AMY (2015) Directed by Asif Kapadia
ปกติคิดว่าหนังสารคดีเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆ แต่เมื่อต้นปีได้มีโอกาสไปดู Citizenfour แล้วคิดว่ามันก็มีสเน่ห์บางอย่างที่แปลกใหม่ออกไปดี บวกกับความที่เป็นแฟนเพลงตัวยงของ Amy Winehouse คนนึงด้วยเลยตัดสินใจไปดูเรื่องนี้ก่อนที่จะหมดรอบฉายไป(เกือบสัปดาห์สุดท้ายเลยแน่ะ!)
หนังเปิดเรื่องด้วยฟุตเตจภาพเอมี่สมัยวัยรุ่นร้องเพลง Happy Birthday ให้กับเพื่อนเธอแบบสดๆ ซึ่งนอกจากเสียงจะมีเอกลักษณ์ทรงพลังแล้ว ยังมีการดัดแปลงทำนองใหม่เล็กๆน้อยๆซึ่งทำให้เรารู้ตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยว่าเธอคนนี้เป็นคนที่มีของจริงๆ
Amy เป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลง เสียงของเธอมีเอกลักษณ์และโดดเด่นอย่างหาตัวจับได้ยาก เธอรักในดนตรี และมีความสามารถทางด้านดนตรี การเรียบเรียง การแต่งเพลงมาก แม้ว่าจะมีปัญหาทางบ้านหรือเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน แต่เธอก็ระบายออกมาได้ด้วยการทำออกมาเป็นงานดนตรี ซึ่งแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังยอมรับว่าโชคดีที่สามารถใช้งานดนตรีช่วยเหลือปลอบประโลมตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้
หนังรวบรวมเสียงการให้สัมภาษณ์ของคนใกล้ชิดรอบข้างเอมี่หลายคน อย่างเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ผู้จัดการส่วนตัว พ่อ แม่ แฟนหนุ่ม ฯลฯ โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏตัวมาพูดเหมือนรายการเรียลลิตี้ แต่ใช้เสียงบรรยายเหล่านั้นควบคู่ไปกับฟุตเตจต่างๆ ไล่มาตั้งแต่ช่วงเวลาที่เอมี่ร่วมร้องเพลงในงาน National youth jazz orchestra และเข้าตาแมวมองค่ายเพลงซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนนึงของเธอในภายหลัง การแนะนำตัวกับค่ายดนตรี ช่วงเวลาที่เริ่มทำงานเพลงอัลบั้มแรก ที่เอมี่ได้เล่าไว้กับทีมที่ทำงานเพลงด้วยกันว่าความฝันของเธอคือการได้ทำงานเพลงตามใจชอบและการได้แสดงคอนเสิร์ตแจ๊สกับคนดูกลุ่มเล็กๆ ซึ่งงานเพลงในอัลบั้มแรกอย่าง Frank ก็ทำให้เธอได้สิ่งที่หวัง รวมถึงชื่อเสียงที่ค่อยๆเพิ่มพูนจนมาโด่งดังสุดขีดในอัลบั้มชุดที่สอง Back to basic ไปจนถึงการได้รับรางวัล Grammy Awards ก่อนที่จะถูกปัญหาชีวิตรุมเร้าจิตใจหลายด้านจนเสียชีวิตลงด้วยวัย 27 ปีจากการเสพยาเกินขนาด

หนังสนุกตรงที่หลายๆข่าว เหตุการณ์หลายๆช่วงมันเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้ว เราอาจจะเคยดูรายการบันเทิงหรือเล่นเวปบอร์ดอะไรสักอย่างแล้วก็มีคนเอาเรื่องราวเหล่านี้มานำเสนอให้เราดู และเราก็ไม่ได้สนใจมากนัก คือดูแบบผ่านๆแล้วก็อาจจะแบบว่า เออ...