Torm Adventure: แกะรอยกอริลล่าภูเขา จากรวันดาสู่ยูกันดา เส้นทางที่ไม่ธรรมดา สวยสุดในแอฟริกาที่ทะเลสาบ Mutanda ตอนที่ 5

เช้านี้เป็นเช้าวันที่สี่และเช้าสุดท้ายในรวันดา ก่อนจะเดินทางข้ามพรมแดนไปยังยูกันดา เราแวะที่สหกรณ์ขายของที่ระลึกพื้นเมือง ที่จัดทำเป็นกลุ่มกระท่อมขนาดย่อม มีร้านค้าขายสินค้าต่างๆ มีไม้แกะสลักเป็นตัวกอริลล่า ตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋วเป็นแม่เหล็กติดตู้เย็นได้จนขนาดสูงใหญ่ หน้ากากแกะเป็นหน้ากอริลล่า เสื้อยืด “ฉันได้บุกป่าไปดูลิงกอริลล่าที่รวันดา ครอบครัว...แล้ว” โดยเลือกชื่อครอบครัวที่เราไปดูได้ ไม้เท้าสลักหัวรูปกอริลล่าอันเดียวกับที่เค้าให้ใช้ตอนเดินป่า เครื่องจักรสานและไม้แกะสลักเป็นสัตว์อื่น ราคาย่อมเยา

ที่ผ่านมาเราจะเห็นคนวิ่งมาขายของที่ระลึกบ้าง แต่ Faroug คนรถไม่ให้ซื้อเนื่องจากเป็นการขายที่ผิดกฎหมาย ตามนโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวของที่นี่ รัฐให้ท้องถิ่นตั้งสหกรณ์ชุมชนเป็นช่องทางจำหน่าย ป้องกันการแข่งขันตัดราคากัน และทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นในคุณภาพและราคาที่ตรวจสอบโดยชุมชนแล้ว รายได้นำไปจัดสรรอย่างยุติธรรม เราจึงรอซื้อของที่สหกรณ์ เป็นโอกาสได้ของที่ระลึกทำโดยคนพื้นเมืองและมั่นใจว่ารายได้จะกลับไปช่วยชุมชน เรื่องการขายของนี้ต่างจากแอฟริกาอื่น เช่น เคนย่า แทนซาเนีย หรือแอฟริกาใต้ ที่ไม่มีระบบ ชาวบ้านจะรุมนักท่องเที่ยวแย่งกันขายสินค้าที่คล้ายกัน แข่งตัดราคากัน บางเจ้าก็ราคาถูก บางเจ้าแพงลิ่ว คนขายถูกก็เสียเปรียบ คนซื้อแพงก็เจ็บใจถูกโกง ที่นี่ใช้ระบบสหกรณ์ตัดปัญหานี้ไป

ยามเช้า ชาวบ้านแห่งอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟดำเนินชีวิตแบบของเขา ทุกคนทำงาน แม้แต่เด็กก็ช่วยพ่อแม่เลี้ยงน้อง ถือของ หาฟืน แต่ดูทุกคนมีเวลาพักผ่อนนั่งเล่นคุยกัน เด็กเล่นสนุกจากของที่หาได้ตามธรรมชาติ เอายางรถมาปั่น เอาถุงมาผูกเป็นลูกกลมเตะเป็นฟุตบอล ดูมีความสุขตามอัตภาพ หรือเรียกว่าอยู่ได้อย่างพอเพียง

เป็นภาพที่สะท้อนความจริงหนึ่งว่า เมื่อความเจริญยังเข้ามาไม่เต็มที่ เด็กที่นี่ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีของเล่นราคาแพงก็มีความสุขในความเรียบง่ายได้ เราคนเมืองมีชีวิตเร่งรีบแก่งแย่งแข่งขัน ทำงานหนักไม่ได้พักผ่อน ความสุขอยู่ที่หาเงินได้มาก แต่เวลาได้มาเที่ยวที่แบบนี้ ทำให้ได้หยุดคิด ว่าชีวิตจริงแล้วไม่ได้ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้น เราก็ชอบยุโรปเหมือนคนอื่น แต่เวลาเที่ยวที่ด้อยพัฒนา นอกจากจะได้เห็นโลกอย่างที่มันควรจะเป็นเมื่อ 50-100 ปีที่แล้ว ยังได้ความสงบแท้ที่ธรรมชาติมอบให้อย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่กลับจากทริปธรรมชาติ จะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตจริงๆ

ถึงเวลาโบกมือลาเด็กๆ เพื่อเดินทางต่อ ขึ้นเหนือเพื่อข้ามชายแดนจากรวันดาไปยูกันดา เส้นทางเพียง 40 กิโลเมตรไปยังชายแดนยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ จึงมีภูเขาไฟน้อยใหญ่สลับสล้างกับที่ราบที่เป็นไร่นาของชาวบ้าน ถนนยังลาดยางจึงใช้เวลาเพียงเกือบชั่วโมงก็ถึงชายแดน Faroug ให้เราลงจากรถพร้อมพาสปอร์ต และเดินข้ามจุดตรวจเช็คไปยังตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอยู่ฝั่งยูกันดา มีชาวบ้านรอคิวเพื่อข้ามแดนอยู่ 20-30 คน แต่เจ้าหน้าที่ใจดีเรียกนักท่องเที่ยวเข้าไปทำก่อน ตรวจวีซ่าที่ทำไว้เป็น East African Visa เข้าได้ทั้งรวันดา ยูกันดา และเคนย่า ประทับตราเข้าเมืองใช้เวลาไม่กี่นาที เป็นอันว่า เราก็ได้เหยียบเข้ามาในยูกันดาเป็นที่เรียบร้อย เวลาที่ยูกันดาเร็วกว่ารวันดา 1 ชั่วโมง ดังนั้นแม้จะใช้เวลาผ่านแดนไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่บัดนี้ต้องหมุนนาฬิกาล่วงหน้าไปอีก 1 ชั่วโมง

ดนดูเจริญกว่าฝั่งรวันดา เพราะมีเมืองใหญ่อยู่ถัดจากชายแดนไปเพียงไม่ถึง 10 กิโลเมตร คือเมือง Kisoro ค่อนข้างพลุกพล่าน ผ่าน Kisoro ไม่นาน เราก็แยกออกจากถนนลาดยาง เข้าถนนลูกรัง เพื่อตรงขึ้นไปที่ทะเลสาบ Mutanda จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในแอฟริกา ถนนลูกรังเลาะช่องเขาผ่านทุ่งนาที่ราบแม่น้ำไหลผ่านอุดมสมบูรณ์ ตรงเข้าไปที่ขอบทะเลสาบและเลียบเลาะไปตามโค้งเว้าของผืนน้ำ มีเกาะหลายเกาะแต่งแต้มผืนน้ำอย่างงดงาม ฉากหลังเป็นภูเขาไฟ Muhabura (สูง 4127 เมตร) และ Gahinga (สูง 3474 เมตร) ลูกเดียวกันกับที่เราเห็นจากฝั่งรวันดา ตั้งสูงตระหง่านเสียบเมฆเป็นเงาทะมึนอยู่ สร้างฉากที่สวยอย่างประหลาด

วิวทะเลสาบที่มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟยอดแหลมสูงใหญ่ได้สัดส่วน ทำให้ถนนเลียบทะเลสาบนี้เป็นหนึ่งในถนนที่งดงามและมีเสน่ห์ที่สุดที่เคยเดินทางมา (และเราเดินทางมามากจริงๆ) เพราะนอกจากความงามของแผ่นน้ำที่โค้งเว้าด้วยความเก่าแก่อย่างสวยงามแล้ว ทะเลสาบที่ยูกันดายังได้รับการตกแต่งเพิ่มด้วยเกาะต่างขนาดน้อยใหญ่เรียงรายอยู่กลางแผ่นน้ำสีฟ้า ตัดกับต้นไม้ริมน้ำที่ออกดอกสีแดงสะพรั่งและดงต้นกล้วยใบใหญ่เขียวชอุ่ม ดูสวยแบบธรรมชาติแท้ ไร้สิ่งแปลกปลอมมาแต่งเติม สมดังคำกล่าวว่าธรรมชาติคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านแต่งตัวด้วยผ้าสีสด มีลูกเกาะหลัง เทินตะกร้าหรือไม้ฟืนบนหัว เดินเลียบทะเลสาบ พวกเค้าไม่รู้ตัวเลยว่าโชคดีมากที่เกิดมาในที่ที่สวยสะอาดขนาดนี้ เป็นการนั่งรถชมวิว 1 ชั่วโมงครึ่งบนถนนดินลูกรังเพียงไม่ถึง 30 กิโล ที่ประทับใจไม่รู้ลืม

โรงแรมที่พักในคืนนี้ ตั้งอยู่บนเนินทางเหนือสุดของทะเลสาบ ชื่อ Chameleon Hill เจ้าของโรงแรมชาวเยอรมันก็ใช้ชื่อเนินนี้เป็นชื่อโรงแรม เนินนี้เห็นวิวทะเลสาบ Mutanda ทั้งหมด พร้อมภูเขาไฟ 6 ลูกเป็นฉากหลังในวันฟ้าใส ภาพที่เห็นตรงหน้าสวยราวกับภาพเขียน

ตัวโรงแรมสร้างด้วยหินเป็นทรงคล้ายป้อมหลายๆ ป้อมรวมกัน ทาสีสดใสสไตล์แอฟริกา โรงแรมเป็นเขตห่างไกลความเจริญ ไฟฟ้าไม่ถึง จึงต้องมีเครื่องปั่นไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดังนั้น ตอนกลางวันจะไม่มีไฟใช้ เนื่องจากไม่มีความจำเป็น เครื่องปั่นไฟจะเปิดเฉพาะตอนเย็นระหว่าง18.30 น. ถึงสี่ทุ่มและตอนเช้าตี 5.30 ถึง 9 โมงเช้าเท่านั้น

