#ผ่านไปแล้ว
เรายืนอยู่อีกฝั่งนึงของกำแพงซึ่งสูงมาก และไม่กล้าข้ามไป แต่คนอีกฝั่งบอกว่า ไม่เป็นไรนะ ข้ามมาสิ เราจะรอรับเธอเอง เราจึงปีนข้ามไป แต่พอเราข้ามไปถึงสันกำแพง
ก็พบว่าเค้าก็บอกให้อีกคนข้ามมาเหมือนกัน เขาบอกเราทั้งคู่ให้ลองกระโดดลงมา
เราจึงตัดสินใจที่จะลองกระโดดลงไป แต่เค้ากลับไม่รับเรา วิ่งไปรับอีกคนที่กระโดดลงมาพร้อมกัน
แต่โชคยังดี ที่เราเอื้อมอีกข้างไปจับกำแพงไว้ทัน มันทำให้เราเจ็บมือมาก และทำให้มือของเราเป็นแผล
แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องปีนกลับขึ้นไปบนสันกำแพง ขี้นมานั่งทำแผลของเราเอง
เรามองลงไปข้างล่างกำแพงที่น่ากลัวนั่นอีกครั้ง และเห็นเค้าทั้งคู่เดินไปด้วยกัน และหายลับไปจากสายตา
เราเริ่มมองออกไปและเห็นคนอีกคนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างล่างกำแพงนั้น
ตัวของคนนั้นมีหมอกปกคลุมไปทั่ว ทำให้เรามองเห็นเค้าไม่ชัด
เค้าทำแค่เดินผ่านไปและผ่านมา ไม่ได้สนใจใคร ไม่ได้สนใจเรา เราเลยตัดสินใจที่จะตะโกนเรียกเค้า
แล้วเค้าก็หันมา แต่เค้าไม่เคยบอกให้เราลงไปจากกำแพงนั้นเลย
เค้าจะมานั่งคุยกับเราทุกวัน แต่จะมาก็ต่อเมื่อเราเรียกเค้าเท่าทั้น บางครั้งเค้าก็ชวนเราคุย บางครั้งเค้าก็ไม่สนใจเรา
เราคุยกันทุกวันเป็นเวลา 16 วัน เราเริ่มลังเลในความรู้สึก ว่าตกลงเราต้องการอะไรจากคนแปลกหน้าคนนี้กันแน่
แต่เราก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เค้าก็เริ่มสนใจเราน้อยลง แต่ความสนิทที่มีให้กันมันยังคงเพิ่มขึ้น
เค้าก็ยังคงไม่เคยเรียกให้เราลงจากกำแพงนั้น
เราเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากลงจากกำแพงนั้น เพื่อไปหาเค้า แต่เค้าก็ยังเฉย
เราเริ่มคิดที่จะปีนกำแพงนั้นลงไปเอง แต่ความกลัวยังคงอยู่ และแผลจากคราวที่แล้วก็ยังคงเป็นแผลสดอยู่
พอเราเริ่มจะปีนลงไป เราก็เจ็บแผลที่มืออีกครั้ง ความกลัวจากครั้งก่อนก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เราหันลงไปมองคนข้างล่างอีกครั้ง เค้ายังคงอยู่ในหมอกที่ไม่ชัดเจน เรายังคงไม่สามารถมองเห็นเค้าได้ชัด
ไม่รู้ว่าเค้ามีหน้าตาเป็นยังไงกันนะ บุคคลที่อยู่ภายใต้หมอกจางๆนั้น
ถ้าเราลงไป มองเห็นเค้าชัดๆ เราจะยอมรับคนในหมอกนั้นได้ แล้วคนในหมอกนั้น จะอยู่กับเราจนเราลงไปถึงไหม ตอบไม่ได้เลย
เรายังคงนั่งอยู่บนกำแพงนั้น และเริ่มลังเล คนต่างๆ จากอีกฝั่งนึงของกำแพง ก่อนที่เราจะมาอยู่บนสันกำแพงก็ตะโกนขึ้นมาหาเรา