ยัยคนนี้เอาอีกแล้วนะ ผมเชื่อว่าแม้แต่แฟนเพลงตัวยงของเอมี่ ตอนที่ได้เห็นข่าววีรกรรมต่างๆก็น่าจะคิดไม่ต่างไปจากนี้มากนัก(ถึงจะเอาใจช่วยให้ทำงานเพลงใหม่ๆออกมาได้สำเร็จก็ตาม) เพราะเอมี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องการเอาแต่ใจ นิสัยตรงไปตรงมาอย่างรุนแรง ความเป็นตัวของตัวเองจนเข้าใจยาก ความอาร์ตในการใช้ชีวิตที่มีมากพอๆกับงานเพลง และการหลงมัวเมากับยาเสพติด รวมถึงความรักอย่างลุ่มหลงกับชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่นัก แต่พอมันถูกนำมาเรียบเรียงเป็นหนังเรื่องหนึ่งโดยเพิ่มภาพที่มาจากชีวิตส่วนตัวนอกเวทีของเอมี่ลงไป ประกอบกับการนำเนื้อเพลงต่างๆที่เขียนมาจากความคิดและความรู้สึกของเธอมาประกอบในช่วงเวลาต่างๆให้เราได้เห็นว่ามันมีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์แบบไหนแล้ว มันกลับทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งต่างๆที่เธอต้องพบเจอ
งานเพลงที่เธอรักนำมาซึ่งชื่อเสียง การกลายเป็นคนดังกลับกลายเป็นคนที่ถูกจับตามอง คนที่เข้ามาหามีทั้งหวังผลประโยชน์และจริงใจ ช่วงเวลาที่ดีของเธอมีอยู่มาก อย่างช่วงเวลาที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ที่เราได้เห็นภาพที่เธอตื่นเต้นและน่ารักอย่างสุดชีวิต การได้ร้องเพลงร่วมกับไอดอลทางงานเพลงของเธออย่าง Tony Bennett ที่เธอแสดงถึงความเคารพและความปลาบปลื้มอย่างเต็มที่ แต่ช่วงเวลาที่เลวร้ายก็มีมากพอกัน และที่แย่ที่สุดคือสุดท้ายแล้วงานเพลงที่เธอรักกลับนำมายังการหาผลประโยชน์จนกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเธอมากที่สุด

ซีนที่แสดงให้เห็นถึงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่เซอเบียร์ที่เธอยืนเบลอไม่ร้องเพลงบนเวที ที่เราอาจจะเคยเห็นข่าวแล้วคิดว่า เอมี่คงต้องเสพยามาหนักเกินขนาดมากแน่ๆถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน กลับกลายเป็นซีนที่เศร้าที่สุดในหนังในตอนที่เราเข้าใจแล้วว่าเธอต้องเจอกับอะไรมาก่อนหน้านั้น และมันร้ายแรงขนาดไหนถึงทำให้คนๆนึงที่รักการร้องเพลงกลับเลือกจบชีวิตในวงการดนตรีด้วยการไม่ร้องเพลงใดๆเลยบนเวทีของตัวเอง ภาพเอมี่เดินวนเวียนไปมาบนเวทีที่ดูขบขันและน่าล้อเลียนเมื่อตอนออกสื่อ กลับกลายเป็นภาพที่น่ารันทดมากเท่าที่เคยเห็นมาภาพหนึ่งในชีวิตเลย และมันน่าเศร้าตรงที่ภาพนั้นมันไม่ใช่หนัง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนๆนึง ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ
และแม้ว่าจุดจบของเธอจะไม่ได้น่าชื่นชมนัก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเห็นใจและเศร้าตามไปด้วย คือแน่นอน เราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องถูกต้อง สิ่งต่างๆที่เธอทำบางครั้งมันเป็นการทำตัวเองจากความอ่อนแอในการใช้ชีวิต แต่มองให้ลึกลงไปแล้วมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ มันเชื่อมถึงได้ และมันก็เหมือนทุกอย่างบนโลกคือมันไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดเอง แต่มันมาจากสิ่งละอันพันละน้อยที่รุมล้อมรอบตัวเธอทั้งดีและร้ายตั้งแต่ตอนเด็ก ตอนที่เติบโต ตอนที่ค่อยๆมีชื่อเสียงจนกลายเป็นไอคอนของวงการเพลงที่คนรู้จัก ซึ่งน่าเสียดายที่สิ่งที่เลวร้ายและทำลายจิตใจของเธอกลับมีมากกว่าสิ่งที่ช่วยเติมเต็มจิตใจ โรคร้ายที่มาจากความอ่อนแอทางจิต ความใจร้อนในการใช้ชีวิต แสงแฟลชจากกล้องนักข่าวที่ทำให้สติพร่ามัว แสงไฟสปอร์ตไลท์เจิดจ้าจากการถูกจับตามองอาจเป็นสิ่งที่รุมเร้าใจมากเกินไป ทำให้ในที่สุดแล้วเอมี่จึงหวนกลับคืนสู่ความมืดไปตลอดกาลอย่างเช่นที่เธอเคยเขียนไว้ในเพลงจริงๆ