ห้องพักเป็นบ้านแยกออกจากกัน มีทั้งหมด 10 ห้อง แต่ละห้องตั้งเรียงตามไหล่เขา เห็นวิวทะเลสาบสวยเต็มที่ทุกห้อง ล้อบบี้และห้องอาหารอยู่ด้านบนเขา ส่วนห้องพักจะเรียงลงไปตามเนินลดหลั่นลงไป เราได้ห้องพักเบอร์ 6 อีกแล้ว อยู่ตรงกลางระหว่างบ้านทั้งหมด ต้องเดินลงเขาไปพอควร หลังที่ 1 และ 2 จะอยู่สูง ระดับใกล้เคียงกับลอบบี้ จากหลังที่ 3 เป็นต้นไป ทางจะลาดลงไปเรื่อยๆ การเดินจากห้องพักไปที่ลอบบี้จึงต้องเดินขึ้นเขา

ห้องพักเป็นกระท่อมหินสีสดใส เปิดเข้าไปภายในเป็นพื้นหิน มีเตียงใหญ่อยู่กลางห้อง พร้อมเสาสี่ต้นและมุ้งคลุมกันยุง ด้านขวามีห้องน้ำทันสมัย ด้านซ้ายมีโต๊ะเก้าอี้จัดเป็นมุมนั่งเล่น ปลายเตียงมีเก้าอี้ไม้ยาว จากเตียงมองออกไปด้านนอกผ่านประตูกระจกบานใหญ่ มีระเบียงนั่งชมวิวทะเลสาบ Mutanda แสนเสน่ห์ พร้อมเกาะน้อยใหญ่และภูเขาไฟ Muhabura และ Gahinga ตั้งตระหง่านในเงาเมฆ
อาหารที่นี่จะเป็นอาหารตามสั่งที่เลือกได้จากเมนูประจำวันที่เปลี่ยนทุกวัน อาหารกลางวันวันนี้มีให้เลือกระหว่างปลาในทะเลสาบย่าง สปาเก็ตตี้เนื้อสับ หรือข้าวผัดหมู เราลองชิมปลาซึ่งสดและรสชาติดีมาก ทานคู่กับเฟร้นช์ฟรายด์และข้าวเม็ดยาว ทานเสร็จมีผลไม้เสริฟเป็นของหวาน จิบน้ำหวาน ชมวิวทะเลสาบจากระเบียงใหญ่ที่ล้อบบี้ของโรงแรม ทำให้รู้สึกเหมือนเราลอยอยู่กลางทะเลสาบ

ช่วงบ่ายออกไปเดินสำรวจ จากเขาด้านหลังเห็นวิวโรงแรมที่ตั้งเด่นอยู่เหนือทะเลสาบ Mutanda (ตึกสีที่เรียงกันบนสันเขาด้านซ้าย)
ชาวบ้านทำนาขั้นบันไดในหุบเขาสวยงาม เด็กเลิกเรียนใส่ชุดนักเรียนสีต่างๆ พอรถผ่านก็จะวิ่งมาโบกมือทำหน้าทะเล้น ถ้าลงจากรถ เด็กจะกรูเข้ามาคุยใกล้ชิดมาก เป็นวัฒนธรรมแอฟริกาที่ให้พื้นที่ระหว่างคนน้อย เอเชียอย่างเราอาจไม่คุ้นเคย

ทะเลสาบ Mutanda ตั้งอยู่ตอนใต้ของยูกันดา สูงจากระดับน้ำทะเล 1800 เมตร จึงอุ่นกว่าที่สูงอย่างรวันดา ตกเย็นจึงเย็นสบายประมาณ 15 องศา เรานั่งชมวิวทะเลสาบที่เปลี่ยนสียามดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าอย่างไม่รู้เบื่อ ฟ้าใสขึ้น ทำให้เห็นภูเขาไฟยอดแหลมสูงเสียดฟ้าชัดเจน 3 ลูก คือ Muhabura Gahinga และ Sabyinyo ถ้ามองดีๆจะเห็นเงาลูกที่เหลืออีก 3 ลูกลางๆ ภูเขาไฟจะมีลักษณะยอดแหลม ไหล่เขาทั้งสองด้านสมมาตรเท่ากัน เช่นเดียวกับภูเขาไฟฟูจิที่คนไทยคุ้นเคย เมื่อเห็นภาพเหมือนมีฟูจิมาตั้งติดกัน 6 ลูก จึงเป็นภาพที่งดงามสุดบรรยาย

อาหารเย็นเสริฟซุปหน่อไม้ฝรั่ง สลัดอโวคาโดและพ็อคชอป ตามด้วยทาร์ตมะนาวอร่อยดี นั่งคุยดื่มไวน์เฮฮากับเพื่อนนักท่องเที่ยวอื่นชาวเยอรมัน อเมริกัน และสวิส แลกเปลี่ยนการผจญภัยตามประสานักเดินทางรอบโลก พรุ่งนี้เราทั้งหมดจะบุกป่าดงดิบแกะรอยกอริลล่าในยูกันดาบ้าง ซึ่งจะเป็นการดูกอริลล่ารอบ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายในทริป
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่