บอกให้ลองอีกสักครั้งสิ ถ้าเราไม่ลงไปจากกำแพง เราจะรู้ได้ยังไง ว่าคนในหมอกเค้าเป็นยังไง แล้วเค้าจะยังคงอยู่ไหม ถ้าเราไม่ลองแล้วเราจะรู้ไหม
เราเองเป็นคนสร้างกำแพงนี้ขึ้นมา แล้วทำไมเราต้องกลัวกำแพงนี้ด้วยล่ะ ส่วนตัวเราที่นั่งอยู่ข้างบนนี้ก็ได้แต่มองลงไป และก็มองเห็นว่า จริงๆแล้วกำแพงที่เรานั่งอยู่นี้มันไม่มีจริง มันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เราคิดขึ้นมาเอง แค่เราลบมันออกไป ทำไมเราจะต้องกลัวเจ็บ ทำไมเราจะต้องกลัวนู่นนี่นั่น เรากำลังแคร์อะไรที่ไม่รู้ว่ามีจริงไหม
แค่เราลบกำแพงนั้นออกไป เราก็จะได้เจอกับอะไรใหม่ๆ หรือสิ่งที่เรารอคอย
แต่เสียงเล็กๆนึงในใจก็ร้องออกมาว่า อย่าพึ่งลบกำแพงนั้นเลยดีกว่านะ ถ้าเธอลบมันออกไปแล้วพบความจริง เธอจะทำยังไงล่ะ แต่ความคิดใหม่ที่เข้ามาก็ยังคงขัดแย้งกัน กำแพงนี้มันอาจจะมีจริงๆก็ได้นะ ถ้าเธฮตกลงไป แล้วคราวนี้ใครจะช่วยเธอล่ะ ...
มันคือทางเลือกอีกครั้ง เลือกที่จะลบกำแพงนี้ออกไป หรือจะนั่งอยู่บนกำแพงนี้ แล้วคอยตะโกนเรียกคนในหมอกนั้นเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าเค้าจะขึ้นมารับเราลงไป
ต้องรออีกนานแค่ไหนกัน?... กว่าจะถึงวันนั้น
#เขียนงงๆ มันเป็นความรู้สึกที่เราเจอตอนนี้ แล้วเลยเรียงออกมาเป็นคำพูด อาจดูน่ารำคาญ ก็ปล่อยผ่านไปนะคะ
กำแพง
ก็พบว่าเค้าก็บอกให้อีกคนข้ามมาเหมือนกัน เขาบอกเราทั้งคู่ให้ลองกระโดดลงมา
เราจึงตัดสินใจที่จะลองกระโดดลงไป แต่เค้ากลับไม่รับเรา วิ่งไปรับอีกคนที่กระโดดลงมาพร้อมกัน
แต่โชคยังดี ที่เราเอื้อมอีกข้างไปจับกำแพงไว้ทัน มันทำให้เราเจ็บมือมาก และทำให้มือของเราเป็นแผล
แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องปีนกลับขึ้นไปบนสันกำแพง ขี้นมานั่งทำแผลของเราเอง
เรามองลงไปข้างล่างกำแพงที่น่ากลัวนั่นอีกครั้ง และเห็นเค้าทั้งคู่เดินไปด้วยกัน และหายลับไปจากสายตา
เราเริ่มมองออกไปและเห็นคนอีกคนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างล่างกำแพงนั้น
ตัวของคนนั้นมีหมอกปกคลุมไปทั่ว ทำให้เรามองเห็นเค้าไม่ชัด
เค้าทำแค่เดินผ่านไปและผ่านมา ไม่ได้สนใจใคร ไม่ได้สนใจเรา เราเลยตัดสินใจที่จะตะโกนเรียกเค้า
แล้วเค้าก็หันมา แต่เค้าไม่เคยบอกให้เราลงไปจากกำแพงนั้นเลย
เค้าจะมานั่งคุยกับเราทุกวัน แต่จะมาก็ต่อเมื่อเราเรียกเค้าเท่าทั้น บางครั้งเค้าก็ชวนเราคุย บางครั้งเค้าก็ไม่สนใจเรา
เราคุยกันทุกวันเป็นเวลา 16 วัน เราเริ่มลังเลในความรู้สึก ว่าตกลงเราต้องการอะไรจากคนแปลกหน้าคนนี้กันแน่