ส่วนตัวคิดว่าหนังจะดูสนุกมากที่สุดถ้าเป็นแฟนเพลงของเอมี่ เคยเห็นเธอในช่วงเวลาต่างๆในวงการเพลงและรู้จักคนที่ทำงานร่วมกับเธอในระดับหนึ่ง เพราะจะทำให้เราสนุกกับการปรากฏตัวของบุคคลนั้นๆหรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆในหนัง แต่คิดว่าถึงเป็นคนที่ไม่รู้จักเลย หรือได้ยินเพลงมาบ้างเล็กๆน้อยๆก็น่าจะอินได้ไม่ยาก เพราะผู้กำกับตัดต่อและเรียบเรียงเรื่องราวได้เข้าใจง่าย และมีเพลงเพราะๆประกอบไปด้วยในหลายๆช่วง ถ้าไม่คิดว่าหนังสารคดีเป็นอะไรที่ดูยากก็อยากให้ลองไปดูกันนะครับ
เกรด A
ป.ล. ประทับใจกับจังหวะที่เอาเพลง Valerie มาใส่มากจนทำให้น้ำตาซึมเลย คือตอนแรกเข้าใจว่าน่าจะไม่ได้นำเพลงนี้มาใช้ในหนังแล้ว เนื่องจากช่วงเวลาที่เพลงนี้ถูกเขียนขึ้น มันผ่านไปจากช่วงเวลาที่น่าจะปรากฏในหนังแล้ว(ต่างจากเพลงอื่นๆที่จะมาในช่วงเวลาที่เพลงนั้นมีความเกี่ยวข้อง) แต่ผู้กำกับกลับเก็บเพลงนี้ไว้เปิดตอน End Credit คลอไปกับภาพที่สดใสในช่วงเวลาต่างๆของเอมี่แทน ซึ่งสำหรับคนดูอย่างผมที่กำลังเศร้ากับตอนจบของหนังอยู่ มันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆนะครับ
ป.ล.2 หนังฉายถึงวันที่ 23 นี้นะครับ ถ้ามีเวลาก็อยากให้ไปดูกัน เพลงเพราะ เรื่องราวดี คุ้มแน่นอนครับ คอนเฟิร์ม!!
รีวิวก่อนรอบฉายจะหมดไป : AMY (2015) เพราะเป็นเรื่องจริงเลยยิ่งเจ็บปวด
AMY (2015) Directed by Asif Kapadia
ปกติคิดว่าหนังสารคดีเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆ แต่เมื่อต้นปีได้มีโอกาสไปดู Citizenfour แล้วคิดว่ามันก็มีสเน่ห์บางอย่างที่แปลกใหม่ออกไปดี บวกกับความที่เป็นแฟนเพลงตัวยงของ Amy Winehouse คนนึงด้วยเลยตัดสินใจไปดูเรื่องนี้ก่อนที่จะหมดรอบฉายไป(เกือบสัปดาห์สุดท้ายเลยแน่ะ!)
หนังเปิดเรื่องด้วยฟุตเตจภาพเอมี่สมัยวัยรุ่นร้องเพลง Happy Birthday ให้กับเพื่อนเธอแบบสดๆ ซึ่งนอกจากเสียงจะมีเอกลักษณ์ทรงพลังแล้ว ยังมีการดัดแปลงทำนองใหม่เล็กๆน้อยๆซึ่งทำให้เรารู้ตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยว่าเธอคนนี้เป็นคนที่มีของจริงๆ
Amy เป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลง เสียงของเธอมีเอกลักษณ์และโดดเด่นอย่างหาตัวจับได้ยาก เธอรักในดนตรี และมีความสามารถทางด้านดนตรี การเรียบเรียง การแต่งเพลงมาก แม้ว่าจะมีปัญหาทางบ้านหรือเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน แต่เธอก็ระบายออกมาได้ด้วยการทำออกมาเป็นงานดนตรี ซึ่งแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังยอมรับว่าโชคดีที่สามารถใช้งานดนตรีช่วยเหลือปลอบประโลมตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้
