สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิพย์ วันนี้มีโอกาสขอแชร์ประสบการณ์การเที่ยวแบบ Backcountry Backpacking ที่อเมริกา ซึ่งการเที่ยวแบบนี้ก็จะเป็นการเข้าไปค้างคืนกลางธรรมชาติโดยที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆค่ะ พูดง่ายๆคือเราจะไม่มีมือถือ ไม่มีไฟฟ้า และ ไม่มีเตาไฟฟ้า มาดูกันดีกว่าค่ะว่าเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไรหลังเข้าไปนอนกลางป่านะคะ
แนะนำตัวนิดนึงนะคะ ชื่อ ปิ๋นนะคะ ตอนนี้เรียนป.โทอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ โดยปกติแล้วเป็นคนรักธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร สัตว์ป่า แต่ก็ไม่เคยมีความคิดจะเที่ยวแนวนี้มาก่อนเพราะไม่คิดว่าจะไหวค่ะเพราะปกติเอาแต่นอนกลางวัน แถมยังไม่ชอบออกกำลังกายอีก แต่พอได้มีโอกาสเที่ยวแบบนี้ พูดเลยว่ามันสุดๆจริงๆค่ะ ประสบการณ์มันคุ้มกับทุกๆก้าวที่เราเดินขึ้นไป ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยมากค่ะ แต่พอไปถึงยอดความเหนื่อยล้าทุกอย่างหายไปหมด คือมันเหมือนเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เป็นอะไรที่ภูมิใจมากๆ เลยอยากเป็นหนึ่งเสียงให้คนที่สนใจท่องเที่ยวแนวนี้แต่ไม่มั่นใจให้ลองดูนะคะ ถ้าใจรักยังไงก็ไหวค่ะ
สำหรับครั้งแรก เราเลือกไปที่ Sahale Glacier Camp เป็นส่วนหนึ่งของ Cascade Pass Trail ที่ North Cascade National Park, Washington
รายละเอียดของ Trail ตามนี้นะคะ
Trail: Cascade Pass/Sahale Arm
ระยะทาง: 9.5 กิโลเมตร One-way
ระยะเวลา: 4 ชม. (เราใช้ไป 7 ชม.)
แหล่งน้ำ: ธารน้ำแข็ง
ความชัน: +3,600 ฟุต
ระดับ: ใช้แรงเยอะมาก แต่ไม่ถึงขั้นต้องการอุปกรณ์เสริม
ใบอนุญาติ: ต้องมี สามารถขอได้ที่ Marblemount Ranger Station ฟรีค่ะ
จุดนอน: Sahale Glacier Camp (เราจะนอนกันที่ธารน้ำแข็งกันนะคะ เย้!)
อ้างอิงจาก
http://www.nps.gov/noca/planyourvisit/cascade-pass-trail.htm นะคะ
Trail map นะคะ
ก่อนขึ้นไปจำเป็นต้องไปขอ permit กับทางอุทยานกันก่อนที่ Marblemount Ranger Station เจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายข้อกำหนดต่างๆนคะ แต่ละอุทยานก็จะมีข้อกำหนดแตกต่างกันไป ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของที่นี่คือ การบังคับใช้ Bear Cannister มันคือกล่องกันกลิ่นอาหาร มีล้อคแน่นหนาป้องกันสัตว์โดยเฉพาะหมีให้เปิดไม่ได้ (และคนด้วย เกือบจะเปิดไม่ได้55) เราสามารถขอยืมทางอุทยานได้ (แต่ต้องส่งคืนไม่งั้นโดนปรับ 90 เหรียญนะ) ซึ่งกระป๋องกันน้องหมีเนี่ยต้องวางห่างจากเต็นท์ไปประมาณ 100 ก้าวเพื่อความปลอดภัย
