นี่เป็นเรื่องราวระหว่างชายหนุ่มสามัญชนธรรมดาและเจ้าหญิงที่เคยเป็นเพื่อนเล่นในสมัยเด็ก
ย้อนไปหลายปีในสมัยที่ตัวเอกยังเป็นเด็ก ครอบครัวของเขารู้จักกับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน ไปจนถึงคนใน
ระดับราชวงศ์ ทำให้ตัวเอกในสมัยเด็กนั้นได้พบเจอกับเจ้าหญิงที่อยู่ภายในวัง ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันมาเป็นเวลานาน
โดยธรรมชาติของเด็กผู้ชายที่อยากจะทำตัวแข็งแกร่งกว่าเพศแม่ ตัวเอกพยายามที่จะปกป้องเจ้าหญิงจากการถูกเด็กคน
อื่นรังแกมาโดยตลอด และตัวเอกในสมัยเด็กได้ให้สัญญาว่าจะรับเจ้าหญิงเป็นเจ้าสาวแต่งงานกับเจ้าหญิง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ทั้งคู่ได้แยกจากกัน กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ตัวเอกลืมคำสัญญาในสมัยเด็กไปแล้ว และด้วย
ฐานะที่แตกต่างกันของทั้งสอง ตัวเอกก็ไม่ได้ใส่ใจถึงคำสัญญานั้นเท่าไหร จนกระทั่งเวลาผ่านไป20ปี
ตัวเอกได้โตเป็นชายหนุ่มแสนธรรมดาที่พยายามดิ้นรนหาทางรอดในแต่ละวัน และเจ้าหญิงที่โตเป็นสาวสวยและเป็นที่รัก
ของประชาชนทั้งหลาย ในวันหนึ่งเจ้าหญิงได้เดินทางมายังเมืองที่ตัวเอกได้อาศัยอยู่ และเจ้าหญิงได้มาเยี่ยมชมร้านที่ตัว
เอกทำงานอยู่ซึ่งทำให้ทั้งคู่ได้พบเจอกันอีกครั้ง เจ้าหญิงดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอกับเขา เธอได้ถามถึงคำสัญญาในอดีต
แต่ตัวเอกนั้นไม่ได้ใส่ใจในคำสัญญานั้นเลย เป็นเพียงเพราะผ่านในใจของตัวเอกนั้นยังคงขีดเส้นกันฐานันดรของตนและ
เจ้าหญิง เจ้าหญิงกลับไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย แต่ยังได้พยายามทำให้ตัวเอกหันมารักตัวเองให้ได้โดยไม่ได้สนใจในเรื่องที่
ตัวเอกกังวลแต่อย่างใด เมื่อเจ้าหญิงพยายามเข้าบ่อยครั้งทำให้ตัวเอกเริ่มตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ตนขีดเส้นกั้นนั้นมันจะทำ
ให้เจ้าหญิงปวดร้าว จึงเริ่มกลับใจใหม่และทั้งคู่ได้พยายามพิสูจน์ความรักให้ทุกคนได้เห็น
เรื่องราวกำลังจบลงด้วยดี โดยทั้งคู่มีความสุขกับที่ได้เป็นอยู่และตัวเอกได้ให้สัญญากับเจ้าหญิงอีกครั้งว่าจะคอยปกป้อง
เจ้าหญิงตลอดไป แต่เรื่องราวแห่งความเศร้ากำลังคืบคลานเข้ามา เมื่อเหล่าบรรดาขุนนางและราชินีได้พยายามกีดกั้นตัว
เอกออกไป และได้ให้เจ้าหญิงหมั้นกับลูกชายของขุนนางคนอื่น เจ้าหญิงไม่สามารถที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เพราะถ้าหาก
ตนไม่ยอมรับ ตัวเอกจะถูกเหล่าขุนนางและราชินีลักพาตัวไปและอาจจะถูกฆ่าได้ จึงได้ยอมรับการหมั้นครั้งนี้ และถูก
จำกัดไม่ให้ตัวเอกและเจ้าหญิงได้พบกันอีก ในคืนสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน ตัวเอกเข้าใจดีถึงเรื่องราวต่างๆและเขาก็
