คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ผมว่าไม่น่าซีเรียส...เด็กแต่ละคนจะต่างกันครับ
ผมมีลูกสองคน ห่างกันสองปี
ทั้งสองคนต่างกัน เมื่อเทียบวัย
คนนึงอ่านตัวหนังสือได้ ขณะที่อีกคนยังไม่อ่านตัวหนังสือ เมื่อเทียบว่าวัยเดียวกัน
เมื่อดูแววแล้ว คนอ่านได้ เขามีแววเรื่องวิชาการ แต่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
ขณะที่อีกคน ชอบการแสดงออก มีอารมณ์สนุกสนาน ไม่ถึงกับชอบวิชาการ(แต่เขาไม่ได้โง่)
นั่นคือ เขาทั้งสองมีความแตกต่างกัน ซึ่งผมก็จะต้องสนับสนุนพวกเขา ตามแนวทางที่เขาถนัด ไม่กะเกณฑ์ว่าจะต้องไปทางนั้นทางนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคำนึงและยึดมั่นเสมอๆ ก็คือพ่อและแม่มีอิทธิพลและเป็นครูที่สำคัญที่สุดต่อลูก ไม่ใช่ครูที่โรงเรียน โดยเฉพาะยิ่งเป็นเด็กเล็ก
การสั่งสอน อบรม แนะนำ จากพ่อแม่ มีผลต่อลูกในระยะยาวมากที่สุด
ผมให้ความสำคัญต่อการให้เวลากับลูกมากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะตั้งหน้าตั้งตาสอนลูก แต่ผมจะเล่น จะรับใช้ จะสั่งสอนเขา ตามแต่โอกาสและจังหวะ
การสอนเอง ผมใช้วิธีแอบสอน ไม่ได้ตั้งโต๊ะสอนเป็นกิจลักษณะ และไม่ได้สอนแต่วิชาการ (ซึ่งอันนั้น ครูที่ ร.ร. เขาสอนอยู่แล้ว) แต่ผมจะค่อยๆ ใส่ความรู้รอบตัว ใส่จริยธรรม(ผมให้ความสำคัญมาก เพื่อให้เขาสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข) ฯลฯ
หลายๆ ครั้งที่เราได้มีโอกาสสอนเขา เมื่อเขาถามคำถามอะไรบางอย่าง เช่น วันนึงขณะขับรถเพื่อไปส่งที่ ร.ร. เขานั่งเงียบอยู่นาน อยู่ๆ ก็ถามว่า "ป่าป๊า เราจะหยุดไม่คิดได้ยังไง?" คำถามนี้ ทำเอาผมอึ้ง เพราะคิดไม่ถึง ... แต่ก็รีบฉวยโอกาสทันทีว่า การหยุดความคิดนั้นทำไม่ได้หรอก แต่ก็เห็นว่ามีคนทำได้ คือการภาวนาสมาธิ โดยการหายใจเข้าก็คิดว่าพุทธ หายใจออกก็คิดว่าโธ ให้คิดอยู่แค่นี้
อีกจังหวะหนึ่งคือ เขาดูเรื่อง พระพุทธเจ้าฯ แล้วเขาถามว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วไปสวรรค์ใช่ไหม?
ผมก็รีบคว้าโอกาสสอนเลยทันที...
อย่างนี้เป็นต้นครับ
ทั้งหมดที่ว่ามาคือ การสอนเขาไม่ใช่แค่การนับเลข แต่ต้องมองให้กว้างกว่านั้น จะให้ดีก็สอนในสิ่งที่ครูยังไม่ได้สอน และโอกาสที่จะสอน มีอยู่เรื่อยๆ อยู่ที่เรามีเวลาอยู่กับเขาหรือเปล่า?