แต่เราก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เค้าก็เริ่มสนใจเราน้อยลง แต่ความสนิทที่มีให้กันมันยังคงเพิ่มขึ้น
เค้าก็ยังคงไม่เคยเรียกให้เราลงจากกำแพงนั้น
เราเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากลงจากกำแพงนั้น เพื่อไปหาเค้า แต่เค้าก็ยังเฉย
เราเริ่มคิดที่จะปีนกำแพงนั้นลงไปเอง แต่ความกลัวยังคงอยู่ และแผลจากคราวที่แล้วก็ยังคงเป็นแผลสดอยู่
พอเราเริ่มจะปีนลงไป เราก็เจ็บแผลที่มืออีกครั้ง ความกลัวจากครั้งก่อนก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เราหันลงไปมองคนข้างล่างอีกครั้ง เค้ายังคงอยู่ในหมอกที่ไม่ชัดเจน เรายังคงไม่สามารถมองเห็นเค้าได้ชัด
ไม่รู้ว่าเค้ามีหน้าตาเป็นยังไงกันนะ บุคคลที่อยู่ภายใต้หมอกจางๆนั้น
ถ้าเราลงไป มองเห็นเค้าชัดๆ เราจะยอมรับคนในหมอกนั้นได้ แล้วคนในหมอกนั้น จะอยู่กับเราจนเราลงไปถึงไหม ตอบไม่ได้เลย
เรายังคงนั่งอยู่บนกำแพงนั้น และเริ่มลังเล คนต่างๆ จากอีกฝั่งนึงของกำแพง ก่อนที่เราจะมาอยู่บนสันกำแพงก็ตะโกนขึ้นมาหาเรา
บอกให้ลองอีกสักครั้งสิ ถ้าเราไม่ลงไปจากกำแพง เราจะรู้ได้ยังไง ว่าคนในหมอกเค้าเป็นยังไง แล้วเค้าจะยังคงอยู่ไหม ถ้าเราไม่ลองแล้วเราจะรู้ไหม
เราเองเป็นคนสร้างกำแพงนี้ขึ้นมา แล้วทำไมเราต้องกลัวกำแพงนี้ด้วยล่ะ ส่วนตัวเราที่นั่งอยู่ข้างบนนี้ก็ได้แต่มองลงไป และก็มองเห็นว่า จริงๆแล้วกำแพงที่เรานั่งอยู่นี้มันไม่มีจริง มันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เราคิดขึ้นมาเอง แค่เราลบมันออกไป ทำไมเราจะต้องกลัวเจ็บ ทำไมเราจะต้องกลัวนู่นนี่นั่น เรากำลังแคร์อะไรที่ไม่รู้ว่ามีจริงไหม
แค่เราลบกำแพงนั้นออกไป เราก็จะได้เจอกับอะไรใหม่ๆ หรือสิ่งที่เรารอคอย
แต่เสียงเล็กๆนึงในใจก็ร้องออกมาว่า อย่าพึ่งลบกำแพงนั้นเลยดีกว่านะ ถ้าเธอลบมันออกไปแล้วพบความจริง เธอจะทำยังไงล่ะ แต่ความคิดใหม่ที่เข้ามาก็ยังคงขัดแย้งกัน กำแพงนี้มันอาจจะมีจริงๆก็ได้นะ ถ้าเธฮตกลงไป แล้วคราวนี้ใครจะช่วยเธอล่ะ ...
มันคือทางเลือกอีกครั้ง เลือกที่จะลบกำแพงนี้ออกไป หรือจะนั่งอยู่บนกำแพงนี้ แล้วคอยตะโกนเรียกคนในหมอกนั้นเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าเค้าจะขึ้นมารับเราลงไป
ต้องรออีกนานแค่ไหนกัน?... กว่าจะถึงวันนั้น
#เขียนงงๆ มันเป็นความรู้สึกที่เราเจอตอนนี้ แล้วเลยเรียงออกมาเป็นคำพูด อาจดูน่ารำคาญ ก็ปล่อยผ่านไปนะคะ