
หลังจาก The Maze Runner เข้าฉายเมื่อปีก่อนแล้วฮิตแบบไม่คาดคิด ทำให้ภาคต่อต้องตามออกมาแบบทันควัน ในชื่อ The Maze Runner : The Scorch Trials ซึ่งตัวผู้เขียนยอมรับว่าภาคแรกนั้นทำออกมาได้น่าสนใจมาก ทั้งข้อคิดเรื่องชีวิตวัยรุ่น การตัดสินใจของวัยรุ่น รวมถึงการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ต้องเอาตัวรอด รวมไปถึงความลึกลับและปริศนาที่ทำออกในภาคแรกได้ดีมากๆ พอมีภาคต่อ ในใจก็ไม่หวังว่าการเล่นประเด็นมันจะดีเท่าภาคแรก แต่ขอแค่ความสนุกยังคงมีอยู่ก็พอเพียงแล้วสำหรับภาคนี้ ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร

หนังเริ่มต่อจากภาคแรกแบบทันที หลังจากโทมัส นิวท์ มินโฮ และเทเรซ่าถูกช่วยเหลืออกมาจากในวงกต พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่ได้มีแค่พวกเขาที่ถูกเลือก ยังมีเด็กๆวัยรุ่นอีกมากมายที่พบชะตากรรมเดียวกัน และถูกพาตัวมายังค่ายเก็บตัวของวิคเคด บริษัทที่โทมัสเคยทำงานด้วย แม้จะได้พบกับเพื่อนใหม่และอยู่อย่างสุขสบายขึ้น โทมัสกลับไม่รู้สึกปลอดภัยอย่างที่เห็น จนได้พบกับ แอรีส เด็กในค่ายที่พาโทมัสไปดูห้องเก็บพวกเด็กที่ถูกเลือก ซึ่งเหมือนถูกทำให้เป็นศพ เมื่อโทมัสรู้ตัวว่าสถานที่นี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป โทมัสต้องพาเพื่อนๆทุกคนหนีออกจากค่ายฝ่าดินแดนมอดไหม้ ดินแดนที่ถูกพระอาทิตย์แผดเผา เพื่อไปยังค่ายของไรท์อาร์มที่ว่ากันว่าคอยต่อต้านวิคเคดอยู่ ทุกคนต้องหนีจากการตามล่าของวิคเคดและฝูงแครงค์ที่เป็นเหมือนซากศพเดินได้ที่ออกไล่ล่าทุกคนที่ออกมานอกค่าย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าไรท์อาร์มมีจริงมั้ย ความหวังเท่านั้นที่จะนำทางพวกเขาได้

ด้วยที่เป็นหนังภาคต่อ สเกลหนังย่อมขยายใหญ่ขึ้น เมื่อหลุดออกมาจากวงกตแล้ว โลกนี้ย่อมกว้างขึ้น รู้จักคนอื่นๆมากขึ้น ต้องยอมรับผู้กำกับ Wes Ball ที่สามารถเล่าเรื่องได้ต่อเนื่องจากภาคแรกได้ดีและดูไม่ติดขัด แม้มาตรฐานภาคแรกจะทำไว้ดีกว่าในสายตาผู้เขียน แต่ภาคนี้ถือว่าจัดเต็มด้านงานสร้างในดินแดนมอดไหม้ที่ขอกราบเลยว่าทำได้ยิ่งใหญ่ และน่ากลัวไปในเวลาเดียวกันได้ ฉากการเดินทางในทะเลทรายเข้าขั้นกว้างใหญ่ ฉากวิ่งไล่ล่ามีแทบจะทั้งเรื่อง ทั้งวิ่งหนีวิคเคด วิ่งหนีพายุทราย วิ่งหนีฝูงแครงค์ วิ่งหนีระเบิด วิ่งหนีลูกปืน ทุกฉากที่มีการวิ่งทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น และลุ้นได้ตลอด
Dylan O'Brien เล่นเป็นโทมัสที่ดูมีมิติลึกขึ้น ไม่ใช่อยากรู้อยากเห็นมากแบบในภาคก่อน เมื่อภาคนี้กลายเป็นกึ่งๆผู้นำทีม และต้องตัดสินใจเป็นตาย และเมื่อการตัดสินใจแต่ละครั้งของเขา เริ่มไม่ได้รับความไว้วางใจรวมไปถึงนำมาซึ่งการสูญเสีย การพิสูจน์ตัวเองย่อมเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาเชื่อใจอีกครั้ง ต้องชมดีแลน ที่แสดงได้เข้าถึงมากขึ้น ดูมีเสน่ห์มากขึ้น และที่สำคัญฉากจบที่เท่ห์มาก

นักแสดงสมทบยังทำหน้าที่ได้ดีทุกคน
Thomas Sangster เป็นนิวท์ที่สุขุมขึ้น และเชื่อใจโทมัสทุกครั้งในการตัดสินใจ แม้จะมีบ้างที่คลางแคลงแต่ความเชื่อใจก็กลับมาได้เสมอ
Ki Hong Lee จากนักวิ่งมินโฮที่กล้าแกร่ง และไม่กลัวอันตราย มาภาคนี้ได้เห็นมิติที่ตื้นลึกหนาบางขึ้น อีกทั้งความกลัวในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจซึ่งแสดงออกมาได้ดีมาก (ใครเป็นแฟนๆมินโฮอาจมีอารมณ์...ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ)และตัวการสำคัญ
Kaya Scodelario เล่นเป็นเทเรซ่าที่ดูมีความลับมากขึ้น มีอะไรมากขึ้นแต่เสน่ห์ภาคนี้ดูลดลงอย่างประหลาด แต่ตอนจบของหนังนี่คือ (อยากจะปาถังป๊อบคอร์นใส่หล่อนมาก)
อย่างที่กล่าวว่าภาคแรกมีการตีความประเด็นวัยรุ่นได้น่าสนใจ ทั้งทางวงกตที่หมายถึงชีวิตวัยรุ่นที่บางคนอาจหลงทาง บางคนอาจเลือกทางที่ถูก บางคนอยากออกไปเห็นโลกกว้างบางคนอยากอยู่อย่างปลอดภัย รวมไปถึงการบีบทางเลือกของผู้ใหญ่ที่ทำกับเด็กทำให้ทางเลือกของเด็กมีน้อย มาภาคนี้แม้ประเด็นโลกกว้างและการบีบบังคับของวิคเคดจะบอกเล่าได้ถึงชีวิตวัยรุ่นได้ แต่ดูไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะหลังจากหนีออกมาได้ ทุกอย่างดูเป็นหนังไล่ล่าที่สนุกมากๆแทน ซึ่งน่าเสียดายหากว่ามีการเล่าประเด็นตรงส่วนที่บอกมาซักหน่อย นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงชุดเดิมแล้ว หนังน่าจะมีอะไรให้พูดถึงมากกว่านี้
ถามว่าหนังสนุกมั้ย ตอบได้เต็มปากว่า สนุกมาก แต่โดยส่วนตัวชอบภาคแรกมากกว่าตรงมีประเด็นให้เล่าได้กลมกลืนกว่า ภาคนี้ฉากวิ่งยังสนุกเหมือนเดิม และตอนจบของหนังที่บิ้วอารมรืคนดูให้อยากดูตอนจบ ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก หวังว่าแค่คงไม่มี The Maze Runner 3.1 ไรงี้ก็พอ
ref:
http://moviereviewnonranger.blogspot.com/
Maze Runner The Scorch Trials ไม่ดีเท่าของเก่าแต่สนุมาก
หลังจาก The Maze Runner เข้าฉายเมื่อปีก่อนแล้วฮิตแบบไม่คาดคิด ทำให้ภาคต่อต้องตามออกมาแบบทันควัน ในชื่อ The Maze Runner : The Scorch Trials ซึ่งตัวผู้เขียนยอมรับว่าภาคแรกนั้นทำออกมาได้น่าสนใจมาก ทั้งข้อคิดเรื่องชีวิตวัยรุ่น การตัดสินใจของวัยรุ่น รวมถึงการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ต้องเอาตัวรอด รวมไปถึงความลึกลับและปริศนาที่ทำออกในภาคแรกได้ดีมากๆ พอมีภาคต่อ ในใจก็ไม่หวังว่าการเล่นประเด็นมันจะดีเท่าภาคแรก แต่ขอแค่ความสนุกยังคงมีอยู่ก็พอเพียงแล้วสำหรับภาคนี้ ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร
หนังเริ่มต่อจากภาคแรกแบบทันที หลังจากโทมัส นิวท์ มินโฮ และเทเรซ่าถูกช่วยเหลืออกมาจากในวงกต พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่ได้มีแค่พวกเขาที่ถูกเลือก ยังมีเด็กๆวัยรุ่นอีกมากมายที่พบชะตากรรมเดียวกัน และถูกพาตัวมายังค่ายเก็บตัวของวิคเคด บริษัทที่โทมัสเคยทำงานด้วย แม้จะได้พบกับเพื่อนใหม่และอยู่อย่างสุขสบายขึ้น โทมัสกลับไม่รู้สึกปลอดภัยอย่างที่เห็น จนได้พบกับ แอรีส เด็กในค่ายที่พาโทมัสไปดูห้องเก็บพวกเด็กที่ถูกเลือก ซึ่งเหมือนถูกทำให้เป็นศพ เมื่อโทมัสรู้ตัวว่าสถานที่นี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป โทมัสต้องพาเพื่อนๆทุกคนหนีออกจากค่ายฝ่าดินแดนมอดไหม้ ดินแดนที่ถูกพระอาทิตย์แผดเผา เพื่อไปยังค่ายของไรท์อาร์มที่ว่ากันว่าคอยต่อต้านวิคเคดอยู่ ทุกคนต้องหนีจากการตามล่าของวิคเคดและฝูงแครงค์ที่เป็นเหมือนซากศพเดินได้ที่ออกไล่ล่าทุกคนที่ออกมานอกค่าย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าไรท์อาร์มมีจริงมั้ย ความหวังเท่านั้นที่จะนำทางพวกเขาได้
ด้วยที่เป็นหนังภาคต่อ สเกลหนังย่อมขยายใหญ่ขึ้น เมื่อหลุดออกมาจากวงกตแล้ว โลกนี้ย่อมกว้างขึ้น รู้จักคนอื่นๆมากขึ้น ต้องยอมรับผู้กำกับ Wes Ball ที่สามารถเล่าเรื่องได้ต่อเนื่องจากภาคแรกได้ดีและดูไม่ติดขัด แม้มาตรฐานภาคแรกจะทำไว้ดีกว่าในสายตาผู้เขียน แต่ภาคนี้ถือว่าจัดเต็มด้านงานสร้างในดินแดนมอดไหม้ที่ขอกราบเลยว่าทำได้ยิ่งใหญ่ และน่ากลัวไปในเวลาเดียวกันได้ ฉากการเดินทางในทะเลทรายเข้าขั้นกว้างใหญ่ ฉากวิ่งไล่ล่ามีแทบจะทั้งเรื่อง ทั้งวิ่งหนีวิคเคด วิ่งหนีพายุทราย วิ่งหนีฝูงแครงค์ วิ่งหนีระเบิด วิ่งหนีลูกปืน ทุกฉากที่มีการวิ่งทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น และลุ้นได้ตลอด
Dylan O'Brien เล่นเป็นโทมัสที่ดูมีมิติลึกขึ้น ไม่ใช่อยากรู้อยากเห็นมากแบบในภาคก่อน เมื่อภาคนี้กลายเป็นกึ่งๆผู้นำทีม และต้องตัดสินใจเป็นตาย และเมื่อการตัดสินใจแต่ละครั้งของเขา เริ่มไม่ได้รับความไว้วางใจรวมไปถึงนำมาซึ่งการสูญเสีย การพิสูจน์ตัวเองย่อมเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาเชื่อใจอีกครั้ง ต้องชมดีแลน ที่แสดงได้เข้าถึงมากขึ้น ดูมีเสน่ห์มากขึ้น และที่สำคัญฉากจบที่เท่ห์มาก
นักแสดงสมทบยังทำหน้าที่ได้ดีทุกคน Thomas Sangster เป็นนิวท์ที่สุขุมขึ้น และเชื่อใจโทมัสทุกครั้งในการตัดสินใจ แม้จะมีบ้างที่คลางแคลงแต่ความเชื่อใจก็กลับมาได้เสมอ Ki Hong Lee จากนักวิ่งมินโฮที่กล้าแกร่ง และไม่กลัวอันตราย มาภาคนี้ได้เห็นมิติที่ตื้นลึกหนาบางขึ้น อีกทั้งความกลัวในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจซึ่งแสดงออกมาได้ดีมาก (ใครเป็นแฟนๆมินโฮอาจมีอารมณ์...ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ)และตัวการสำคัญ Kaya Scodelario เล่นเป็นเทเรซ่าที่ดูมีความลับมากขึ้น มีอะไรมากขึ้นแต่เสน่ห์ภาคนี้ดูลดลงอย่างประหลาด แต่ตอนจบของหนังนี่คือ (อยากจะปาถังป๊อบคอร์นใส่หล่อนมาก)
อย่างที่กล่าวว่าภาคแรกมีการตีความประเด็นวัยรุ่นได้น่าสนใจ ทั้งทางวงกตที่หมายถึงชีวิตวัยรุ่นที่บางคนอาจหลงทาง บางคนอาจเลือกทางที่ถูก บางคนอยากออกไปเห็นโลกกว้างบางคนอยากอยู่อย่างปลอดภัย รวมไปถึงการบีบทางเลือกของผู้ใหญ่ที่ทำกับเด็กทำให้ทางเลือกของเด็กมีน้อย มาภาคนี้แม้ประเด็นโลกกว้างและการบีบบังคับของวิคเคดจะบอกเล่าได้ถึงชีวิตวัยรุ่นได้ แต่ดูไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะหลังจากหนีออกมาได้ ทุกอย่างดูเป็นหนังไล่ล่าที่สนุกมากๆแทน ซึ่งน่าเสียดายหากว่ามีการเล่าประเด็นตรงส่วนที่บอกมาซักหน่อย นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงชุดเดิมแล้ว หนังน่าจะมีอะไรให้พูดถึงมากกว่านี้
ถามว่าหนังสนุกมั้ย ตอบได้เต็มปากว่า สนุกมาก แต่โดยส่วนตัวชอบภาคแรกมากกว่าตรงมีประเด็นให้เล่าได้กลมกลืนกว่า ภาคนี้ฉากวิ่งยังสนุกเหมือนเดิม และตอนจบของหนังที่บิ้วอารมรืคนดูให้อยากดูตอนจบ ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก หวังว่าแค่คงไม่มี The Maze Runner 3.1 ไรงี้ก็พอ
ref:http://moviereviewnonranger.blogspot.com/