ต้องติดใบ Permit ไว้บนกระเป๋านะคะ และย้ายไปติดหน้าเต๊นท์ตอนถึงแคมป์แล้ว
ถนนก่อนถึง Trail จะเป็นถนนไม่ลาดยางนะคะ ดังนั้นถ้ามีรถใหญ่ เช่น SUV หรือ กระบะ ได้นี่จะสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ(รถเล็กอาจจะสั่นนิดนึง) ทางที่จะไปเราแนะนำให้ทุกคนพกแผนที่ติดมาด้วยเพราะ ไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้นจนกว่าจะถึง Trailhead กันกระวนกระวายใจค่ะ คุณแฟนถามตลอดหาว่าเราพามาผิดทาง
ระหว่างทางขับเข้าไปบางช่วงเป็นป่ามอสค่ะ เพราะอากาศบนนี้ชื้นมาก
พอพ้นช่วงป่า ก็เริ่มเห็นภูเขาธารน้ำแข็ง
เสียดายทริปนี้ฟ้าไม่เปิดเลย เพราะมีควันจากไฟป่า
มาเริ่มออกเดินกันค่ะ ทางเดินช่วงแรกจะเป็นการขึ้นเขาคดไปมาคดมาท่ามกลางป่าดิบชื้นประมาณ 33 รอบ คนปกติใช้เวลาประมาน 2 ชั่วโมง (เรานี่ไม่ปกคิค่ะ ช้าเป็นพิเศษ55) ณ จุดนี้ เป็นครั้งแรกของเราที่สะพายกระเป๋า Backpack แบบ full load จริงๆ การปรับกระเป๋าให้พอดีกับช่วงหลัง (Torso Length) สำคัญมาก เพราะถ้าน้ำหนักของกระเป๋าถ่ายไปที่เอวลงไปที่ขา ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่หนักเลย แต่กว่าเราจะปรับได้นี่ก็เดินไปเกือบครึ่งทาง ดูดพลังไปพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ก่อนมา ลองเที่ยวทริปสั้นดูก่อนจะเป็นอะไรที่ดีมากเลยค่ะ
กัดปากกันเลยที่เดียวจะยกกระเป๋าขึ้นหลังทีนึง เรานี่แทบไม่อยากนั่งเลย เพราะลุกไม่ขึ้นค่ะ หนักมาก
พอพ้นช่วงป่าดิบชื้น ก็จะเป็นการเดินเรียบหน้าผาขนานไปกับภูเขาธารน้ำแข็งหลายลูกสวยมากค่ะ Trail นี้ชื่อ Cascade Pass เพราะ ถ้าเราตั้งใจฟังเสียงดีๆจะได้ยินเสียงน้ำตกตลอดทางซึ่งมันเกิดจากธารน้ำแข็งบนภูเขาละลายลงมาเป็นน้ำตกมากมาย
ลองซูมไปที่ยอดเขาค่ะ
บางช่วงก็มีหินหล่นมาขวางทาง ต้องเดินระวังหน่อยนะคะ
มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆค่ะ
คุณแฟนเดินอย่างจริงจัง พี่แกกลัวความสูงค่ะ
เดินไปซักพักจะเจอจุดชมวิว Casscade Pass และเราจะพบทางแยกไป Sahale Glacier Camp กับ Pelton Basin Camp ให้เลี้ยวซ้ายไปทาง Sahale Glacier Camp จากนั้นเราก็จะเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่า Sahale Arm กันค่ะ สังเกตุได้อย่างหนึ่งคือจำนวนนักท่องเที่ยวหายไปอย่างชัดเจนเลยคะ ทำให้เหมือนเราเดินกันแค่สองคนกับคุณแฟนเลย ต้นทางจะเป็นขึ้นเขาชันๆ สลับกับเนินทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ป่าขึ้นมากมาย สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องระวังเรื่องขาพลิกหรือข้อเท้าพลิก เพราะเราจะต้องเดินบนหินเป็นส่วนใหญ่ จะมีทางเรียบจะเป็นทุ่งหญ้านิดน้อยค่ะ ช่วงที่เวลาดีที่สุดสำหรับการเที่ยวโซนนี้ที่ฝนตกเกือบตลอดทั้งปี คือเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เพราะน้ำแข็งจากบนภูเขาจะเริ่มละลายตอน พฤษภาคม ดอกไม้ป่าจะบานสะพรั่งช่วงนี้พอดี แต่เสียดายปีนี้หิมะละลายเร็ว ดอกไม้บานเร็ว ช่วงที่ไปคือใกล้เหี่ยวหมดแล้วค่ะ แอบเศร้านิดนึง