หนังรวบรวมเสียงการให้สัมภาษณ์ของคนใกล้ชิดรอบข้างเอมี่หลายคน อย่างเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ผู้จัดการส่วนตัว พ่อ แม่ แฟนหนุ่ม ฯลฯ โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏตัวมาพูดเหมือนรายการเรียลลิตี้ แต่ใช้เสียงบรรยายเหล่านั้นควบคู่ไปกับฟุตเตจต่างๆ ไล่มาตั้งแต่ช่วงเวลาที่เอมี่ร่วมร้องเพลงในงาน National youth jazz orchestra และเข้าตาแมวมองค่ายเพลงซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนนึงของเธอในภายหลัง การแนะนำตัวกับค่ายดนตรี ช่วงเวลาที่เริ่มทำงานเพลงอัลบั้มแรก ที่เอมี่ได้เล่าไว้กับทีมที่ทำงานเพลงด้วยกันว่าความฝันของเธอคือการได้ทำงานเพลงตามใจชอบและการได้แสดงคอนเสิร์ตแจ๊สกับคนดูกลุ่มเล็กๆ ซึ่งงานเพลงในอัลบั้มแรกอย่าง Frank ก็ทำให้เธอได้สิ่งที่หวัง รวมถึงชื่อเสียงที่ค่อยๆเพิ่มพูนจนมาโด่งดังสุดขีดในอัลบั้มชุดที่สอง Back to basic ไปจนถึงการได้รับรางวัล Grammy Awards ก่อนที่จะถูกปัญหาชีวิตรุมเร้าจิตใจหลายด้านจนเสียชีวิตลงด้วยวัย 27 ปีจากการเสพยาเกินขนาด
หนังสนุกตรงที่หลายๆข่าว เหตุการณ์หลายๆช่วงมันเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้ว เราอาจจะเคยดูรายการบันเทิงหรือเล่นเวปบอร์ดอะไรสักอย่างแล้วก็มีคนเอาเรื่องราวเหล่านี้มานำเสนอให้เราดู และเราก็ไม่ได้สนใจมากนัก คือดูแบบผ่านๆแล้วก็อาจจะแบบว่า เออ...ยัยคนนี้เอาอีกแล้วนะ ผมเชื่อว่าแม้แต่แฟนเพลงตัวยงของเอมี่ ตอนที่ได้เห็นข่าววีรกรรมต่างๆก็น่าจะคิดไม่ต่างไปจากนี้มากนัก(ถึงจะเอาใจช่วยให้ทำงานเพลงใหม่ๆออกมาได้สำเร็จก็ตาม) เพราะเอมี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องการเอาแต่ใจ นิสัยตรงไปตรงมาอย่างรุนแรง ความเป็นตัวของตัวเองจนเข้าใจยาก ความอาร์ตในการใช้ชีวิตที่มีมากพอๆกับงานเพลง และการหลงมัวเมากับยาเสพติด รวมถึงความรักอย่างลุ่มหลงกับชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่นัก แต่พอมันถูกนำมาเรียบเรียงเป็นหนังเรื่องหนึ่งโดยเพิ่มภาพที่มาจากชีวิตส่วนตัวนอกเวทีของเอมี่ลงไป ประกอบกับการนำเนื้อเพลงต่างๆที่เขียนมาจากความคิดและความรู้สึกของเธอมาประกอบในช่วงเวลาต่างๆให้เราได้เห็นว่ามันมีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์แบบไหนแล้ว มันกลับทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งต่างๆที่เธอต้องพบเจอ
งานเพลงที่เธอรักนำมาซึ่งชื่อเสียง การกลายเป็นคนดังกลับกลายเป็นคนที่ถูกจับตามอง คนที่เข้ามาหามีทั้งหวังผลประโยชน์และจริงใจ ช่วงเวลาที่ดีของเธอมีอยู่มาก อย่างช่วงเวลาที่ได้รับรางวัลแกรมมี่ที่เราได้เห็นภาพที่เธอตื่นเต้นและน่ารักอย่างสุดชีวิต การได้ร้องเพลงร่วมกับไอดอลทางงานเพลงของเธออย่าง Tony Bennett ที่เธอแสดงถึงความเคารพและความปลาบปลื้มอย่างเต็มที่ แต่ช่วงเวลาที่เลวร้ายก็มีมากพอกัน และที่แย่ที่สุดคือสุดท้ายแล้วงานเพลงที่เธอรักกลับนำมายังการหาผลประโยชน์จนกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเธอมากที่สุด
