แนะนำเพื่อนๆ ถ้าอยากให้แบตเตอรรี่รถยนต์ใช้งานได้ยาวนาน (รถผมตอนนี้ใช้แบตลูกเดิมเข้าปีที่ 6 แล้วครับ) แนะนำดังนี้ครับ
*** ผลที่ได้อาจแตกต่างกันตามสภาพแบตเตอรรี่ แต่ถ้าเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นจะดีมาก ผมเองก็มั่วๆ ทำแล้วเห็นผลจึงอยากแชร์ ขออภัยถ้าทำให้ร้านแบตเตอรรี่ขายแบตได้น้อยลง... หรือผิดหลักวิชาการ
1. ควรมีไฮโดรมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดติดบ้านไว้ครับ ราคาไม่แพงแค่ 100 - 250 บาทเองครับ
2. ควรเลือกแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกรดหรือน้ำกลั่นได้ดีกว่าครับ จะได้สามารถปรับความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดได้ตลอดเวลา จริงๆแบตฯรถยนต์ที่บอกว่าไม่ต้องเติมน้ำกรด ถ้าแกะฝาออกจะมีที่เติมครับ และแบตพวกนี้ก็มีโอกาสแห้งและเสื่อมเร็วเหมือนกันเพราะสภาพอากาศบ้านเราอุณหภูมิสูง ส่วนใหญ่แบตจะเก็บไว้นาน และอาจไม่ได้ชาร์จก่อนใช้งาน
3.ทุกครั้งที่ซื้อแบตฯมาใหม่จากร้าน ควรเอาไฮโดรมิเตอร์วัด ถพ. ก่อน ส่วนใหญ่ร้านแบตฯจะเติมน้ำกรดที่จางและไม่ได้ชาร์จแบตฯก่อนการใช้งาน เพราะเขาอยากให้แบตเสื่อมสภาพหลังระยะรับประกันไม่นาน ท่านก็ต้องไปเปลี่ยนแบตกับเขาแล้วแถมเอาของเก่าที่ยังดีๆอยู่ไปเทิร์นให้เขาอีก ที่ร้านเขามีเครื่องฟื้นฟูแบต เอากลับมาใช้ใหม่ได้สบาย ถ้าวัดด้วยไฮโดรมิเตอร์แล้วความถ่วงจำเพาะต่ำให้ดูดน้ำกรดออก แล้วเติมน้ำกรดใหม่ไปแทน ปรับความถ่วงจำเพาะให้ใกล้เคียง 1.240-1.260 (ร้านดีๆ ไว้ใจได้ก็เยอะนะครับ เขียนไว้เผื่อมีร้านที่แย่ๆ จะได้ไม่เสียรู้ และเลิกเข้าร้านนั้นไปเลย)
4. ตรวจเช็คระดับน้ำกรดเดือนละครั้งเพราะประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน และทุกครั้งที่น้ำกรดลดลง ให้เช็คความถ่วงจำเพาะด้วยไฮโดรมิเตอร์ ส่วนใหญ่จะต้องเติมน้ำกรดเพื่อให้ได้ ถพ. 1.240-1.260 (ถ้า ถพ. ต่ำ ให้เติมน้ำกรด ถ้า ถพ.สูงให้เติมน้ำกลั่น) เพราะกรดซัลฟุริกบางส่วนกลายเป็นซัลเฟตเกาะแผ่นธาตุ ทำให้กรดจางลง คนส่วนใหญ่จะเติมน้ำกลั่น ยิ่งทำให้กรดจางลงเรื่อยๆ จนในที่สุดแบตเตอรรี่ไม่สามารถเก็บไฟได้ ฉะนั้นถ้าไม่มีไฮโดรมิเตอร์ แนะนำให้เติมน้ำกรดแทนน้ำกลั่น กรดอาจจะแก่หน่อย แต่อายุใช้งานนานกว่าเติมน้ำกลั่น
5. ถ้ามีงบหน่อยให้ซื้อเครื่องชาร์จแบบที่สามารถสลายซัลเฟตได้ ราคาสำหรับใช้เอง ประมาณ 2000 - 5000 บาท จะช่วยยืดอายุได้นานเลย... ถ้ามีเครื่องชาร์จแบบนี้อาจไม่ต้องปรับกรดและเติมกรดแทนน้ำกลั่น เพราะหลังจากชาร์จ ความถ่วงจำเพาะจะกลับมาที่ค่ามารตรฐานเหมือนเดิม...
แนวทางการยืดอายุแบตเตอรรี่รถยนต์ให้ใช้ได้นานที่สุด...
*** ผลที่ได้อาจแตกต่างกันตามสภาพแบตเตอรรี่ แต่ถ้าเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นจะดีมาก ผมเองก็มั่วๆ ทำแล้วเห็นผลจึงอยากแชร์ ขออภัยถ้าทำให้ร้านแบตเตอรรี่ขายแบตได้น้อยลง... หรือผิดหลักวิชาการ
1. ควรมีไฮโดรมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดติดบ้านไว้ครับ ราคาไม่แพงแค่ 100 - 250 บาทเองครับ
2. ควรเลือกแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกรดหรือน้ำกลั่นได้ดีกว่าครับ จะได้สามารถปรับความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดได้ตลอดเวลา จริงๆแบตฯรถยนต์ที่บอกว่าไม่ต้องเติมน้ำกรด ถ้าแกะฝาออกจะมีที่เติมครับ และแบตพวกนี้ก็มีโอกาสแห้งและเสื่อมเร็วเหมือนกันเพราะสภาพอากาศบ้านเราอุณหภูมิสูง ส่วนใหญ่แบตจะเก็บไว้นาน และอาจไม่ได้ชาร์จก่อนใช้งาน
3.ทุกครั้งที่ซื้อแบตฯมาใหม่จากร้าน ควรเอาไฮโดรมิเตอร์วัด ถพ. ก่อน ส่วนใหญ่ร้านแบตฯจะเติมน้ำกรดที่จางและไม่ได้ชาร์จแบตฯก่อนการใช้งาน เพราะเขาอยากให้แบตเสื่อมสภาพหลังระยะรับประกันไม่นาน ท่านก็ต้องไปเปลี่ยนแบตกับเขาแล้วแถมเอาของเก่าที่ยังดีๆอยู่ไปเทิร์นให้เขาอีก ที่ร้านเขามีเครื่องฟื้นฟูแบต เอากลับมาใช้ใหม่ได้สบาย ถ้าวัดด้วยไฮโดรมิเตอร์แล้วความถ่วงจำเพาะต่ำให้ดูดน้ำกรดออก แล้วเติมน้ำกรดใหม่ไปแทน ปรับความถ่วงจำเพาะให้ใกล้เคียง 1.240-1.260 (ร้านดีๆ ไว้ใจได้ก็เยอะนะครับ เขียนไว้เผื่อมีร้านที่แย่ๆ จะได้ไม่เสียรู้ และเลิกเข้าร้านนั้นไปเลย)
4. ตรวจเช็คระดับน้ำกรดเดือนละครั้งเพราะประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน และทุกครั้งที่น้ำกรดลดลง ให้เช็คความถ่วงจำเพาะด้วยไฮโดรมิเตอร์ ส่วนใหญ่จะต้องเติมน้ำกรดเพื่อให้ได้ ถพ. 1.240-1.260 (ถ้า ถพ. ต่ำ ให้เติมน้ำกรด ถ้า ถพ.สูงให้เติมน้ำกลั่น) เพราะกรดซัลฟุริกบางส่วนกลายเป็นซัลเฟตเกาะแผ่นธาตุ ทำให้กรดจางลง คนส่วนใหญ่จะเติมน้ำกลั่น ยิ่งทำให้กรดจางลงเรื่อยๆ จนในที่สุดแบตเตอรรี่ไม่สามารถเก็บไฟได้ ฉะนั้นถ้าไม่มีไฮโดรมิเตอร์ แนะนำให้เติมน้ำกรดแทนน้ำกลั่น กรดอาจจะแก่หน่อย แต่อายุใช้งานนานกว่าเติมน้ำกลั่น
5. ถ้ามีงบหน่อยให้ซื้อเครื่องชาร์จแบบที่สามารถสลายซัลเฟตได้ ราคาสำหรับใช้เอง ประมาณ 2000 - 5000 บาท จะช่วยยืดอายุได้นานเลย... ถ้ามีเครื่องชาร์จแบบนี้อาจไม่ต้องปรับกรดและเติมกรดแทนน้ำกลั่น เพราะหลังจากชาร์จ ความถ่วงจำเพาะจะกลับมาที่ค่ามารตรฐานเหมือนเดิม...