ยังพอมีดอกไม้บ้างค่ะ
เนินทุ่งหญ้านี่เป็นอะไรที่เดินสบายสุดแล้วค่ะ ในทริปนี้
นอกจากดอกไม้ป่าก็มีบลูเบอรี่ป่าให้เดินเก็บกินเล่นได้ตลอดทาง เห็นคนอื่นเก็บกันไปเป็นกระปุกเลยค่ะ เค้าบอกว่าเค้าจะเอาไปทำแยม ไว้กินกับแพนเค้กตอนเช้า เรากินไปหลายลูกใช้ได้เลย เหนื่อยแล้วได้กินอะไรหวานๆนี่เพิ่มขึ้นได้เยอะเลย ดีที่ท้องไม่เสีย 55
มือสกปรกหน่อยนะคะ 55
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง นอกจากเก็บบลูเบอรี่กินตามทางนั่นคือ เมื่อเราเดินเข้ามายิ่งลึกเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นสัตว์ป่าก็เยอะมากขึ้นเท่านั้น เช่นตัว Marmot Pika (พยายามจะถ่ายรูปแต่เปลี่ยนเลนส์ไม่ทันจริงๆค่ะ) รวมถึง Black Bear ตกใจมากตอนเจอ ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลย มันก็มีหันมามองนิดนึง แล้วมันก็เดินจากไป สำหรับคนที่เตรียมตัวมาเจอน้องหมี (ฝรั่งเขาอยากเจอมาก เล่าให้ฟังแล้วตื่นเต้นกันใหญ่) เจ้าหน้าที่บอกว่าธรรมชาติหมีจะไม่ค่อยสนใจมนุษย์สักเท่าไหร่ ถ้ามันได้ยินเสียงเรามันก็จะพยายามหลบๆ ไม่ออกมา ดังนั้นเวลาเดินในที่ที่ไม่ค่อยมีคนก็ให้ร้องเพลงพูดคุยเสียงดังไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเจอกันจริงๆก็ให้ค่อยๆถอย แต่อย่าละสายตา ถ้ามันจะเข้ามาทำร้ายต้องสู้กลับเท่านั้น เพื่อให้มันคิดว่าเราก็เป็นผู้ล่าชั้นเดียวกับมัน แกล้งตายนี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายเลย ถ้า Glizzly นี่ห้ามสู้นะคะพี่เค้าโหดไป ถ้าสู้ไม่ไหวห้ามนอนหงายท้อง เพราะมันจะเริ่มกินเราจากท้อง ให้นอนแกล้งตายท้องคว่ำไว้ มันก็จะเขี่ยเราให้หงายท้อง ถ้าไม่ได้เดี๋ยวมันก็เดินหนีไปเอง
ตัว Marmot ค่ะ
พี่หมีดำ รูปเบลอ ตื่นเต้นมือสั่นค่ะ
เส้นทางช่วงสุดท้ายจะเป็นการวัดใจระดับนึง เกือบๆจะเป็นการปีนหน้าผาขึ้นไป และเส้นทางไม่ค่อยชัดเจนเพราะมีแต่หินแกรนิตที่ร่วงมาจากยอดเขา ต้องคอยมองหาหินที่คนเรียงซ้อนกันไว้เป็นเครื่องหมายบอกทาง เกือบทุกอุทยานในอเมริกา ถ้าหาทางไปไม่เจอเจ้าหน้าที่มักจะซ้อนหิน แอบการะซิบว่า มาทางนี้นะ ที่ท้าทายกว่านั้นคือ “หินมีหลายกอง” ทางไหนคือทางที่ถูกคงต้องเดาค่ะ ส่วนตัวจะเลือกทางที่ไม่ชันและฝืนตัวเองเกินไป เพราะพลาดคือตกเหวเลย ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ แถมหินจะเป็นหินเล็กๆที่ไม่ยึดพื้น (Loose Rocks) ลื่นมาก ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะตั้งใจปีนกันจริงจังมาก และก็เริ่มเหนื่อยมากด้วย 55 หลังจากผ่านไปเกือบ 7 ชม.ก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ตอนพระอาทิตย์เกือบจะตกพอดี