ยังคงรักเจ้าหญิงอยู่ตลอด เจ้าหญิงเองก็เสียใจมากที่เรื่องลงเอยเป็นเช่นนี้ เธอภาวนากับพระเจ้าว่าหากเป็นไปได้ เธอ
อยากจะเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา เพื่อที่จะได้รักกับตัวเอกได้อย่างคนทั่วไป
หลังจากงานหมั้นของเจ้าหญิง ตัวเอกได้กลับไปทำงานที่เดิมและไม่ได้พบเจอหรือติดต่อกับเจ้าหญิงอีกเลย
เวลาล่วงเลยมาหลายปี มีกระแสการต่อต้านเหล่าขุนนางและราชวงศ์ ทำให้เกิดกลุ่มเหล่าผู้ต่อต้านขึ้น และได้สร้างความ
วุ่นวายมาโดยตลอด จนกระทั่งจำนวนของเหล่าผู้ต่อต้านมีมากขึ้น ฝ่ายทหารและขุนนางเสียเปรียบ ทำให้พากันหลบหนี
ออกจากประเทศกันจนหมด เหลือเพียงราชวงศ์ที่โดนเหล่าขุนนางชักใยอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
หลังจากที่ฝ่ายต่อต้านได้บุกยึดเข้าไปถึงพระราชวัง พวกเขามีแผนที่จะจับพวกราชวงศ์ออกมาสำเร็จโทษท่ามกลาง
ประชาชนทั้งหลาย ตัวเอกที่รู้เรื่องจึงได้ไปขอร้องคนรู้จักที่เป็นผู้ใหญ่ภายในกลุ่มต่อต้าน เพื่อที่จะให้ตนเองเข้าไปอยู่กับ
กลุ่มบุกจับเจ้าหญิง เมื่อกลุ่มตัวเอกได้เข้าไปในพระราชวังและได้จับตัวเจ้าหญิงออกมา ฝ่ายต่อต้านก็เริ่มทำการประหาร
ฝ่ายราชวงศ์ไปแล้วทีละคน จนกระทั่งเหลือเพียงเจ้าหญิงเป็นคนสุดท้าย ในคืนสุดท้ายก่อนการประหาร ตัวเอกได้ขอร้อง
ให้ตนเป็นคนทำการประหารเอง และได้ลงไปในคุกเพื่อเข้าไปหาเจ้าหญิง เมื่อตัวเอกได้พบกับเจ้าหญิง เขาได้เสนอให้เจ้า
หญิงหนีไปพร้อมกับตน ออกจากประเทศนี้ไปด้วยกัน ไปอยู่ในที่ห่างไกลด้วยกัน แต่เจ้าหญิงกับห้ามไม่ให้ตัวเอกทำ
เช่นนั้น เพราะถ้าหากตัวเอกพาเจ้าหญิงหนีออกไป เขาจะโดนฝ่ายต่อต้านไล่ล่าและฆ่าตายตามเจ้าหญิงไปด้วย ตัวเอก
ได้พยายามขอร้องกับผู้ใหญ่ฝ่ายต่อต้านอย่างสุดชีวิต ให้ปล่อยเจ้าหญิงและไล่เธออกจากประเทศก็พอ ฝ่ายต่อต้านนั้นไม่
พอใจและไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆทั้งสิ้น การประหารนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะราชวงศ์ของเจ้าหญิงนั้นเป็นกาลกินีต่อ
ประเทศ การมีชีวิตอยู่ของเจ้าหญิงนั้นก็เป็นกาลกีนีเช่นกัน ตัวเอกสิ้นหวังหนทางเขาภาวนาอ้อนวอนต่อพระเจ้าและทุกๆ
สิ่งที่มีอยู่ในโลก ขอให้เจ้าหญิงนั้นต้องไม่ตาย แต่คำอ้อนวอนนั้นก็ส่งไปไม่มีวันถึง ณ เวลาของการประหาร ตัวเอกขอ
เสนอตัวเองเป็นผู้ประหารเอง บนแท่นประหารนั้นตัวเอกชวนเจ้าหญิงหนีอีกครั้งแต่ไม่ว่าจะยังไงเจ้าหญิงก็ไม่ยอมหนี
และบอกให้ตัวเอกประหารตัวเองเถอะ สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นและก็เกิดสายฝนโปรยปรายลงมายังลานประหาร บนใบหน้า
ของตัวเอกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตา ตัวเอกไม่ต้องการที่จะทำเช่นนี้ แต่หากไม่ทำคนอื่นจะต้องทำแน่ๆ ต่อให้จะ
หนีออกไปเจ้าหญิงก็ไม่ยอมหนีตาม ความคิดหลายอย่างเริ่มเข้ามาตีภายในหัวของตัวเอก น้ำตาของเขาเริ่มไหลรินลงมา