ซีนที่แสดงให้เห็นถึงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่เซอเบียร์ที่เธอยืนเบลอไม่ร้องเพลงบนเวที ที่เราอาจจะเคยเห็นข่าวแล้วคิดว่า เอมี่คงต้องเสพยามาหนักเกินขนาดมากแน่ๆถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน กลับกลายเป็นซีนที่เศร้าที่สุดในหนังในตอนที่เราเข้าใจแล้วว่าเธอต้องเจอกับอะไรมาก่อนหน้านั้น และมันร้ายแรงขนาดไหนถึงทำให้คนๆนึงที่รักการร้องเพลงกลับเลือกจบชีวิตในวงการดนตรีด้วยการไม่ร้องเพลงใดๆเลยบนเวทีของตัวเอง ภาพเอมี่เดินวนเวียนไปมาบนเวทีที่ดูขบขันและน่าล้อเลียนเมื่อตอนออกสื่อ กลับกลายเป็นภาพที่น่ารันทดมากเท่าที่เคยเห็นมาภาพหนึ่งในชีวิตเลย และมันน่าเศร้าตรงที่ภาพนั้นมันไม่ใช่หนัง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนๆนึง ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ
และแม้ว่าจุดจบของเธอจะไม่ได้น่าชื่นชมนัก แต่ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเห็นใจและเศร้าตามไปด้วย คือแน่นอน เราอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องถูกต้อง สิ่งต่างๆที่เธอทำบางครั้งมันเป็นการทำตัวเองจากความอ่อนแอในการใช้ชีวิต แต่มองให้ลึกลงไปแล้วมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ มันเชื่อมถึงได้ และมันก็เหมือนทุกอย่างบนโลกคือมันไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดเอง แต่มันมาจากสิ่งละอันพันละน้อยที่รุมล้อมรอบตัวเธอทั้งดีและร้ายตั้งแต่ตอนเด็ก ตอนที่เติบโต ตอนที่ค่อยๆมีชื่อเสียงจนกลายเป็นไอคอนของวงการเพลงที่คนรู้จัก ซึ่งน่าเสียดายที่สิ่งที่เลวร้ายและทำลายจิตใจของเธอกลับมีมากกว่าสิ่งที่ช่วยเติมเต็มจิตใจ โรคร้ายที่มาจากความอ่อนแอทางจิต ความใจร้อนในการใช้ชีวิต แสงแฟลชจากกล้องนักข่าวที่ทำให้สติพร่ามัว แสงไฟสปอร์ตไลท์เจิดจ้าจากการถูกจับตามองอาจเป็นสิ่งที่รุมเร้าใจมากเกินไป ทำให้ในที่สุดแล้วเอมี่จึงหวนกลับคืนสู่ความมืดไปตลอดกาลอย่างเช่นที่เธอเคยเขียนไว้ในเพลงจริงๆ
ส่วนตัวคิดว่าหนังจะดูสนุกมากที่สุดถ้าเป็นแฟนเพลงของเอมี่ เคยเห็นเธอในช่วงเวลาต่างๆในวงการเพลงและรู้จักคนที่ทำงานร่วมกับเธอในระดับหนึ่ง เพราะจะทำให้เราสนุกกับการปรากฏตัวของบุคคลนั้นๆหรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆในหนัง แต่คิดว่าถึงเป็นคนที่ไม่รู้จักเลย หรือได้ยินเพลงมาบ้างเล็กๆน้อยๆก็น่าจะอินได้ไม่ยาก เพราะผู้กำกับตัดต่อและเรียบเรียงเรื่องราวได้เข้าใจง่าย และมีเพลงเพราะๆประกอบไปด้วยในหลายๆช่วง ถ้าไม่คิดว่าหนังสารคดีเป็นอะไรที่ดูยากก็อยากให้ลองไปดูกันนะครับ
เกรด A
ป.ล. ประทับใจกับจังหวะที่เอาเพลง Valerie มาใส่มากจนทำให้น้ำตาซึมเลย คือตอนแรกเข้าใจว่าน่าจะไม่ได้นำเพลงนี้มาใช้ในหนังแล้ว เนื่องจากช่วงเวลาที่เพลงนี้ถูกเขียนขึ้น มันผ่านไปจากช่วงเวลาที่น่าจะปรากฏในหนังแล้ว(ต่างจากเพลงอื่นๆที่จะมาในช่วงเวลาที่เพลงนั้นมีความเกี่ยวข้อง) แต่ผู้กำกับกลับเก็บเพลงนี้ไว้เปิดตอน End Credit คลอไปกับภาพที่สดใสในช่วงเวลาต่างๆของเอมี่แทน ซึ่งสำหรับคนดูอย่างผมที่กำลังเศร้ากับตอนจบของหนังอยู่ มันทำให้รู้สึกดีมากจริงๆนะครับ
ป.ล.2 หนังฉายถึงวันที่ 23 นี้นะครับ ถ้ามีเวลาก็อยากให้ไปดูกัน เพลงเพราะ เรื่องราวดี คุ้มแน่นอนครับ คอนเฟิร์ม!!