กองหินที่ไว้นำทาง แทบจะแยกไม่ออกเลยค่ะ เพราะทางเดินก็มีแต่หิน
ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงค่ะ เหนื่อยแทบขาดใจ เราเดินท่องตลอดทางค่ะ อดทนไว้ ใกล้ถึงแล้ว ซ้ำไปซ้ำมา 55
พวกเราก็รีบตั้งเต๊นท์กันกันก่อนที่จะมืด ลมข้างบนค่อยข้างแรงมาก ต้องยึดเต๊นท์ให้แน่นหนานะคะ จากนั้นเราก็ไปหาที่กินข้าวกันค่ะ เพื่อป้องกันสัตว์ป่า ที่ตั้งแคมป์เราจะต้องไม่มีกลิ่นอาหารเด็ดขาด ดังนั้นที่กินข้าว ที่ทำธุระส่วนตัว และที่ซ่อนอาหารก็ต้องห่างจากเต๊นท์ไปอย่างต่ำ 100 ก้าวค่ะ เราเลยเลือกไปใกล้ธารน้ำแข็งกัน เพื่อที่จะได้ทำธุระส่วนตัวกันด้วย เจ้าหน้าที่แนะนำให้ฉี่ลงไปที่ซอกหิน หรือ น้ำแข็งเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าฉี่ลงพื้นทั่วไปสัตว์จะได้กลิ่นฉี่เราได้ จากที่มันติดค้างอยู่ในดิน หรือต้นหญ้า ส่วนอาหารของเรามื้อนี้ เป็นมาม่าต้มยำไก่ย่างน้ำคลุกคลิก (ลวกเส้นตั้งแต่ก่อนขึ้นมาค่ะ) เย็น และอืดนิดหน่อย แต่ด้วยความหิวโซ ก็กินหมดอย่างรวดเร็ว เราตัดสินใจไม่เอาอุปกรณ์ทำอาหารขึ้นมากัน เพราะกระเป๋าหนักมาก อยากจะลดภาระตัวเองให้ได้มากที่สุด
ตรงนี้เป็นบริเวณที่เราไปนั่งกินข้าว และซ่อนอาหารค่ะ ใครตาดีเห็นกระป็องหมีบ้าง ใบ้ว่าสีฟ้าๆค่ะ
เราเข้านอนกันทันที เพราะเหนื่อยมากค่ะ ตัดสินใจเริ่มสำรวจกันตอนพระอาทิตย์ขึ้นแทน ที่ตั้งเต็นท์ที่นี่ สวยด้วยวิวยอดเขาเรียงกันรอบด้าน พอชะโงกหัวมองลงไปก็จะเห็น Doubtful Lake อยู่ข้างล่าง แถมยัง Private มาก เพราะแต่ละเต็นท์นี้ห่างกันยังกับอยู่อีกเนินเขาเลย รอบๆที่ตั้งเต็นท์ก็จะมีธารน้ำแข็งหลายแห่ง บางแห่งน้ำแข็งละลายกลายเป็นลำธารเล็กๆให้ดื่ม ให้ใช้กัน แต่น้ำที่นี้ต้องกรองนะคะ ถึงจะดื่มได้ รสชาติใช้ได้เลย น้ำแร่ธรรมชาติ 55
ที่ตั้งเต๊นท์ค่ะ ติดหน้าผา วิวสวยมากจริงๆค่ะ ถ้าฟ้าเปิดกว่านี้จะเห็นสันเขาทอดซ้อนกันไปจนสุดสายตาเลย น่าเสียดายนิดนึง
อันนี้เป็นด้านในกำแพงหิน มีพื้นที่พอดีสำหรับเต๊นท์ 1 อัน
มองเห็นเพื่อนบ้านอยู่ไกลลิบๆ วันที่ขึ้นไปมีแค่ 3 กลุ่มเท่านั้นค่ะที่แคมป์บนนี้ บอกแฟนว่ายังไงเราก็จะกลับกันก่อนอีกสองกลุ่มนะ เผื่อมีอะไรเค้าจะได้ตามมาเจอ แต่เดินไปได้ซักพัก ก็โดนแซงหมดเลยค่า จบไปนะคะ แผนนี้
Doubtful Lake ค่ะ
ภูเขาลูกนี้เป็นของเราคนเดียว