เจ้าหญิงได้จับใบหน้าของตัวเอกและเช็ดน้ำตาของเขา เธอได้พูดกับตัวเอกว่า หากได้เกิดมาอีกครั้งหนึ่ง ขอให้เราได้เกิด
มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในฐานะสามัญชนธรรมดา ตัวเอกที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งไม่สามารถทำหน้าที่ประหารเจ้าหญิง
ได้ ฝ่ายต่อต้านเริ่มทนรอไม่ไหวจึงได้เสนอให้ทำการเปลี่ยนคนประหารแทน แต่เจ้าหญิงได้ขอร้องให้ตัวเอกเป็นคนทำ
หน้าที่นี้แทน เจ้าหญิงได้ยื่นของสิ่งหนึ่งให้ตัวเอกและบอกว่า”สวมนี่ไว้สิ แค่นี้ชั้นก็ไม่รู้แล้วว่าเธอเป็นคนทำ” ตัวเอกยื่นมือ
ไปรับหน้ากากจากเจ้าหญิงและสวมมันลงบนหน้า และแล้วก็ถึงเวลาประหารเสียงแตรได้ดังขึ้น และสายฝนก็ยิ่งกระหน่
พัดแรงขึ้น ตัวเอกได้หยิบมีดและจ่อตรงหัวใจเจ้าหญิง เจ้าหญิงพูดกับตัวเอกเป็นครั้งสุดท้ายว่า “จากนี้ไป จงใช้ชีวิตต่อให้
ได้นะ” ตัวเอกออกแรงแทงมีดเข้าไปในร่างกายเจ้าหญิง น้ำตาของเขาไหลมากขึ้น ภายในจิตใจเขาก็เหมือนกับสายฝน
ในตอนนี้ที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มีดได้แทงเข้าไปจนสุดและเจ้าหญิงได้สิ้นลมหายใจ ตัวเอกร้องไห้ออกมา น้ำตาของ
เขาไหลออกมาจากหน้ากากที่เขาสวมอยู่ เหมือนกับน้ำที่ไหลตกลงมาอีกหน้าผา เขาอ้าปากตะโกนแต่ไม่มีเสียงหลุดรอด
ออกมาจากปากเขา เขาได้ล้มตัวทรุดลงและจับมือเจ้าหญิงไว้ ฝ่ายต่อต้านได้นำตัวเจ้าหญิงลงจากแท่นประหารเพื่อที่จะ
นำไปฝังในที่ที่จัดไว้ แต่ตัวเอกได้เข้าไปอุ้มเจ้าหญิงไว้และบอกว่าจะอุ้มไปเอง ในระหว่างทางที่อุ้มไปน้ำตาก็ยังไหลไม่มี
สิ้นสุด ภายในจิตใจของเขามีทั้งความเศร้า เสียใจ เคียดแค้น เมื่อเขาออกมายังประตูหน้าลานประหารที่ห้อมล้อมไปด้วย
ประชาชน เขาอุ้มเจ้าหญิงไว้มองไปยังเบื้องหน้า
“บัดนี้ ราชวงศ์ของความกาลกินีได้ล่มสลายแล้ว อิสรภาพของประชาชนทุกคนได้กลับคืนมาแล้ว!!” ตัวเอกได้ตะโกน
ประกาศคำพูดพร้อมทั้งน้ำตาในขณะที่อุ้มเจ้าหญิงอยู่ และได้เดินออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อไปยังหลุมฝังศพ
ตัวเอกได้ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ “ผู้กล้าผู้ปลดเปลื้องประชาชนด้วยการฆ่าผู้หญิงที่ตนรัก”
เมื่อถึงหลุมฝังศพ ตัวเอกได้วางเจ้าหญิงลงบนโลงและจัดท่าเจ้าหญิงเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ทำการฝังเป็นที่เรียบร้อย
แล้ว ตัวเอกได้ล้มลงตรงหลุมและร้องไห้ออกมา เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติ มีคนจำนวนหนึ่งรู้สึก
เสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่น้อย พวกเขาที่รู้เรื่องราวนี้สงสารตัวเอก ภายใต้หน้ากากที่เขาสวมอยู่ไม่มีใครเห็นหน้าตา
เขาว่าเป็นอย่างไร เห็นเพียงแต่หน้ากากที่ดวงตาเป็นสีแดงและมีน้ำตาไหลออกมาเพียงเท่านั้น
