การลาออกครั้งสุดท้าย กับบทบาทใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม (เลี้ยงลูกเป็นเด็กสองภาษา)

สวัสดีค่ะ
เราเป็นสมาชิกพันทิปมานานแล้วค่า คอยตามอ่านกระทู้คนอื่นมาก็เยอะ วันนี้เพิ่งตั้งกระทู้ของตัวเองในพันทิปครั้งแรกค่ะ
เท้าความก่อนนะคะ เราเป็นแม่ ที่มีความคิดอยากเลี้ยงลูกเอง เพราะเคยอ่านหนังสือ “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” ของนักเขียนชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง แล้วประทับใจแนวคิดการเลี้ยงลูกของเค้ามาก และยังอยากเลี้ยงลูกเป็นเด็กสองภาษาด้วย การมีเวลาเลี้ยงลูกเองแบบเต็มตัวจึงสำคัญมาก แต่ก็ติดขัดเรื่องต้องทำงานประจำ เพราะไม่ได้ร่ำรวยอะไร เราจึงทำงานประจำควบคู่การเลี้ยงลูกมาโดยตลอด โดยส่งลูกไป Nursery ใกล้บ้านค่ะ จนคิดว่าก็โอเคนะ คงต้องทำอย่างนี้ไปตลอดแล้วหล่ะ ตอนนั้นก็ถอดใจเรื่องการสอนลูกแบบสองภาษา เพราะกลับมาจากทำงาน ก็เหนื่อยแล้ว ไม่สามารถสนุกกับการสอนลูกได้อีก ทำได้อย่างมากแค่เล่านิทานนิดหน่อย แล้วก็ส่งเข้านอน ตื่นเช้ามาก็ส่งลูกไป Nursery อีก วนเวียนทำแบบนี้อยู่เกือบปี


***หนูชื่อจันทร์เจ้าค่ะ มาแนะนำตัวจ้า***



จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกไม่สบายแล้วคุณหมอถามว่าเป็นหวัดบ่อยแบบนี้ส่ง Nursery ใช่มั๊ย เราตอบว่าใช่ (ช่วงนั้นน้องเป็นหวัดบ่อยมาก น้ำมูกไหลตลอดจนคิดว่าเป็นภูมิแพ้ หาหมอแทบทุกอาทิตย์  ไม่ใช่ว่า Nursery ไม่ดีนะคะ Nursery ที่เราส่งน้องไปดีมากๆ ค่ะ ประทับใจสุดๆ แต่เมื่อเด็กๆ อยู่รวมกันเยอะๆ และยิ่งเป็นเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังทำงานไม่เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่ก็จะติดหวัดกันง่าย วนเวียนอยู่ในหมู่เด็กค่ะ) หมอถามว่าคุณแม่ทำงานอะไรคะ เงินเดือนเยอะมากจนเสียดายถ้าจะลาออกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นทำไมไม่ลาออกมาเลี้ยงลูกเอง ไม่มีอะไรคุ้มไปกว่านี้อีกแล้วนะ เรางี้เจ็บจี๊ดเลยค่ะ เพราะว่ามันช่างตรงใจ แต่จะทำอย่างนั้นได้ยังไง ภาระมากมาย ค่าใช้จ่ายมากมี ทำยังไงดี เมื่อลูกต้องเลี้ยง รายได้ต้องมี หนี้ต้องจ่าย ถึงเงินเดือนเราไม่ถึงขั้นลาออกแล้วเสียดาย แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้เยอะอยู่ อีกอย่างเราไม่พร้อมจริงๆ ณ ตอนนั้น
ช่วงนั้นน้องก็ป่วยบ่อย เราก็ลางานเรื่อยๆ เกรงใจที่ทำงานมาก แม่ๆ ที่ทำงานประจำคงเข้าใจดีว่า เวลาลูกป่วยแล้วแม่ต้องทำงาน ไม่สามารถไปรับลูกได้ทันที หรือไม่สะดวกลางานนี่น้ำตาจะไหลเลยนะคะ กระวนกระวาย ว้าวุ่นใจเหมือนมีไฟสุม ทำงานไม่เป็นสุข เป็นยังไงก็เข้าใจซึ้งดีตอนนี้หละค่ะ
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายที่สุด จุดพลิกผันของชีวิตมาถึงตอนที่เรามีลูกคนที่สอง และพบว่าน้องมีโรคประจำตัว เป็นผนังหัวใจรั่ว ไม่สามารถส่ง Nursery ได้ เราจึงเจอโจทย์หนักใจ จะทำอย่างไรกับชีวิต จะฝากย่าเลี้ยง หรือจะออกมาเลี้ยงเอง หรือจะส่ง Nursery แต่ไม่บอกความจริงว่ามีโรคประจำตัวดี ตอนนั้นคิดหนักมาก กลุ้มใจสุดๆ จะออกจากงงานประจำก็ไม่ได้มีเงินถุง เงินถัง เกรงใจสามีมากจริงๆ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะตกอยู่ที่เค้าคนเดียว อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เรื่องค่ารักษาน้องด้วย ทำยังไงดีๆๆๆๆ ถามตัวเองอย่างนี้วันละ 108 รอบ แต่เมื่อเอาหัวโขกกำแพง 3 ตลบ คิดทบทวนข้อดี ข้อเสียของการฝากเลี้ยง กับเลี้ยงเองแล้วจึงได้คำตอบง่ายๆ ให้กับตัวเองค่ะว่า งานสำคัญที่สุดของแม่ก็คือการเลี้ยงลูกนะคะ ในเวลานี้ไม่มีงานอะไรสำคัญกว่านี้อีกแล้ว และขอบคุณสวรรค์คุณสามีเห็นด้วยทุกประการ

***ผมชื่อจูล่งคร้าบบบ***

[img]http://f.ptcdn.info/537/035/000/1442482676-JL1-o.jpg[/img

เดี๋ยวมาเล่าต่อจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่