คุณแฟนปีนขี้นไปถ่ายรูปจากเขาอีกลูกนึงค่ะ เรานี่ขอเก็บแรงปีนกลับ อยู่รอบๆเต๊นท์พอ
ห้องน้ำส่วนตัว
กรองน้ำอย่างจริงจัง น้ำเย็นมากเลยได้น้ำเย็นชื่นใจกินตลอดทางขากลับ
[CR] ครั้งแรกกับ Backcountry Backpacking ที่ North Cascade National Park, USA ค่ะ
แนะนำตัวนิดนึงนะคะ ชื่อ ปิ๋นนะคะ ตอนนี้เรียนป.โทอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ โดยปกติแล้วเป็นคนรักธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร สัตว์ป่า แต่ก็ไม่เคยมีความคิดจะเที่ยวแนวนี้มาก่อนเพราะไม่คิดว่าจะไหวค่ะเพราะปกติเอาแต่นอนกลางวัน แถมยังไม่ชอบออกกำลังกายอีก แต่พอได้มีโอกาสเที่ยวแบบนี้ พูดเลยว่ามันสุดๆจริงๆค่ะ ประสบการณ์มันคุ้มกับทุกๆก้าวที่เราเดินขึ้นไป ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยมากค่ะ แต่พอไปถึงยอดความเหนื่อยล้าทุกอย่างหายไปหมด คือมันเหมือนเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เป็นอะไรที่ภูมิใจมากๆ เลยอยากเป็นหนึ่งเสียงให้คนที่สนใจท่องเที่ยวแนวนี้แต่ไม่มั่นใจให้ลองดูนะคะ ถ้าใจรักยังไงก็ไหวค่ะ
สำหรับครั้งแรก เราเลือกไปที่ Sahale Glacier Camp เป็นส่วนหนึ่งของ Cascade Pass Trail ที่ North Cascade National Park, Washington
รายละเอียดของ Trail ตามนี้นะคะ
Trail: Cascade Pass/Sahale Arm
ระยะทาง: 9.5 กิโลเมตร One-way
ระยะเวลา: 4 ชม. (เราใช้ไป 7 ชม.)
แหล่งน้ำ: ธารน้ำแข็ง
ความชัน: +3,600 ฟุต
ระดับ: ใช้แรงเยอะมาก แต่ไม่ถึงขั้นต้องการอุปกรณ์เสริม
ใบอนุญาติ: ต้องมี สามารถขอได้ที่ Marblemount Ranger Station ฟรีค่ะ
จุดนอน: Sahale Glacier Camp (เราจะนอนกันที่ธารน้ำแข็งกันนะคะ เย้!)
อ้างอิงจาก http://www.nps.gov/noca/planyourvisit/cascade-pass-trail.htm นะคะ
Trail map นะคะ
ก่อนขึ้นไปจำเป็นต้องไปขอ permit กับทางอุทยานกันก่อนที่ Marblemount Ranger Station เจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายข้อกำหนดต่างๆนคะ แต่ละอุทยานก็จะมีข้อกำหนดแตกต่างกันไป ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของที่นี่คือ การบังคับใช้ Bear Cannister มันคือกล่องกันกลิ่นอาหาร มีล้อคแน่นหนาป้องกันสัตว์โดยเฉพาะหมีให้เปิดไม่ได้ (และคนด้วย เกือบจะเปิดไม่ได้55) เราสามารถขอยืมทางอุทยานได้ (แต่ต้องส่งคืนไม่งั้นโดนปรับ 90 เหรียญนะ) ซึ่งกระป๋องกันน้องหมีเนี่ยต้องวางห่างจากเต็นท์ไปประมาณ 100 ก้าวเพื่อความปลอดภัย
ต้องติดใบ Permit ไว้บนกระเป๋านะคะ และย้ายไปติดหน้าเต๊นท์ตอนถึงแคมป์แล้ว
ถนนก่อนถึง Trail จะเป็นถนนไม่ลาดยางนะคะ ดังนั้นถ้ามีรถใหญ่ เช่น SUV หรือ กระบะ ได้นี่จะสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ(รถเล็กอาจจะสั่นนิดนึง) ทางที่จะไปเราแนะนำให้ทุกคนพกแผนที่ติดมาด้วยเพราะ ไม่มีป้ายบอกใดๆทั้งสิ้นจนกว่าจะถึง Trailhead กันกระวนกระวายใจค่ะ คุณแฟนถามตลอดหาว่าเราพามาผิดทาง
ระหว่างทางขับเข้าไปบางช่วงเป็นป่ามอสค่ะ เพราะอากาศบนนี้ชื้นมาก
พอพ้นช่วงป่า ก็เริ่มเห็นภูเขาธารน้ำแข็ง เสียดายทริปนี้ฟ้าไม่เปิดเลย เพราะมีควันจากไฟป่า
มาเริ่มออกเดินกันค่ะ ทางเดินช่วงแรกจะเป็นการขึ้นเขาคดไปมาคดมาท่ามกลางป่าดิบชื้นประมาณ 33 รอบ คนปกติใช้เวลาประมาน 2 ชั่วโมง (เรานี่ไม่ปกคิค่ะ ช้าเป็นพิเศษ55) ณ จุดนี้ เป็นครั้งแรกของเราที่สะพายกระเป๋า Backpack แบบ full load จริงๆ การปรับกระเป๋าให้พอดีกับช่วงหลัง (Torso Length) สำคัญมาก เพราะถ้าน้ำหนักของกระเป๋าถ่ายไปที่เอวลงไปที่ขา ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่หนักเลย แต่กว่าเราจะปรับได้นี่ก็เดินไปเกือบครึ่งทาง ดูดพลังไปพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ก่อนมา ลองเที่ยวทริปสั้นดูก่อนจะเป็นอะไรที่ดีมากเลยค่ะ
กัดปากกันเลยที่เดียวจะยกกระเป๋าขึ้นหลังทีนึง เรานี่แทบไม่อยากนั่งเลย เพราะลุกไม่ขึ้นค่ะ หนักมาก
พอพ้นช่วงป่าดิบชื้น ก็จะเป็นการเดินเรียบหน้าผาขนานไปกับภูเขาธารน้ำแข็งหลายลูกสวยมากค่ะ Trail นี้ชื่อ Cascade Pass เพราะ ถ้าเราตั้งใจฟังเสียงดีๆจะได้ยินเสียงน้ำตกตลอดทางซึ่งมันเกิดจากธารน้ำแข็งบนภูเขาละลายลงมาเป็นน้ำตกมากมาย
ลองซูมไปที่ยอดเขาค่ะ
บางช่วงก็มีหินหล่นมาขวางทาง ต้องเดินระวังหน่อยนะคะ
มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆค่ะ
คุณแฟนเดินอย่างจริงจัง พี่แกกลัวความสูงค่ะ
เดินไปซักพักจะเจอจุดชมวิว Casscade Pass และเราจะพบทางแยกไป Sahale Glacier Camp กับ Pelton Basin Camp ให้เลี้ยวซ้ายไปทาง Sahale Glacier Camp จากนั้นเราก็จะเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่า Sahale Arm กันค่ะ สังเกตุได้อย่างหนึ่งคือจำนวนนักท่องเที่ยวหายไปอย่างชัดเจนเลยคะ ทำให้เหมือนเราเดินกันแค่สองคนกับคุณแฟนเลย ต้นทางจะเป็นขึ้นเขาชันๆ สลับกับเนินทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ป่าขึ้นมากมาย สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องระวังเรื่องขาพลิกหรือข้อเท้าพลิก เพราะเราจะต้องเดินบนหินเป็นส่วนใหญ่ จะมีทางเรียบจะเป็นทุ่งหญ้านิดน้อยค่ะ ช่วงที่เวลาดีที่สุดสำหรับการเที่ยวโซนนี้ที่ฝนตกเกือบตลอดทั้งปี คือเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เพราะน้ำแข็งจากบนภูเขาจะเริ่มละลายตอน พฤษภาคม ดอกไม้ป่าจะบานสะพรั่งช่วงนี้พอดี แต่เสียดายปีนี้หิมะละลายเร็ว ดอกไม้บานเร็ว ช่วงที่ไปคือใกล้เหี่ยวหมดแล้วค่ะ แอบเศร้านิดนึง