หลังจากเรื่องราวได้จบลง ตัวเอกไม่เคยถอดหน้ากากนั่นให้ผู้คนได้เห็นหน้าตาตัวเองอีกเลย จากการที่ถูกยกย่องว่าเป็นวีร
บุรุต เขาได้ทำการสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชาและปกครองประเทศนั้นอย่างโหดเหี้ยม เขาได้ทำการกวาดล้างเขาฝ่าย
ต่อต้านในอดีตไปจนหมด และได้เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นสนามรบ ภายในจิตใจเขาได้โทษเหล่าผู้คน และชะตากรรม
หลังจากการปกครองเผด็จการได้ไม่นานนัก เขาก็ถูกกลุ่มต่อต้านที่ก่อตั้งใหม่สังหารลง ในตอนสุดท้ายที่เขายังมีลม
หายใจ เขาเห็นเจ้าหญิงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ตัวเอกยิ้มและพูดว่า “ชั้นกำลังไปหา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เรื่องราวของเขาถูกจารึกไว้เป็นหนึ่งในผู้ปกครองเผด็จการที่โหดเหี้ยม แต่จะมีเพียงกี่คนกันที่รู้ว่าความรักของคู่นี้เป็นเครื่องสังเวยให้กับความต้องการอิสรภาพของประชาชนเพียงแค่นั้น...
.......................................................................................................................................................................
มันพอที่จะกลายเป็นเรื่องสั้นได้หรือเปล่าครับ
หรือว่ามันเป็นประเภทอื่น หรือเป็นแค่พล็อตเรื่องเฉยๆครับ พอดีพึ่งหัดเขียน ลองเขียนๆไว้ถ้าจะให้เป็นเรื่องสั้นต้องเป็นลักษณะยังไงครับ
บทความนี้จะถูกจัดเป็นประเภทไหนหรือครับ
ย้อนไปหลายปีในสมัยที่ตัวเอกยังเป็นเด็ก ครอบครัวของเขารู้จักกับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน ไปจนถึงคนใน
ระดับราชวงศ์ ทำให้ตัวเอกในสมัยเด็กนั้นได้พบเจอกับเจ้าหญิงที่อยู่ภายในวัง ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันมาเป็นเวลานาน
โดยธรรมชาติของเด็กผู้ชายที่อยากจะทำตัวแข็งแกร่งกว่าเพศแม่ ตัวเอกพยายามที่จะปกป้องเจ้าหญิงจากการถูกเด็กคน
อื่นรังแกมาโดยตลอด และตัวเอกในสมัยเด็กได้ให้สัญญาว่าจะรับเจ้าหญิงเป็นเจ้าสาวแต่งงานกับเจ้าหญิง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ทั้งคู่ได้แยกจากกัน กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ตัวเอกลืมคำสัญญาในสมัยเด็กไปแล้ว และด้วย
ฐานะที่แตกต่างกันของทั้งสอง ตัวเอกก็ไม่ได้ใส่ใจถึงคำสัญญานั้นเท่าไหร จนกระทั่งเวลาผ่านไป20ปี
ตัวเอกได้โตเป็นชายหนุ่มแสนธรรมดาที่พยายามดิ้นรนหาทางรอดในแต่ละวัน และเจ้าหญิงที่โตเป็นสาวสวยและเป็นที่รัก
ของประชาชนทั้งหลาย ในวันหนึ่งเจ้าหญิงได้เดินทางมายังเมืองที่ตัวเอกได้อาศัยอยู่ และเจ้าหญิงได้มาเยี่ยมชมร้านที่ตัว
เอกทำงานอยู่ซึ่งทำให้ทั้งคู่ได้พบเจอกันอีกครั้ง เจ้าหญิงดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอกับเขา เธอได้ถามถึงคำสัญญาในอดีต