ผมมีลูกสองคน ห่างกันสองปี
ทั้งสองคนต่างกัน เมื่อเทียบวัย
คนนึงอ่านตัวหนังสือได้ ขณะที่อีกคนยังไม่อ่านตัวหนังสือ เมื่อเทียบว่าวัยเดียวกัน
เมื่อดูแววแล้ว คนอ่านได้ เขามีแววเรื่องวิชาการ แต่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
ขณะที่อีกคน ชอบการแสดงออก มีอารมณ์สนุกสนาน ไม่ถึงกับชอบวิชาการ(แต่เขาไม่ได้โง่)
นั่นคือ เขาทั้งสองมีความแตกต่างกัน ซึ่งผมก็จะต้องสนับสนุนพวกเขา ตามแนวทางที่เขาถนัด ไม่กะเกณฑ์ว่าจะต้องไปทางนั้นทางนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคำนึงและยึดมั่นเสมอๆ ก็คือพ่อและแม่มีอิทธิพลและเป็นครูที่สำคัญที่สุดต่อลูก ไม่ใช่ครูที่โรงเรียน โดยเฉพาะยิ่งเป็นเด็กเล็ก
การสั่งสอน อบรม แนะนำ จากพ่อแม่ มีผลต่อลูกในระยะยาวมากที่สุด
ผมให้ความสำคัญต่อการให้เวลากับลูกมากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะตั้งหน้าตั้งตาสอนลูก แต่ผมจะเล่น จะรับใช้ จะสั่งสอนเขา ตามแต่โอกาสและจังหวะ
การสอนเอง ผมใช้วิธีแอบสอน ไม่ได้ตั้งโต๊ะสอนเป็นกิจลักษณะ และไม่ได้สอนแต่วิชาการ (ซึ่งอันนั้น ครูที่ ร.ร. เขาสอนอยู่แล้ว) แต่ผมจะค่อยๆ ใส่ความรู้รอบตัว ใส่จริยธรรม(ผมให้ความสำคัญมาก เพื่อให้เขาสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข) ฯลฯ
หลายๆ ครั้งที่เราได้มีโอกาสสอนเขา เมื่อเขาถามคำถามอะไรบางอย่าง เช่น วันนึงขณะขับรถเพื่อไปส่งที่ ร.ร. เขานั่งเงียบอยู่นาน อยู่ๆ ก็ถามว่า "ป่าป๊า เราจะหยุดไม่คิดได้ยังไง?" คำถามนี้ ทำเอาผมอึ้ง เพราะคิดไม่ถึง ... แต่ก็รีบฉวยโอกาสทันทีว่า การหยุดความคิดนั้นทำไม่ได้หรอก แต่ก็เห็นว่ามีคนทำได้ คือการภาวนาสมาธิ โดยการหายใจเข้าก็คิดว่าพุทธ หายใจออกก็คิดว่าโธ ให้คิดอยู่แค่นี้
อีกจังหวะหนึ่งคือ เขาดูเรื่อง พระพุทธเจ้าฯ แล้วเขาถามว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วไปสวรรค์ใช่ไหม?
ผมก็รีบคว้าโอกาสสอนเลยทันที...
อย่างนี้เป็นต้นครับ
ทั้งหมดที่ว่ามาคือ การสอนเขาไม่ใช่แค่การนับเลข แต่ต้องมองให้กว้างกว่านั้น จะให้ดีก็สอนในสิ่งที่ครูยังไม่ได้สอน และโอกาสที่จะสอน มีอยู่เรื่อยๆ อยู่ที่เรามีเวลาอยู่กับเขาหรือเปล่า?
แสดงความคิดเห็น
ลูกอยู่อนุบาล 2 ยังนับเลขได้ไม่ถึง 100 ถือว่าผิดปกติไปไหมคะ
ลูกชายดิฉันนับเลข ได้แค่ 1-10 แต่ 11-20 ยังเรียงไปไม่ค่อยได้
ยังสลับไปสลับมา แต่หลานดิฉันอายุเท่าลูกดิฉัน เรียนที่เดียวกัน
ห้องเดียวกัน นับเลขได้ 1-100 ดิฉันเลยรู้สึกเครียดค่ะ ว่าทำไมลูกดิฉัน
ถึงนับไม่ได้ อาจเป็นเพราะดิฉันไม่ได้สอนด้วย ส่วนหนึ่ง เพราะเวลาที่ดิฉันสอน
ลูกก็จะไม่ค่อยฟัง ชอบถามว่าให้ท่องอะไรวนไปวนมาจังเลย ดิฉันเลยคิดว่าลูกแปลก
ทำไมลูกเราถึงไม่เหมือนลูกเค้า ดิฉันอาจคิดมากไปเองหรือป่าวไม่รู้
แล้วพ่อแม่ท่านใดมีวิธีช่วยแนะนำการสอนลูกหน่อยค่ะ