สิ่งที่เรียนรู้ 6
หลังจากสอบเสร็จวันสุดท้าย ผมรีบไปที่ร้านโฟโต้ไฟล์ เพื่อจัดการเรื่องกล้องให้เรียบร้อย กับตัวเลือกที่มีอยู่สองข้อ ระหว่างนิคอนสองตัว F4 กับ FM2
ทางเลือก
จากหัวข้อเรื่องที่จะต้องถ่ายงานส่งอาจารย์ในวิชาการถ่ายภาพสไลด์ ผมเสนอเรื่องเมืองโบราณที่สุโขทัย ซึ่งเลนส์ที่ผมต้องใช้นั้นส่วนมากแล้วควรที่จะเป็นเลนส์ไวด์ ปัญหาคือเรื่องราคาของเลนส์ซึ่งก็แพงเอาการอยู่
ถ้าผมเลือกซื้อกล้อง F4 เงินที่เหลือจะน้อยมาก ซึ่งก็อาจจะไม่เพียงพอกับการซื้อเลนส์ไวด์อีกตัว แต่ถ้าผมตัดสินใจซื้อ FM2 ผมจะมีเงินเหลือพอที่จะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ทั้งซื้อเลนส์ ซื้อแฟลช ซื้อขาตั้งกล้อง รวมทั้งซื้อฟิล์มและค่าล้างอัดรูปที่ต้องส่งอาจารย์ในอีกสองวิชา คือทั้งภาพสีและภาพขาวดำ
ผมกลับไปนั่งพูดคุยกับคนขายที่ร้านอีกรอบ และจากอุปกรณ์ที่เขาแนะนำ มันก็จูงใจผมได้ในระดับหนึ่งว่า FM2 ก็เป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งเทียบความจำเป็นแล้ว ผมยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กล้องถึงระดับนั้น ซึ่งเป็นกล้องที่โปรเขาใช้กัน
ทั้งจากแรงเกลี่ยกล่อมและชักจูง ทำให้ผมตัดสินใจซื้อ FM2 ซึ่งผมก็ได้อุปกรณ์ครบถ้วนตามที่ผมต้องการ เลนส์ซูม 24-105 F 2.8 แฟลช และขาตั้งกล้อง พร้อมกับเหลือเงินอีกเกือบหมื่น ซึ่งก็เป็นข้อดีที่จะทำให้ผมเก็บเงินไว้ใช้เพื่อทำอะไรอย่างอื่นได้อีก
วันถัดมา ผมเดินทางไปถ่ายรูปที่สุโขทัย ผมใช้เวลาอยู่ที่นั่นสี่วันสามคืนในการเดินทางถ่ายภาพโบราณสถานทั้งหมดที่มีในจังหวัดนั้น
พอกลับมาถึงกรุงเทพ ผมก็รีบไปถ่ายภาพงานสีและขาวดำตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนดให้ เพื่อให้ทันส่งงานพร้อมๆกัน
การตัดสินใจของผมครั้งนี้ถือว่าถูกในระดับที่ควรจะทำ เพราะค่าใช้จ่ายในการทำงานส่งในครั้งนี้ก็ปาไปหลายพันเหมือนกัน ซึ่งถ้าผมเลือกที่จะซื้อกล้องราคาแพงอย่าง F4 ผมอาจจะต้องเจอปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่ายพวกนี้แน่ๆ
แต่ผมเองก็ยังรู้สึกเสียดาย ที่ความตั้งใจในตอนแรกที่คิดไว้ และวางแผนไว้ว่าผมจะซื้อกล้องตัวนี้ให้ได้
สรุปแล้วตอนนี้ผมก็มีกล้องเป็นของตัวเองอยู่สองตัว ซึ่งก็ดันเป็นคนละค่าย ที่ใช้เลนส์ร่วมกันไม่ได้เลย
"ผลสอบออกแล้วนะ ไปดูหรือยัง"
"ยังเลย"
"รีบไปดูสิ รู้สึกว่าจะตกกันหลายคนอยู่นะ ได้จีแค่ไม่กี่คนเอง ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำมั้ง"
ผลคือ ผมเป็นหนึ่งในสิบคนที่ได้จี
จีคือผลคะแนนที่เทียบเท่ากับเอหรือเกรดสี่