แต่ตัวเอกนั้นไม่ได้ใส่ใจในคำสัญญานั้นเลย เป็นเพียงเพราะผ่านในใจของตัวเอกนั้นยังคงขีดเส้นกันฐานันดรของตนและ
เจ้าหญิง เจ้าหญิงกลับไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย แต่ยังได้พยายามทำให้ตัวเอกหันมารักตัวเองให้ได้โดยไม่ได้สนใจในเรื่องที่
ตัวเอกกังวลแต่อย่างใด เมื่อเจ้าหญิงพยายามเข้าบ่อยครั้งทำให้ตัวเอกเริ่มตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ตนขีดเส้นกั้นนั้นมันจะทำ
ให้เจ้าหญิงปวดร้าว จึงเริ่มกลับใจใหม่และทั้งคู่ได้พยายามพิสูจน์ความรักให้ทุกคนได้เห็น
เรื่องราวกำลังจบลงด้วยดี โดยทั้งคู่มีความสุขกับที่ได้เป็นอยู่และตัวเอกได้ให้สัญญากับเจ้าหญิงอีกครั้งว่าจะคอยปกป้อง
เจ้าหญิงตลอดไป แต่เรื่องราวแห่งความเศร้ากำลังคืบคลานเข้ามา เมื่อเหล่าบรรดาขุนนางและราชินีได้พยายามกีดกั้นตัว
เอกออกไป และได้ให้เจ้าหญิงหมั้นกับลูกชายของขุนนางคนอื่น เจ้าหญิงไม่สามารถที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เพราะถ้าหาก
ตนไม่ยอมรับ ตัวเอกจะถูกเหล่าขุนนางและราชินีลักพาตัวไปและอาจจะถูกฆ่าได้ จึงได้ยอมรับการหมั้นครั้งนี้ และถูก
จำกัดไม่ให้ตัวเอกและเจ้าหญิงได้พบกันอีก ในคืนสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน ตัวเอกเข้าใจดีถึงเรื่องราวต่างๆและเขาก็
ยังคงรักเจ้าหญิงอยู่ตลอด เจ้าหญิงเองก็เสียใจมากที่เรื่องลงเอยเป็นเช่นนี้ เธอภาวนากับพระเจ้าว่าหากเป็นไปได้ เธอ
อยากจะเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา เพื่อที่จะได้รักกับตัวเอกได้อย่างคนทั่วไป
หลังจากงานหมั้นของเจ้าหญิง ตัวเอกได้กลับไปทำงานที่เดิมและไม่ได้พบเจอหรือติดต่อกับเจ้าหญิงอีกเลย
เวลาล่วงเลยมาหลายปี มีกระแสการต่อต้านเหล่าขุนนางและราชวงศ์ ทำให้เกิดกลุ่มเหล่าผู้ต่อต้านขึ้น และได้สร้างความ
วุ่นวายมาโดยตลอด จนกระทั่งจำนวนของเหล่าผู้ต่อต้านมีมากขึ้น ฝ่ายทหารและขุนนางเสียเปรียบ ทำให้พากันหลบหนี
ออกจากประเทศกันจนหมด เหลือเพียงราชวงศ์ที่โดนเหล่าขุนนางชักใยอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
หลังจากที่ฝ่ายต่อต้านได้บุกยึดเข้าไปถึงพระราชวัง พวกเขามีแผนที่จะจับพวกราชวงศ์ออกมาสำเร็จโทษท่ามกลาง
ประชาชนทั้งหลาย ตัวเอกที่รู้เรื่องจึงได้ไปขอร้องคนรู้จักที่เป็นผู้ใหญ่ภายในกลุ่มต่อต้าน เพื่อที่จะให้ตนเองเข้าไปอยู่กับ
กลุ่มบุกจับเจ้าหญิง เมื่อกลุ่มตัวเอกได้เข้าไปในพระราชวังและได้จับตัวเจ้าหญิงออกมา ฝ่ายต่อต้านก็เริ่มทำการประหาร
ฝ่ายราชวงศ์ไปแล้วทีละคน จนกระทั่งเหลือเพียงเจ้าหญิงเป็นคนสุดท้าย ในคืนสุดท้ายก่อนการประหาร ตัวเอกได้ขอร้อง
ให้ตนเป็นคนทำการประหารเอง และได้ลงไปในคุกเพื่อเข้าไปหาเจ้าหญิง เมื่อตัวเอกได้พบกับเจ้าหญิง เขาได้เสนอให้เจ้า
หญิงหนีไปพร้อมกับตน ออกจากประเทศนี้ไปด้วยกัน ไปอยู่ในที่ห่างไกลด้วยกัน แต่เจ้าหญิงกับห้ามไม่ให้ตัวเอกทำ
เช่นนั้น เพราะถ้าหากตัวเอกพาเจ้าหญิงหนีออกไป เขาจะโดนฝ่ายต่อต้านไล่ล่าและฆ่าตายตามเจ้าหญิงไปด้วย ตัวเอก
ได้พยายามขอร้องกับผู้ใหญ่ฝ่ายต่อต้านอย่างสุดชีวิต ให้ปล่อยเจ้าหญิงและไล่เธออกจากประเทศก็พอ ฝ่ายต่อต้านนั้นไม่
พอใจและไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆทั้งสิ้น การประหารนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะราชวงศ์ของเจ้าหญิงนั้นเป็นกาลกินีต่อ
ประเทศ การมีชีวิตอยู่ของเจ้าหญิงนั้นก็เป็นกาลกีนีเช่นกัน ตัวเอกสิ้นหวังหนทางเขาภาวนาอ้อนวอนต่อพระเจ้าและทุกๆ
สิ่งที่มีอยู่ในโลก ขอให้เจ้าหญิงนั้นต้องไม่ตาย แต่คำอ้อนวอนนั้นก็ส่งไปไม่มีวันถึง ณ เวลาของการประหาร ตัวเอกขอ
เสนอตัวเองเป็นผู้ประหารเอง บนแท่นประหารนั้นตัวเอกชวนเจ้าหญิงหนีอีกครั้งแต่ไม่ว่าจะยังไงเจ้าหญิงก็ไม่ยอมหนี
และบอกให้ตัวเอกประหารตัวเองเถอะ สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นและก็เกิดสายฝนโปรยปรายลงมายังลานประหาร บนใบหน้า
ของตัวเอกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตา ตัวเอกไม่ต้องการที่จะทำเช่นนี้ แต่หากไม่ทำคนอื่นจะต้องทำแน่ๆ ต่อให้จะ
หนีออกไปเจ้าหญิงก็ไม่ยอมหนีตาม ความคิดหลายอย่างเริ่มเข้ามาตีภายในหัวของตัวเอก น้ำตาของเขาเริ่มไหลรินลงมา
เจ้าหญิงได้จับใบหน้าของตัวเอกและเช็ดน้ำตาของเขา เธอได้พูดกับตัวเอกว่า หากได้เกิดมาอีกครั้งหนึ่ง ขอให้เราได้เกิด
มาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในฐานะสามัญชนธรรมดา ตัวเอกที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งไม่สามารถทำหน้าที่ประหารเจ้าหญิง
ได้ ฝ่ายต่อต้านเริ่มทนรอไม่ไหวจึงได้เสนอให้ทำการเปลี่ยนคนประหารแทน แต่เจ้าหญิงได้ขอร้องให้ตัวเอกเป็นคนทำ
หน้าที่นี้แทน เจ้าหญิงได้ยื่นของสิ่งหนึ่งให้ตัวเอกและบอกว่า”สวมนี่ไว้สิ แค่นี้ชั้นก็ไม่รู้แล้วว่าเธอเป็นคนทำ” ตัวเอกยื่นมือ
ไปรับหน้ากากจากเจ้าหญิงและสวมมันลงบนหน้า และแล้วก็ถึงเวลาประหารเสียงแตรได้ดังขึ้น และสายฝนก็ยิ่งกระหน่
พัดแรงขึ้น ตัวเอกได้หยิบมีดและจ่อตรงหัวใจเจ้าหญิง เจ้าหญิงพูดกับตัวเอกเป็นครั้งสุดท้ายว่า “จากนี้ไป จงใช้ชีวิตต่อให้
ได้นะ” ตัวเอกออกแรงแทงมีดเข้าไปในร่างกายเจ้าหญิง น้ำตาของเขาไหลมากขึ้น ภายในจิตใจเขาก็เหมือนกับสายฝน
ในตอนนี้ที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มีดได้แทงเข้าไปจนสุดและเจ้าหญิงได้สิ้นลมหายใจ ตัวเอกร้องไห้ออกมา น้ำตาของ
เขาไหลออกมาจากหน้ากากที่เขาสวมอยู่ เหมือนกับน้ำที่ไหลตกลงมาอีกหน้าผา เขาอ้าปากตะโกนแต่ไม่มีเสียงหลุดรอด
ออกมาจากปากเขา เขาได้ล้มตัวทรุดลงและจับมือเจ้าหญิงไว้ ฝ่ายต่อต้านได้นำตัวเจ้าหญิงลงจากแท่นประหารเพื่อที่จะ
นำไปฝังในที่ที่จัดไว้ แต่ตัวเอกได้เข้าไปอุ้มเจ้าหญิงไว้และบอกว่าจะอุ้มไปเอง ในระหว่างทางที่อุ้มไปน้ำตาก็ยังไหลไม่มี
สิ้นสุด ภายในจิตใจของเขามีทั้งความเศร้า เสียใจ เคียดแค้น เมื่อเขาออกมายังประตูหน้าลานประหารที่ห้อมล้อมไปด้วย
ประชาชน เขาอุ้มเจ้าหญิงไว้มองไปยังเบื้องหน้า
“บัดนี้ ราชวงศ์ของความกาลกินีได้ล่มสลายแล้ว อิสรภาพของประชาชนทุกคนได้กลับคืนมาแล้ว!!” ตัวเอกได้ตะโกน
ประกาศคำพูดพร้อมทั้งน้ำตาในขณะที่อุ้มเจ้าหญิงอยู่ และได้เดินออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อไปยังหลุมฝังศพ
ตัวเอกได้ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ “ผู้กล้าผู้ปลดเปลื้องประชาชนด้วยการฆ่าผู้หญิงที่ตนรัก”
เมื่อถึงหลุมฝังศพ ตัวเอกได้วางเจ้าหญิงลงบนโลงและจัดท่าเจ้าหญิงเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ทำการฝังเป็นที่เรียบร้อย
แล้ว ตัวเอกได้ล้มลงตรงหลุมและร้องไห้ออกมา เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติ มีคนจำนวนหนึ่งรู้สึก
เสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่น้อย พวกเขาที่รู้เรื่องราวนี้สงสารตัวเอก ภายใต้หน้ากากที่เขาสวมอยู่ไม่มีใครเห็นหน้าตา
เขาว่าเป็นอย่างไร เห็นเพียงแต่หน้ากากที่ดวงตาเป็นสีแดงและมีน้ำตาไหลออกมาเพียงเท่านั้น
หลังจากเรื่องราวได้จบลง ตัวเอกไม่เคยถอดหน้ากากนั่นให้ผู้คนได้เห็นหน้าตาตัวเองอีกเลย จากการที่ถูกยกย่องว่าเป็นวีร
บุรุต เขาได้ทำการสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชาและปกครองประเทศนั้นอย่างโหดเหี้ยม เขาได้ทำการกวาดล้างเขาฝ่าย
ต่อต้านในอดีตไปจนหมด และได้เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นสนามรบ ภายในจิตใจเขาได้โทษเหล่าผู้คน และชะตากรรม
หลังจากการปกครองเผด็จการได้ไม่นานนัก เขาก็ถูกกลุ่มต่อต้านที่ก่อตั้งใหม่สังหารลง ในตอนสุดท้ายที่เขายังมีลม
หายใจ เขาเห็นเจ้าหญิงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ตัวเอกยิ้มและพูดว่า “ชั้นกำลังไปหา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
เรื่องราวของเขาถูกจารึกไว้เป็นหนึ่งในผู้ปกครองเผด็จการที่โหดเหี้ยม แต่จะมีเพียงกี่คนกันที่รู้ว่าความรักของคู่นี้เป็นเครื่องสังเวยให้กับความต้องการอิสรภาพของประชาชนเพียงแค่นั้น...
.......................................................................................................................................................................
มันพอที่จะกลายเป็นเรื่องสั้นได้หรือเปล่าครับ
หรือว่ามันเป็นประเภทอื่น หรือเป็นแค่พล็อตเรื่องเฉยๆครับ พอดีพึ่งหัดเขียน ลองเขียนๆไว้ถ้าจะให้เป็นเรื่องสั้นต้องเป็นลักษณะยังไงครับ