภาค 2 แต่คิดอีกทีดูให้ครบ 10 เรื่องไปเลยดีกว่า เพราะจะได้เรียนรู้วัฒนธรรม โปรดักชั่น แนวคิด และอื่นๆที่อยู่ในหนัง ทั้งที่รู้ตัวตั้งแต่แรกว่าหนังที่จะได้ดูหลายเรื่องมีแต่หนังอาร์ทที่อุดมไปด้วยความดิบไร้การปรุงแต่ง แต่ได้ความเป็นธรรมชาติของเนื้อหาที่ผู้สร้างต้องการนำเสนอ ซึ่งไม่ใช่สายถนัดของตัวเองเอาเสียเลย เพราะถนัดแต่หนังสายตลาดมากกว่า แต่ก็สั่นสู้แล้วกัน ข้ามขีดจำกัดในการรับชมหนังของตัวเองดู
เรื่องการจัดเรตในงานนี้ อันนี้ชื่นชมที่ได้บอกเรตของหนังในช่วงโปรโมตทั้งในเวปของเอสเอฟและแผ่นพับ แต่มันจะดีมากๆถ้ากระทรวงวัฒนธรรมจะสั่งให้ผู้สร้างหนังต้องโชว์เรตทั้งโปสเตอร์หนัง โฆษณาโปรโมตหนังตามสื่อต่างๆ สำหรับหนังที่ฉายทั่วไป เพราะมาบอกเรตตอนไปโรงหนังมันช่วยอะไรไม่มากเท่าไหร่นะคะ เพราะคนที่เขาอยากมาดูมักทราบจากการโปรโมตตามสื่อ ถ้าสามารถสกรีนอายุผู้ชมตั้งแต่เนิ่นๆมันจะดีมากๆ เหมือนที่ต่างประเทศที่เขาแล้วได้ผล แต่กระนั้น[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนซับนี่ขอติหน่อยเถอะ เพราะหนังบางเรื่องสะกดคำผิดแถมไม่โผล่ซับในบางท่อนด้วย ส่วนที่เป็นเพลงควรแปลด้วยนะคะ เพราะเพลงมันเป็นตัวเชื่อมในการดำเนินหนังนะคะคุณ ละส่วนนี้ไม่ได้ ฝากเอาไปปรับปรุงด้วยนะคะ
จขกท. ขอรีวิวหนังทีละเรื่องตามช่องเม้นช่องละเรื่องนะคะ แต่ก่อนที่จะรีวิว อยากฝากความเห็นให้ผู้จัดงานว่าปีหน้าอยากให้มีงานนี้อีก นำเสนอหนังที่หลากหลายมากขึ้นกว่านี้ เพราะเท่าที่ดูมามีแต่หนังชีวิตรันทดซะมากกว่า และควรโปรโมตให้หนักกว่านี้ และอยากฝากถึงผู้ประกอบการกิจการภาพยนตร์ในไทยว่าอยากให้นำเขาหนังในโซนอาเซียนให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้เอาหนังตลาดฮิตๆที่ประสบความสำเร็จมาทดลองฉายดูเพราะคิดว่ามันจะเหมือนยาน้ำเด็กที่รับประทานง่ายขึ้นมาหน่อย แม้ว่าอาจจะทำให้ขาดทุนไปบ้าง ซึ่งเท่าที่ดูมีบางค่ายเริ่มทำแล้ว และอยากฝากถึงคนไทยว่าอย่าอายที่จะดูหนังในภูมิภาคเดียวกัน เพราะมีหนังที่น่าสนใจหลายเรื่อง หนังบางประเทศมีโปรดักชั่นล้ำสมัยมากขึ้นและพัฒนาคุณภาพได้ดีเสียด้วย แถมมีดีกรีไปฉายเทศกาลหนังนานาชาติดังๆ ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะหนังบ้านเรา นอกจากนี้ หนังเข้าชิงรอบสุดท้ายในออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซึ่งมีหนังมาจากโซนอาเซียนนี่แหล่ะ อย่างหนังจากเวียดนามและกัมพูชา ที่หนังไทยไม่เคยมีโอกาสได้เข้าถึงรอบสุดท้ายซักที ไม่แน่...อาจจะมีหนังซักเรื่องจากงานนี้เข้ารอบสุดท้ายในออสการ์ปีหน้าก็เป็นไปได้ และที่สำคัญมากกว่าอื่นใด ภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัยที่น่าจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างกันได้ ซึ่งตรงกับเสาทางด้านสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเป็นเสาที่เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงกันและกันได้มากที่สุด
ปล. ไม่ได้เป็นคอหนังค่ะ เพราะนานๆถึงจะเข้าโรงหนังซักที เลยรีวิวและวิจารณ์ระดับต่ำกว่าเบบี๋ไไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะคะ