ประกันยอมจ่ายแค่ค่ารักษา พยาบาล และค่าสินไหมทดแทนตามเรทของกระทรวงแรงงาน ซึ่งไม่เท่าไหร่
อาจะแค่ห้าหมื่น อย่างที่ประกันเสนอ
มันเป็นไปตาม ทฤษฎีเกมส์(Games Theory) ครับ ที่ว่า คนจ่ายอยากจ่ายน้อยที่สุด
คนเจ็บอยากได้ เยอะที่สุด
แต่ถ้าเรื่องไม่จบ พนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวน ก็ ต้องเรียกคู่ความ รวมถึงประกัน เข้ามาเจรจากัน เรื่อยไป
จนทำให้ฝ่ายผิด ต้องเสียเวลา เสียสมาธิในการทำการทำงาน ไปเรื่อยๆ ครับ
เพราะ ประกัน เค้าเคี่ยวอยู่แล้ว ครับ เค้าไม่ยอมเพิ่มเงินให้ง่ายๆ หรอก
แต่ระหว่างที่ไกล่เกลี่ยเรื่องเงินกัน(คดีแพ่ง) ถ้าเรื่องไม่จบสักทีเราจะโดนหางเลข ครับ นั้นคือ โดนฟ้องคดีอาญาฯ
ซึ่งมันก้อเป็นทางลัดให้เรา ต้องไปช่วยจ่ายเงินสมทบกับ บ.ประกัน โดยอัตโนมัติ ครับ
ซึ่งเรื่องขอให้มาช่วยจ่าย เนี่ย บ.ประกันเค้าไม่ถามเรามาหรอก แต่คุยกันไปเรื่อยๆ เรากดดัน เราเบื่อ เราเสียเวลา
เด่ว ฝ่ายผิด(เรา) ก็ออกตัวขอจ่ายช่วยเองเพื่อเรื่องจะได้จบๆ มันเป็น ทริค ของ บ.ประกันภัย ครับ
เพราะ ถ้าเรื่องไม่จบ ประกันเค้าก็แค่รอให้ ฝ่ายเสียหายไปฟ้องแพ่งที่ศาล ประกันเค้ามีเส้นสาย มีทนายมือดี เชี่ยวชาญเรื่องนี้ประจำบริษัทอยู่แล้ว
เค้าไม่เดือดร้อนอะไร หรอกครับ เป้าหมายของเค้า คือ ยอดเงินสินไหมทดแทนต่ำสุด เท่านั้น
ถ้าประกันแพ้คดี ก้อจ่ายตามศาลสั่ง แต่ถ้าโชคดีชนะ ก้อ ได้จ่ายแค่นั้น
หรือถ้ายิ่งโชคดี ฝ่ายเสียหาย อาจจะล้มเลิกความคิดที่จะฟ้องแพ่งก็ได้
แต่เรา(ฝ่ายผิด)นะสิ จะเดือดร้อน ถ้าเรานิ่งเฉย เวลาเจรจา ยืนอยู่หลังประกันตลอด ฝ่ายเสียหาย อาจโกรธ ตัดสินใจฟ้องศาอาญา ควบคู่ไปด้วย
ซึ่งโทษ ก็คือ จำคุก(รอลงอาญารึเปล่า ขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือเบื้องต้นในตอนแรก ) และค่าปรับเล็กน้อย หมื่นต้นๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่อยากให้เค้าฟ้อง ไม่อยากแพ้คดี(เพราะชนเค้าแล้วยอมรับผิด ผลมันแพ้อยู่แล้ว)ไม่อยากเป็นบุคคลที่มีคดีติดตัว
(ฐานประมาท ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บฯ) เสียประวัติรับราชการ หรือ ประวัติการทำงาน
๑. ไปเยี่ยมเยือนที่บ้านฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ ซื้อของติดไม้ติดมือไปด้วย ในระหว่างที่คดียังไม่จบ เพื่อแสดงน้ำจิตน้ำใจ
๒.ในตอนเจรจากัน ยืนอยู่ตรงกลาง อย่าไปยืนอยู่หลังประกัน เพราะถ้าเค้าเกลียดประกันเค้าจะเกลียดคุณไปด้วย
๓.เวลาที่เจรจากันได้ ข้อสรุป ข้อตกลงอะไรให้ ตำรวจเขียนเป็นเอกสาร แล้วให้ทุกฝ่ายเซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ในวันนั้นเลย อย่าปล่อยให้เลยวันนั้นไป เพราะ ถ้าเป็นอีกวันหนึ่งเรื่องที่เคยคุยกันไว้จะเปลี่ยนไป
เพราะกลับบ้านไป จะโดนคนรู้จัก ของฝ่ายบาดเจ็บ ยุแยง เสื้อมให้ทำ หรือ อย่าทำ อย่างนั้นอย่างนี้
๔.การจ่ายเงิน หรือให้ความช่วยเหลืออะไรไปต้องทำเป็นเอกสารหลักฐานไว้ด้วย ทุกครั้ง จะได้ยื่นเป็นหลักฐาน
แก่ศาลเวลาที่ต้องการลดหย่อน ผ่อนโทษ
ให้บริษัทประกันจัดการแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปซะะที สถาณการณ์ท่าจะแย่ ให้ใช้วิธี
๕. ให้ พนักกงานสอบส่วน ช่วยไกล่เกลี่ยให้ เพราะว่า พนักสอบสวน(ตำรวจ) ถือว่าเป็นคนกลางที่ ผู้เสียหายจะเชื่อให้การรับฟัง
เพราะเราพูด ประกันพูด เค้าก้อไม่เชื่อเราอยู่แล้ว เพราะเรามีส่วนได้ส่วนเสียด้วย
๖. ให้พนักงานสอบสวนแยก ไกล่เกลี่ย แบบทวิภาคี(ตำรวจ-ผู้เสียหาย/ ตำรวจ-ประกัน/ ตำรวจ- ฝ่ายผิด)
เพราะ คนเราบางทีมีทิฐิ ไม่ยอมเสียหน้า พูดอะไรไปไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก้อให้จนท.ตำรวจ นี้แหล่ะ
เป็นคนเจรจา ลอบบี้ ลับหลัง(ทวิภาคี) ให้ ซึ่งผมเรื่องจบลงได้ก้อเพราะ ใช้วิธีนี้(๖) อาจจะต้องเสียค่าออกแรงเล็กๆน้อยๆของตำรวจ ให้ตำรวจ บ้างครับ
เชื่อเถอะครับ ชาวบ้านธรรมดาเนี่ยเค้า กลัวตำรวจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตำรวจพูดหรือขู่ว่าถ้าทำยังงั้น จะเป็นยังงี้ จะเสียเงินเปล่าๆ บลาๆๆๆ
อะไรเค้า ก้อเชื่อได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
แต่ยังไงซะ ก็ขอให้เน้นข้อ ๑ นะครับ ถ้าทำข้อ๑ ดี อะไรๆ มันก็จะง่ายขึ้น ครับ
สิ่งที่บริษัทประกันภัยจะไม่เอ่ยถามเรา(ฝ่ายผิด) ตอนเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย
อาจะแค่ห้าหมื่น อย่างที่ประกันเสนอ
มันเป็นไปตาม ทฤษฎีเกมส์(Games Theory) ครับ ที่ว่า คนจ่ายอยากจ่ายน้อยที่สุด
คนเจ็บอยากได้ เยอะที่สุด
แต่ถ้าเรื่องไม่จบ พนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวน ก็ ต้องเรียกคู่ความ รวมถึงประกัน เข้ามาเจรจากัน เรื่อยไป
จนทำให้ฝ่ายผิด ต้องเสียเวลา เสียสมาธิในการทำการทำงาน ไปเรื่อยๆ ครับ
เพราะ ประกัน เค้าเคี่ยวอยู่แล้ว ครับ เค้าไม่ยอมเพิ่มเงินให้ง่ายๆ หรอก
แต่ระหว่างที่ไกล่เกลี่ยเรื่องเงินกัน(คดีแพ่ง) ถ้าเรื่องไม่จบสักทีเราจะโดนหางเลข ครับ นั้นคือ โดนฟ้องคดีอาญาฯ
ซึ่งมันก้อเป็นทางลัดให้เรา ต้องไปช่วยจ่ายเงินสมทบกับ บ.ประกัน โดยอัตโนมัติ ครับ
ซึ่งเรื่องขอให้มาช่วยจ่าย เนี่ย บ.ประกันเค้าไม่ถามเรามาหรอก แต่คุยกันไปเรื่อยๆ เรากดดัน เราเบื่อ เราเสียเวลา
เด่ว ฝ่ายผิด(เรา) ก็ออกตัวขอจ่ายช่วยเองเพื่อเรื่องจะได้จบๆ มันเป็น ทริค ของ บ.ประกันภัย ครับ
เพราะ ถ้าเรื่องไม่จบ ประกันเค้าก็แค่รอให้ ฝ่ายเสียหายไปฟ้องแพ่งที่ศาล ประกันเค้ามีเส้นสาย มีทนายมือดี เชี่ยวชาญเรื่องนี้ประจำบริษัทอยู่แล้ว
เค้าไม่เดือดร้อนอะไร หรอกครับ เป้าหมายของเค้า คือ ยอดเงินสินไหมทดแทนต่ำสุด เท่านั้น
ถ้าประกันแพ้คดี ก้อจ่ายตามศาลสั่ง แต่ถ้าโชคดีชนะ ก้อ ได้จ่ายแค่นั้น