แค่เพียงอาทิตย์เดียว ชื่อของผมก็เป็นที่รู้จักกันทั้งคณะ เพราะว่าจีที่ผมได้ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่ผมได้ทั้งสามวิชาที่ลงทะเบียนเรียนไป กับวิชาปราบเซียนเหล่านั้น
จดหมายฉบับต่อมาของผมจึงถูกเขียนเล่าเรื่องการทำงานส่งอาจารย์ด้วยกล้องตัวใหม่ที่ทางบ้านออกเงินให้ผมซื้อ และเรื่องเกรดที่ผมได้ คำขอบคุณที่ผมมีให้กับที่บ้านและเกรดจากความตั้งใจของผม คงทำให้ที่บ้านชื่นใจและเชื่อใจผมมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากเดิมเลยแม้แต่บาทเดียว
วันหนึ่งในงานวันเกิดของเพื่อนสนิท ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน ซึ่งสองคนนี้ก็เรียนที่ราม แต่ไม่ค่อยจะมาเรียนกันสักเท่าไหร่
"ได้ข่าวว่าถ่ายรูปสวยไม่ใช่หรอ ทำไมไม่รับงาน"
"รับงานอะไรหรอ"
"ถ่ายงานแต่ง ถ่ายงานรับปริญญา ถ่ายง่ายจะตาย"
"หรอ ไม่แน่ใจว่าจะถ่ายได้หรือเปล่า เพราะไม่เคยถ่ายงานพวกนั้นเลย"
บังเอิญที่เพื่อนใหม่คนนั้นติดงานรับปริญญามาด้วย เขาเลยเอารูปที่ถ่ายนั้นมาโชว์ให้ผมดู
"เขาถ่ายกันแบบนี้หรอ นึกว่าเข้าไปถ่ายในห้องประชุมที่เขารับปริญญากันซะอีก"
"ใช่ ถ่ายแค่นี้แหละ"
"แล้วเขาจ้างกันเท่าไหร่"
"ปกติก็อยู่ที่วันละพันห้า"
ผมถึงกับหูผึ่งตาโต "พันห้า" ถ้าเดือนนึงรับได้สองงานก็เท่ากับเงินเดือนที่เราได้พอดี
"แล้วเขาไปรับงานกันที่ไหน"
"ก็ไปติดประกาศตามบอร์ดในมหาลัย เดี๋ยวบัณฑิตก็โทรมาเอง"
มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ
"แล้วจะรู้ได้ไงว่าที่ไหนรับตอนไหน"
"มาเดี๋ยวจดให้ เดือนหน้านนี้รามก็รับแล้ว ลองทำใบปลิวไปติดสิ"
ได้ผล ในที่สุดผมก็ได้งานถ่าย ซึ่งเป็นบัณฑิตของเอกสื่อสารมวลชนที่ราม งานนี้ไม่ยากเพราะผมเคยชินกับสถานที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร รู้จุดรู้มุมว่าจะพาบัณฑิตไปถ่ายที่ไหน แถมไม่รู้สึกเกร็งหรือกลัวอะไร เพราะนี่คือสถาบันของเราเอง ซึ่งในปีนั้นผมได้งานมาสามงาน ได้เงินมาสี่พันห้า ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่เคยได้
หลังจากนั้นมา ผมก็กลายเป็นช่างภาพรับปริญญาที่ตั้งหน้าตั้งตาหางาน จุฬา เกษตร ธรรมศาตร์ เอเบค ทั้งจากการไปติดไปปลิวเอง และทั้งจากการบอกต่อของเพื่อนบัณฑิตที่เขาได้เห็นงานของผมจากเพื่อนๆมหาลัยอื่น
งานของผมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ รายได้เริ่มดีพอ เงินเก็บของผมเริ่มกลับมาอยู่ในบัญชีอีกครั้ง
ผมมีเวลามากขึ้นในช่วงของเทอมปกติ ได้ไปเที่ยวทะเล ไปเดินป่า ไปปีนเขา ได้ใช้ชีวิต ได้เดินทางถ่ายรูป และได้กินอะไรดีๆมากขึ้น ได้กินพิซซ่าเป็นครั้งแรกของชีวิต ได้กินไดโดมอน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยแตะเลยคือเหล้ากับบุหรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองไว้แล้วก่อนที่จะกลับมาเรียนหนังสือ ว่ายังไงผมก็จะไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ ถึงแม้สังคมที่ผมอยู่จะเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านั้น ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ ที่ชอบสังสรรกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเย็นของวันศุกร์
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนเก็บตัวหรือเป็นเด็กเรียน ซึ่งจริงๆแล้วมันตรงกันข้าม ผมเป็นคนที่ตั้งใจเรียนในห้องเรียน แต่พอออกนอกห้องเรียนผมก็จะกลายเป็นอีกคน คนที่หลุดโลก สนุกสนานบ้าบอ ซึ่งผมให้นิยามกับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ และสิ่งที่ทำนั้นก็จะไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน คำนิยามของผมกลายเป็นเรื่องตลก เมื่อเขาเอามาแซวกันในวงเหล้า
"ไม่มีอะไรที่กูทำไม่ได้ นอกจากเอ็นทรานซ์"
จนกลายเป็นคำนิยามของเด็กรามหลายๆคนที่มักเอามาพูดเล่นกัน
ผมเป็นคนที่สนุกสนานและเป็นมิตร เพื่อนๆเลยมีเยอะ และผมก็ไม่เคยปฏิเสธการชักชวนไปไหนต่อไหนของใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"ถึงไม่กินกูก็จะหารเท่ากันนะเว้ย"
ประโยคที่ผมได้ยินทุกครั้งเมื่อนั่งในวงเหล้า
"ไม่เป็นไร กินเหล้าไป เดี๋ยวกูกินกับเอง"
เพื่อนๆทุกคนรู้ว่ายังไงผมก็ไม่มีวันกินเหล้า แต่ทุกครั้งที่จะไปไหนกัน ผมคือคนหนึ่งที่ต้องมีในกลุ่มตลอด ความสนุกสนานที่เกิดจากผมจึงทำให้เพื่อนๆรู้ว่า แม้ผมจะไม่เมาเหมือนพวกมัน แต่ผมก็สนุกของผมได้ ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักผมก็คงคิดว่าผมเมาเหมือนกับทุกคนแน่ๆ
พอหมดเทอมหนึ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่า ผมน่าจะหาอะไรทำเพิ่มขึ้น ประสบการณ์ในการถ่ายงานของผมก็มีเยอะแล้ว แต่ผมก็พยายามหาว่าผมอยากจะทำหรือเรียนรู้อะไรต่อดี
"พรุ่งนี้ไปลงทะเบียนเข้าฟังสัมมนาให้พวกพี่หน่อยได้มั้ย"
รุ่นพี่เข้ามาชักชวนให้ผมเข้าร่วมงานสัมมนา ที่รุ่นพี่ปีสี่จะต้องจัดกันก่อนจบ ซึ่งในการสัมมนาครั้งนี้นี่เองที่เป็นแรงกระตุ้น และแรงพลักดันในความอยากรู้ของผม
"สัมมนาเรื่องการถ่ายภาพในสตูดิโอ"
น่าสนใจไม่น้อย แต่การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ผมเป็นได้เพียงคนสังเกตการณ์ ซึ่งมีสิทธิเพียงแค่นั่งฟังวิทยากรที่รับเชิญมากับดูพี่ๆเขาทดลองถ่ายรูปในสตูดิโอกัน
หลังจากวันนั้น ผมเริ่มมองหาที่เรียน เนื่องจากที่มหาลัยไม่มีสอนเรื่องการถ่ายภาพในสตูดิโอ และผมก็ไปเจอมาสามที่ ซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจ แต่พอเจอราคาแล้วผมว่ามันน่าทำใจมากกว่า เพราะค่าเรียนที่ถูกที่สุดคือสองหมื่น และที่ดูเข้าท่าหน่อยก็ห้าหมื่น สงสัยคงต้องถอยไปตั้งหลักพักพักก่อน
แต่
ยังมีแต่ครับ เมื่อผมไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์เจ้าของสตูดิโอแห่งหนึ่ง ที่เล่าถึงที่มาที่ไปของสตูดิโอ แต่เรื่องหลักๆจะหนักไปทางสัมภาษณ์คนที่เป็นเจ้าของ
Family and Kids Foto Studio บทสัมภาษณ์ลงท้ายด้วยภาพเจ้าของร้านกับเบอร์โทรของร้าน ผมไม่รีรอที่จะจัดการกับความอยากที่ยังไม่หมดไปในเรื่องของการเรียนถ่ายภาพในสตูดิโอ เบอร์มีแล้ว ชื่อเจ้าของก็มีแล้ว
"ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"
ยกหูโทรศัพท์แล้วโทรไป ถ้าถูกปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็ไม่รู้จักเรา หน้าเราเขาก็ไม่เคยเห็น ทำเสียงหล่อเข้าไว้อย่าได้อาย
"สวัสดีครับ ขอสายคุณนิรมลครับ"
"จากไหนคะ"
แล้วจะตอบเขายังไงหละเนี่ย
"จากคุณประเสริฐครับ"
"สักครู่คะ"
ได้ผลแหะ คิดวิธีตอบยังไม่ได้เลย แต่ดันตอบเขาไปซะแล้ว แถมยังได้ผลอีก พอคุณนิรมลมารับสาย ผมก็เริ่มบรรยายสรรพคุณว่าผมเป็นใครมาจากไหนต้องการอะไร
"ผมอยากขอฝึกงานที่สตูดิโอครับ"
สิ่งที่เรียนรู้ ตอนที่ 6/10 (กว่าจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ)
หลังจากสอบเสร็จวันสุดท้าย ผมรีบไปที่ร้านโฟโต้ไฟล์ เพื่อจัดการเรื่องกล้องให้เรียบร้อย กับตัวเลือกที่มีอยู่สองข้อ ระหว่างนิคอนสองตัว F4 กับ FM2
ทางเลือก
จากหัวข้อเรื่องที่จะต้องถ่ายงานส่งอาจารย์ในวิชาการถ่ายภาพสไลด์ ผมเสนอเรื่องเมืองโบราณที่สุโขทัย ซึ่งเลนส์ที่ผมต้องใช้นั้นส่วนมากแล้วควรที่จะเป็นเลนส์ไวด์ ปัญหาคือเรื่องราคาของเลนส์ซึ่งก็แพงเอาการอยู่
ถ้าผมเลือกซื้อกล้อง F4 เงินที่เหลือจะน้อยมาก ซึ่งก็อาจจะไม่เพียงพอกับการซื้อเลนส์ไวด์อีกตัว แต่ถ้าผมตัดสินใจซื้อ FM2 ผมจะมีเงินเหลือพอที่จะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ทั้งซื้อเลนส์ ซื้อแฟลช ซื้อขาตั้งกล้อง รวมทั้งซื้อฟิล์มและค่าล้างอัดรูปที่ต้องส่งอาจารย์ในอีกสองวิชา คือทั้งภาพสีและภาพขาวดำ
ผมกลับไปนั่งพูดคุยกับคนขายที่ร้านอีกรอบ และจากอุปกรณ์ที่เขาแนะนำ มันก็จูงใจผมได้ในระดับหนึ่งว่า FM2 ก็เป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งเทียบความจำเป็นแล้ว ผมยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กล้องถึงระดับนั้น ซึ่งเป็นกล้องที่โปรเขาใช้กัน
ทั้งจากแรงเกลี่ยกล่อมและชักจูง ทำให้ผมตัดสินใจซื้อ FM2 ซึ่งผมก็ได้อุปกรณ์ครบถ้วนตามที่ผมต้องการ เลนส์ซูม 24-105 F 2.8 แฟลช และขาตั้งกล้อง พร้อมกับเหลือเงินอีกเกือบหมื่น ซึ่งก็เป็นข้อดีที่จะทำให้ผมเก็บเงินไว้ใช้เพื่อทำอะไรอย่างอื่นได้อีก
วันถัดมา ผมเดินทางไปถ่ายรูปที่สุโขทัย ผมใช้เวลาอยู่ที่นั่นสี่วันสามคืนในการเดินทางถ่ายภาพโบราณสถานทั้งหมดที่มีในจังหวัดนั้น
พอกลับมาถึงกรุงเทพ ผมก็รีบไปถ่ายภาพงานสีและขาวดำตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนดให้ เพื่อให้ทันส่งงานพร้อมๆกัน
การตัดสินใจของผมครั้งนี้ถือว่าถูกในระดับที่ควรจะทำ เพราะค่าใช้จ่ายในการทำงานส่งในครั้งนี้ก็ปาไปหลายพันเหมือนกัน ซึ่งถ้าผมเลือกที่จะซื้อกล้องราคาแพงอย่าง F4 ผมอาจจะต้องเจอปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่ายพวกนี้แน่ๆ
แต่ผมเองก็ยังรู้สึกเสียดาย ที่ความตั้งใจในตอนแรกที่คิดไว้ และวางแผนไว้ว่าผมจะซื้อกล้องตัวนี้ให้ได้
สรุปแล้วตอนนี้ผมก็มีกล้องเป็นของตัวเองอยู่สองตัว ซึ่งก็ดันเป็นคนละค่าย ที่ใช้เลนส์ร่วมกันไม่ได้เลย
"ผลสอบออกแล้วนะ ไปดูหรือยัง"
"ยังเลย"
"รีบไปดูสิ รู้สึกว่าจะตกกันหลายคนอยู่นะ ได้จีแค่ไม่กี่คนเอง ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำมั้ง"
ผลคือ ผมเป็นหนึ่งในสิบคนที่ได้จี
จีคือผลคะแนนที่เทียบเท่ากับเอหรือเกรดสี่
แค่เพียงอาทิตย์เดียว ชื่อของผมก็เป็นที่รู้จักกันทั้งคณะ เพราะว่าจีที่ผมได้ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่ผมได้ทั้งสามวิชาที่ลงทะเบียนเรียนไป กับวิชาปราบเซียนเหล่านั้น
จดหมายฉบับต่อมาของผมจึงถูกเขียนเล่าเรื่องการทำงานส่งอาจารย์ด้วยกล้องตัวใหม่ที่ทางบ้านออกเงินให้ผมซื้อ และเรื่องเกรดที่ผมได้ คำขอบคุณที่ผมมีให้กับที่บ้านและเกรดจากความตั้งใจของผม คงทำให้ที่บ้านชื่นใจและเชื่อใจผมมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากเดิมเลยแม้แต่บาทเดียว
วันหนึ่งในงานวันเกิดของเพื่อนสนิท ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกสองคน ซึ่งสองคนนี้ก็เรียนที่ราม แต่ไม่ค่อยจะมาเรียนกันสักเท่าไหร่
"ได้ข่าวว่าถ่ายรูปสวยไม่ใช่หรอ ทำไมไม่รับงาน"
"รับงานอะไรหรอ"
"ถ่ายงานแต่ง ถ่ายงานรับปริญญา ถ่ายง่ายจะตาย"
"หรอ ไม่แน่ใจว่าจะถ่ายได้หรือเปล่า เพราะไม่เคยถ่ายงานพวกนั้นเลย"
บังเอิญที่เพื่อนใหม่คนนั้นติดงานรับปริญญามาด้วย เขาเลยเอารูปที่ถ่ายนั้นมาโชว์ให้ผมดู
"เขาถ่ายกันแบบนี้หรอ นึกว่าเข้าไปถ่ายในห้องประชุมที่เขารับปริญญากันซะอีก"
"ใช่ ถ่ายแค่นี้แหละ"
"แล้วเขาจ้างกันเท่าไหร่"
"ปกติก็อยู่ที่วันละพันห้า"
ผมถึงกับหูผึ่งตาโต "พันห้า" ถ้าเดือนนึงรับได้สองงานก็เท่ากับเงินเดือนที่เราได้พอดี
"แล้วเขาไปรับงานกันที่ไหน"
"ก็ไปติดประกาศตามบอร์ดในมหาลัย เดี๋ยวบัณฑิตก็โทรมาเอง"
มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ
"แล้วจะรู้ได้ไงว่าที่ไหนรับตอนไหน"
"มาเดี๋ยวจดให้ เดือนหน้านนี้รามก็รับแล้ว ลองทำใบปลิวไปติดสิ"
ได้ผล ในที่สุดผมก็ได้งานถ่าย ซึ่งเป็นบัณฑิตของเอกสื่อสารมวลชนที่ราม งานนี้ไม่ยากเพราะผมเคยชินกับสถานที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร รู้จุดรู้มุมว่าจะพาบัณฑิตไปถ่ายที่ไหน แถมไม่รู้สึกเกร็งหรือกลัวอะไร เพราะนี่คือสถาบันของเราเอง ซึ่งในปีนั้นผมได้งานมาสามงาน ได้เงินมาสี่พันห้า ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่เคยได้
หลังจากนั้นมา ผมก็กลายเป็นช่างภาพรับปริญญาที่ตั้งหน้าตั้งตาหางาน จุฬา เกษตร ธรรมศาตร์ เอเบค ทั้งจากการไปติดไปปลิวเอง และทั้งจากการบอกต่อของเพื่อนบัณฑิตที่เขาได้เห็นงานของผมจากเพื่อนๆมหาลัยอื่น
งานของผมเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ รายได้เริ่มดีพอ เงินเก็บของผมเริ่มกลับมาอยู่ในบัญชีอีกครั้ง
ผมมีเวลามากขึ้นในช่วงของเทอมปกติ ได้ไปเที่ยวทะเล ไปเดินป่า ไปปีนเขา ได้ใช้ชีวิต ได้เดินทางถ่ายรูป และได้กินอะไรดีๆมากขึ้น ได้กินพิซซ่าเป็นครั้งแรกของชีวิต ได้กินไดโดมอน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยแตะเลยคือเหล้ากับบุหรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองไว้แล้วก่อนที่จะกลับมาเรียนหนังสือ ว่ายังไงผมก็จะไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ ถึงแม้สังคมที่ผมอยู่จะเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านั้น ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ ที่ชอบสังสรรกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเย็นของวันศุกร์
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนเก็บตัวหรือเป็นเด็กเรียน ซึ่งจริงๆแล้วมันตรงกันข้าม ผมเป็นคนที่ตั้งใจเรียนในห้องเรียน แต่พอออกนอกห้องเรียนผมก็จะกลายเป็นอีกคน คนที่หลุดโลก สนุกสนานบ้าบอ ซึ่งผมให้นิยามกับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ และสิ่งที่ทำนั้นก็จะไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน คำนิยามของผมกลายเป็นเรื่องตลก เมื่อเขาเอามาแซวกันในวงเหล้า
"ไม่มีอะไรที่กูทำไม่ได้ นอกจากเอ็นทรานซ์"
จนกลายเป็นคำนิยามของเด็กรามหลายๆคนที่มักเอามาพูดเล่นกัน
ผมเป็นคนที่สนุกสนานและเป็นมิตร เพื่อนๆเลยมีเยอะ และผมก็ไม่เคยปฏิเสธการชักชวนไปไหนต่อไหนของใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว
"ถึงไม่กินกูก็จะหารเท่ากันนะเว้ย"
ประโยคที่ผมได้ยินทุกครั้งเมื่อนั่งในวงเหล้า
"ไม่เป็นไร กินเหล้าไป เดี๋ยวกูกินกับเอง"
เพื่อนๆทุกคนรู้ว่ายังไงผมก็ไม่มีวันกินเหล้า แต่ทุกครั้งที่จะไปไหนกัน ผมคือคนหนึ่งที่ต้องมีในกลุ่มตลอด ความสนุกสนานที่เกิดจากผมจึงทำให้เพื่อนๆรู้ว่า แม้ผมจะไม่เมาเหมือนพวกมัน แต่ผมก็สนุกของผมได้ ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักผมก็คงคิดว่าผมเมาเหมือนกับทุกคนแน่ๆ
พอหมดเทอมหนึ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่า ผมน่าจะหาอะไรทำเพิ่มขึ้น ประสบการณ์ในการถ่ายงานของผมก็มีเยอะแล้ว แต่ผมก็พยายามหาว่าผมอยากจะทำหรือเรียนรู้อะไรต่อดี
"พรุ่งนี้ไปลงทะเบียนเข้าฟังสัมมนาให้พวกพี่หน่อยได้มั้ย"
รุ่นพี่เข้ามาชักชวนให้ผมเข้าร่วมงานสัมมนา ที่รุ่นพี่ปีสี่จะต้องจัดกันก่อนจบ ซึ่งในการสัมมนาครั้งนี้นี่เองที่เป็นแรงกระตุ้น และแรงพลักดันในความอยากรู้ของผม
"สัมมนาเรื่องการถ่ายภาพในสตูดิโอ"
น่าสนใจไม่น้อย แต่การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ผมเป็นได้เพียงคนสังเกตการณ์ ซึ่งมีสิทธิเพียงแค่นั่งฟังวิทยากรที่รับเชิญมากับดูพี่ๆเขาทดลองถ่ายรูปในสตูดิโอกัน
หลังจากวันนั้น ผมเริ่มมองหาที่เรียน เนื่องจากที่มหาลัยไม่มีสอนเรื่องการถ่ายภาพในสตูดิโอ และผมก็ไปเจอมาสามที่ ซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจ แต่พอเจอราคาแล้วผมว่ามันน่าทำใจมากกว่า เพราะค่าเรียนที่ถูกที่สุดคือสองหมื่น และที่ดูเข้าท่าหน่อยก็ห้าหมื่น สงสัยคงต้องถอยไปตั้งหลักพักพักก่อน
แต่
ยังมีแต่ครับ เมื่อผมไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์เจ้าของสตูดิโอแห่งหนึ่ง ที่เล่าถึงที่มาที่ไปของสตูดิโอ แต่เรื่องหลักๆจะหนักไปทางสัมภาษณ์คนที่เป็นเจ้าของ
Family and Kids Foto Studio บทสัมภาษณ์ลงท้ายด้วยภาพเจ้าของร้านกับเบอร์โทรของร้าน ผมไม่รีรอที่จะจัดการกับความอยากที่ยังไม่หมดไปในเรื่องของการเรียนถ่ายภาพในสตูดิโอ เบอร์มีแล้ว ชื่อเจ้าของก็มีแล้ว
"ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"
ยกหูโทรศัพท์แล้วโทรไป ถ้าถูกปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็ไม่รู้จักเรา หน้าเราเขาก็ไม่เคยเห็น ทำเสียงหล่อเข้าไว้อย่าได้อาย
"สวัสดีครับ ขอสายคุณนิรมลครับ"
"จากไหนคะ"
แล้วจะตอบเขายังไงหละเนี่ย
"จากคุณประเสริฐครับ"
"สักครู่คะ"
ได้ผลแหะ คิดวิธีตอบยังไม่ได้เลย แต่ดันตอบเขาไปซะแล้ว แถมยังได้ผลอีก พอคุณนิรมลมารับสาย ผมก็เริ่มบรรยายสรรพคุณว่าผมเป็นใครมาจากไหนต้องการอะไร
"ผมอยากขอฝึกงานที่สตูดิโอครับ"