ยังพอมีดอกไม้บ้างค่ะ
เนินทุ่งหญ้านี่เป็นอะไรที่เดินสบายสุดแล้วค่ะ ในทริปนี้
นอกจากดอกไม้ป่าก็มีบลูเบอรี่ป่าให้เดินเก็บกินเล่นได้ตลอดทาง เห็นคนอื่นเก็บกันไปเป็นกระปุกเลยค่ะ เค้าบอกว่าเค้าจะเอาไปทำแยม ไว้กินกับแพนเค้กตอนเช้า เรากินไปหลายลูกใช้ได้เลย เหนื่อยแล้วได้กินอะไรหวานๆนี่เพิ่มขึ้นได้เยอะเลย ดีที่ท้องไม่เสีย 55
มือสกปรกหน่อยนะคะ 55
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง นอกจากเก็บบลูเบอรี่กินตามทางนั่นคือ เมื่อเราเดินเข้ามายิ่งลึกเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นสัตว์ป่าก็เยอะมากขึ้นเท่านั้น เช่นตัว Marmot Pika (พยายามจะถ่ายรูปแต่เปลี่ยนเลนส์ไม่ทันจริงๆค่ะ) รวมถึง Black Bear ตกใจมากตอนเจอ ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลย มันก็มีหันมามองนิดนึง แล้วมันก็เดินจากไป สำหรับคนที่เตรียมตัวมาเจอน้องหมี (ฝรั่งเขาอยากเจอมาก เล่าให้ฟังแล้วตื่นเต้นกันใหญ่) เจ้าหน้าที่บอกว่าธรรมชาติหมีจะไม่ค่อยสนใจมนุษย์สักเท่าไหร่ ถ้ามันได้ยินเสียงเรามันก็จะพยายามหลบๆ ไม่ออกมา ดังนั้นเวลาเดินในที่ที่ไม่ค่อยมีคนก็ให้ร้องเพลงพูดคุยเสียงดังไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเจอกันจริงๆก็ให้ค่อยๆถอย แต่อย่าละสายตา ถ้ามันจะเข้ามาทำร้ายต้องสู้กลับเท่านั้น เพื่อให้มันคิดว่าเราก็เป็นผู้ล่าชั้นเดียวกับมัน แกล้งตายนี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายเลย ถ้า Glizzly นี่ห้ามสู้นะคะพี่เค้าโหดไป ถ้าสู้ไม่ไหวห้ามนอนหงายท้อง เพราะมันจะเริ่มกินเราจากท้อง ให้นอนแกล้งตายท้องคว่ำไว้ มันก็จะเขี่ยเราให้หงายท้อง ถ้าไม่ได้เดี๋ยวมันก็เดินหนีไปเอง
ตัว Marmot ค่ะ
พี่หมีดำ รูปเบลอ ตื่นเต้นมือสั่นค่ะ
เส้นทางช่วงสุดท้ายจะเป็นการวัดใจระดับนึง เกือบๆจะเป็นการปีนหน้าผาขึ้นไป และเส้นทางไม่ค่อยชัดเจนเพราะมีแต่หินแกรนิตที่ร่วงมาจากยอดเขา ต้องคอยมองหาหินที่คนเรียงซ้อนกันไว้เป็นเครื่องหมายบอกทาง เกือบทุกอุทยานในอเมริกา ถ้าหาทางไปไม่เจอเจ้าหน้าที่มักจะซ้อนหิน แอบการะซิบว่า มาทางนี้นะ ที่ท้าทายกว่านั้นคือ “หินมีหลายกอง” ทางไหนคือทางที่ถูกคงต้องเดาค่ะ ส่วนตัวจะเลือกทางที่ไม่ชันและฝืนตัวเองเกินไป เพราะพลาดคือตกเหวเลย ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ แถมหินจะเป็นหินเล็กๆที่ไม่ยึดพื้น (Loose Rocks) ลื่นมาก ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเลยเพราะตั้งใจปีนกันจริงจังมาก และก็เริ่มเหนื่อยมากด้วย 55 หลังจากผ่านไปเกือบ 7 ชม.ก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ตอนพระอาทิตย์เกือบจะตกพอดี
