พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ความตายนี่มันไม่ทราบจะมาถึงวันไหนเวลาไหน
ไม่มีใครบอกล่วงหน้าเลย อย่างนี้แหละ
ฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวไว้ตลอดเวลาเลย
เตรียมตัวทำจิตใจให้เข้มแข็งไว้"สร้างบุญสร้างคุณ"
เป็นที่พึ่งไว้ในใจ อย่าไปหวังพึ่งแต่ขันธ์ห้านี้อยู่
ถ้าบุคคลใดไม่มีบุญมีคุณเป็นที่พึ่งในใจแล้ว
มันก็ไปยึดขันธ์ห้าจิตนี้น่ะ ยึดขันธ์ห้าเป็นที่พึ่ง
เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาไป มันเป็นอย่างนั้นเรื่องมันน่ะ
ถ้าหากว่าผู้ใดสร้างบุญสร้างคุณให้เกิดขึ้นในใจมั่นคง
เห็นแจ้งประจักษ์ด้วยใจตัวเองว่า ใจตัวเองอยู่ด้วยบุญด้วยคุณ
ทุกวันนี้นะ ไม่ได้อยู่ด้วยอย่างอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ไปหลงใหล
ยึดมั่นในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเป็นตนเพราะขันธ์ห้าไม่เที่ยง
ไปยึดของไม่เที่ยงไว้อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์แหละ
เมื่อของไม่เที่ยงมันแปรปรวนไปจิตนี้มันก็เป็นทุกข์เดือดร้อน
การที่เรามายึดบุญคุณเป็นที่พึ่งอยู่นี่
บุญคุณนี้เป็นของติดตามดวงจิตไปทุกแห่งทุกหน
ส่วนร่างกายนี้เราก็รู้ๆกันอยู่นะ หมดบุญเก่าแล้ว
มันก็แตกสลายลงอยู่พื้นดินนี้เท่านั้นเอง
แต่ "บุญกับบาป" ที่บุคคลกระทำน่ะมันนำดวงจิตนี้
ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ต่อไป มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเราต้องมาคิดเสียว่า ในระหว่างบุญและบาป
เราจะเอาบุญ..บาปไม่เอา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
สิ่งใดมันเป็นบาปเราก็สละมัน ไม่พูดไม่ทำกับมันต่อไป
เราทำแต่กุศลคุณงามความดีที่ให้เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่นเท่านั้น
..นี่เมื่อเราภาวนาเห็นแจ้งในบาปในบุญในคุณในโทษอย่างนี้แล้ว
เอ้าเราก็เลือกเอาซิบัดนี้ เอ้า สิ่งใดเป็นบาปก็สละทิ้งไป
สิ่งใดเป็นบุญกุศลก็รวบรวมไว้ในใจ อย่างนี้แหละ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "บวชแล้วทำอะไร"
เอาแต่บุญ บาปไม่เอา : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ความตายนี่มันไม่ทราบจะมาถึงวันไหนเวลาไหน
ไม่มีใครบอกล่วงหน้าเลย อย่างนี้แหละ
ฉะนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวไว้ตลอดเวลาเลย
เตรียมตัวทำจิตใจให้เข้มแข็งไว้"สร้างบุญสร้างคุณ"
เป็นที่พึ่งไว้ในใจ อย่าไปหวังพึ่งแต่ขันธ์ห้านี้อยู่
ถ้าบุคคลใดไม่มีบุญมีคุณเป็นที่พึ่งในใจแล้ว
มันก็ไปยึดขันธ์ห้าจิตนี้น่ะ ยึดขันธ์ห้าเป็นที่พึ่ง
เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาไป มันเป็นอย่างนั้นเรื่องมันน่ะ
ถ้าหากว่าผู้ใดสร้างบุญสร้างคุณให้เกิดขึ้นในใจมั่นคง
เห็นแจ้งประจักษ์ด้วยใจตัวเองว่า ใจตัวเองอยู่ด้วยบุญด้วยคุณ
ทุกวันนี้นะ ไม่ได้อยู่ด้วยอย่างอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ไปหลงใหล
ยึดมั่นในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเป็นตนเพราะขันธ์ห้าไม่เที่ยง
ไปยึดของไม่เที่ยงไว้อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์แหละ
เมื่อของไม่เที่ยงมันแปรปรวนไปจิตนี้มันก็เป็นทุกข์เดือดร้อน
การที่เรามายึดบุญคุณเป็นที่พึ่งอยู่นี่
บุญคุณนี้เป็นของติดตามดวงจิตไปทุกแห่งทุกหน
ส่วนร่างกายนี้เราก็รู้ๆกันอยู่นะ หมดบุญเก่าแล้ว
มันก็แตกสลายลงอยู่พื้นดินนี้เท่านั้นเอง
แต่ "บุญกับบาป" ที่บุคคลกระทำน่ะมันนำดวงจิตนี้
ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ต่อไป มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเราต้องมาคิดเสียว่า ในระหว่างบุญและบาป
เราจะเอาบุญ..บาปไม่เอา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
สิ่งใดมันเป็นบาปเราก็สละมัน ไม่พูดไม่ทำกับมันต่อไป
เราทำแต่กุศลคุณงามความดีที่ให้เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่นเท่านั้น
..นี่เมื่อเราภาวนาเห็นแจ้งในบาปในบุญในคุณในโทษอย่างนี้แล้ว
เอ้าเราก็เลือกเอาซิบัดนี้ เอ้า สิ่งใดเป็นบาปก็สละทิ้งไป
สิ่งใดเป็นบุญกุศลก็รวบรวมไว้ในใจ อย่างนี้แหละ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "บวชแล้วทำอะไร"