หรือถ้ายิ่งโชคดี ฝ่ายเสียหาย อาจจะล้มเลิกความคิดที่จะฟ้องแพ่งก็ได้
แต่เรา(ฝ่ายผิด)นะสิ จะเดือดร้อน ถ้าเรานิ่งเฉย เวลาเจรจา ยืนอยู่หลังประกันตลอด ฝ่ายเสียหาย อาจโกรธ ตัดสินใจฟ้องศาอาญา ควบคู่ไปด้วย
ซึ่งโทษ ก็คือ จำคุก(รอลงอาญารึเปล่า ขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือเบื้องต้นในตอนแรก ) และค่าปรับเล็กน้อย หมื่นต้นๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่อยากให้เค้าฟ้อง ไม่อยากแพ้คดี(เพราะชนเค้าแล้วยอมรับผิด ผลมันแพ้อยู่แล้ว)ไม่อยากเป็นบุคคลที่มีคดีติดตัว
(ฐานประมาท ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บฯ) เสียประวัติรับราชการ หรือ ประวัติการทำงาน
๑. ไปเยี่ยมเยือนที่บ้านฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ ซื้อของติดไม้ติดมือไปด้วย ในระหว่างที่คดียังไม่จบ เพื่อแสดงน้ำจิตน้ำใจ
๒.ในตอนเจรจากัน ยืนอยู่ตรงกลาง อย่าไปยืนอยู่หลังประกัน เพราะถ้าเค้าเกลียดประกันเค้าจะเกลียดคุณไปด้วย
๓.เวลาที่เจรจากันได้ ข้อสรุป ข้อตกลงอะไรให้ ตำรวจเขียนเป็นเอกสาร แล้วให้ทุกฝ่ายเซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ในวันนั้นเลย อย่าปล่อยให้เลยวันนั้นไป เพราะ ถ้าเป็นอีกวันหนึ่งเรื่องที่เคยคุยกันไว้จะเปลี่ยนไป
เพราะกลับบ้านไป จะโดนคนรู้จัก ของฝ่ายบาดเจ็บ ยุแยง เสื้อมให้ทำ หรือ อย่าทำ อย่างนั้นอย่างนี้
๔.การจ่ายเงิน หรือให้ความช่วยเหลืออะไรไปต้องทำเป็นเอกสารหลักฐานไว้ด้วย ทุกครั้ง จะได้ยื่นเป็นหลักฐาน
แก่ศาลเวลาที่ต้องการลดหย่อน ผ่อนโทษ
ให้บริษัทประกันจัดการแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปซะะที สถาณการณ์ท่าจะแย่ ให้ใช้วิธี
๕. ให้ พนักกงานสอบส่วน ช่วยไกล่เกลี่ยให้ เพราะว่า พนักสอบสวน(ตำรวจ) ถือว่าเป็นคนกลางที่ ผู้เสียหายจะเชื่อให้การรับฟัง
เพราะเราพูด ประกันพูด เค้าก้อไม่เชื่อเราอยู่แล้ว เพราะเรามีส่วนได้ส่วนเสียด้วย
๖. ให้พนักงานสอบสวนแยก ไกล่เกลี่ย แบบทวิภาคี(ตำรวจ-ผู้เสียหาย/ ตำรวจ-ประกัน/ ตำรวจ- ฝ่ายผิด)
เพราะ คนเราบางทีมีทิฐิ ไม่ยอมเสียหน้า พูดอะไรไปไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก้อให้จนท.ตำรวจ นี้แหล่ะ
เป็นคนเจรจา ลอบบี้ ลับหลัง(ทวิภาคี) ให้ ซึ่งผมเรื่องจบลงได้ก้อเพราะ ใช้วิธีนี้(๖) อาจจะต้องเสียค่าออกแรงเล็กๆน้อยๆของตำรวจ ให้ตำรวจ บ้างครับ
เชื่อเถอะครับ ชาวบ้านธรรมดาเนี่ยเค้า กลัวตำรวจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตำรวจพูดหรือขู่ว่าถ้าทำยังงั้น จะเป็นยังงี้ จะเสียเงินเปล่าๆ บลาๆๆๆ
อะไรเค้า ก้อเชื่อได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
แต่ยังไงซะ ก็ขอให้เน้นข้อ ๑ นะครับ ถ้าทำข้อ๑ ดี อะไรๆ มันก็จะง่ายขึ้น ครับ