กองหินที่ไว้นำทาง แทบจะแยกไม่ออกเลยค่ะ เพราะทางเดินก็มีแต่หิน
ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงค่ะ เหนื่อยแทบขาดใจ เราเดินท่องตลอดทางค่ะ อดทนไว้ ใกล้ถึงแล้ว ซ้ำไปซ้ำมา 55
พวกเราก็รีบตั้งเต๊นท์กันกันก่อนที่จะมืด ลมข้างบนค่อยข้างแรงมาก ต้องยึดเต๊นท์ให้แน่นหนานะคะ จากนั้นเราก็ไปหาที่กินข้าวกันค่ะ เพื่อป้องกันสัตว์ป่า ที่ตั้งแคมป์เราจะต้องไม่มีกลิ่นอาหารเด็ดขาด ดังนั้นที่กินข้าว ที่ทำธุระส่วนตัว และที่ซ่อนอาหารก็ต้องห่างจากเต๊นท์ไปอย่างต่ำ 100 ก้าวค่ะ เราเลยเลือกไปใกล้ธารน้ำแข็งกัน เพื่อที่จะได้ทำธุระส่วนตัวกันด้วย เจ้าหน้าที่แนะนำให้ฉี่ลงไปที่ซอกหิน หรือ น้ำแข็งเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าฉี่ลงพื้นทั่วไปสัตว์จะได้กลิ่นฉี่เราได้ จากที่มันติดค้างอยู่ในดิน หรือต้นหญ้า ส่วนอาหารของเรามื้อนี้ เป็นมาม่าต้มยำไก่ย่างน้ำคลุกคลิก (ลวกเส้นตั้งแต่ก่อนขึ้นมาค่ะ) เย็น และอืดนิดหน่อย แต่ด้วยความหิวโซ ก็กินหมดอย่างรวดเร็ว เราตัดสินใจไม่เอาอุปกรณ์ทำอาหารขึ้นมากัน เพราะกระเป๋าหนักมาก อยากจะลดภาระตัวเองให้ได้มากที่สุด
ตรงนี้เป็นบริเวณที่เราไปนั่งกินข้าว และซ่อนอาหารค่ะ ใครตาดีเห็นกระป็องหมีบ้าง ใบ้ว่าสีฟ้าๆค่ะ
เราเข้านอนกันทันที เพราะเหนื่อยมากค่ะ ตัดสินใจเริ่มสำรวจกันตอนพระอาทิตย์ขึ้นแทน ที่ตั้งเต็นท์ที่นี่ สวยด้วยวิวยอดเขาเรียงกันรอบด้าน พอชะโงกหัวมองลงไปก็จะเห็น Doubtful Lake อยู่ข้างล่าง แถมยัง Private มาก เพราะแต่ละเต็นท์นี้ห่างกันยังกับอยู่อีกเนินเขาเลย รอบๆที่ตั้งเต็นท์ก็จะมีธารน้ำแข็งหลายแห่ง บางแห่งน้ำแข็งละลายกลายเป็นลำธารเล็กๆให้ดื่ม ให้ใช้กัน แต่น้ำที่นี้ต้องกรองนะคะ ถึงจะดื่มได้ รสชาติใช้ได้เลย น้ำแร่ธรรมชาติ 55
ที่ตั้งเต๊นท์ค่ะ ติดหน้าผา วิวสวยมากจริงๆค่ะ ถ้าฟ้าเปิดกว่านี้จะเห็นสันเขาทอดซ้อนกันไปจนสุดสายตาเลย น่าเสียดายนิดนึง
อันนี้เป็นด้านในกำแพงหิน มีพื้นที่พอดีสำหรับเต๊นท์ 1 อัน
มองเห็นเพื่อนบ้านอยู่ไกลลิบๆ วันที่ขึ้นไปมีแค่ 3 กลุ่มเท่านั้นค่ะที่แคมป์บนนี้ บอกแฟนว่ายังไงเราก็จะกลับกันก่อนอีกสองกลุ่มนะ เผื่อมีอะไรเค้าจะได้ตามมาเจอ แต่เดินไปได้ซักพัก ก็โดนแซงหมดเลยค่า จบไปนะคะ แผนนี้
Doubtful Lake ค่ะ
ภูเขาลูกนี้เป็นของเราคนเดียว
คุณแฟนปีนขี้นไปถ่ายรูปจากเขาอีกลูกนึงค่ะ เรานี่ขอเก็บแรงปีนกลับ อยู่รอบๆเต๊นท์พอ
ห้องน้ำส่วนตัว
กรองน้ำอย่างจริงจัง น้ำเย็นมากเลยได้น้ำเย็นชื่นใจกินตลอดทางขากลับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น