แ ฮ่ ก ๆ ๆ ....
เสียงหายใจรุนแรงกระหืบหอบเหนื่อยของกระทาชายสามหน่อวิ่งวนในเงาหมองมืดภายใต้วงกตกลางขุนเขาที่รายล้อมรอบกำแพงสูงตระหง่าน
"เร็วเข้า ข้าเห็นไฟส่องมาทางโน้นไวๆ"
หนึ่งในชายที่วิ่งนำตระโกนกล่าวขณะที่กวักมือเรียกเพื่อนที่เร่งฝีก้าวตามมาอย่างกระชั้น กลุ่มชายผ่ายผอมวิ่งฝ่าดินแดนที่แร้นแค้น และปกคลุมไปด้วยหมอกฝุ่น ความชุ่มชื้นของหยาดฝนครั้งสุดท้ายที่มาเยือนมาตุภูมินั้นมีเพียงในสมุดเรื่องเล่าที่ปู่ย่าเปิดให้ดู
การขาดคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเหตุให้กลุ่มชายต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างใดอย่างนึงเพื่อต่อลมหายใจของตนเอง การดิ้นรั้นครั้งสุดท้ายถูกใช้กับภารกิจครั้งนี้ ความหวังเดียวของทุกชีวิตถูกซ่อนอยู่หลังกำแพง
กระเป๋าเป้สะพายหลังแต่ละคนถูกเติมเต็มด้วยอุปกรณ์ยังชีพที่คาดหวังกับคุณภาพไม่ได้ อาหารที่เกือบจะทำได้แค่กระเพาะเต็ม มีดสั้นด้ามพันด้วยผ้าเป็นอาวุธเดียวที่มีและใช้การอะไรไม่ได้มากนัก เสื้อผ้าน้อยชิ้น แม้แต่กระเป๋าเองก็ขาดวิ่นเป็นเพียงเศษผ้าที่ห่อหุ้มเศษผ้าอีกที
กำแพงชนชั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อแยกกลุ่มคนออกจากกันโดยฝ่ายรัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว การแบ่งแยกเริ่มก่อตัวขึ้นฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุน ประชาธิปไตยในยุคแบ่งแยก มีเพียง ขาวและดำ ซ้ายและขวา ทุกหมู่เหล่าถูกบังคับให้เลือก การนั่งนิ่งเป็นสิ่งผิด การเอ่ยเอื้อนสิทธิถูกริดรอน อาวุธถูกนำมาเป็นเชื้อเร่งให้เลือกข้าง คำกล่าวอ้างของฝ่ายกุมอำนาจถูกนำมาเกลี่ยกล่อมถ่ายทอดผ่านสื่อหลัก อำนาจถูกแบ่งให้เพียงผองเพื่อนเพื่อคำสนับสนุนในพลังอันมิชอบของตนเอง
"กบฏ"ถูกนำมาปักไว้บนชายคาของกลุ่มดวงตาที่เห็นต่าง การขับไล่ก่อบังเกิด ทรัพยากรที่มีอย่างจำเขี่ยถูกเรี่ยไรไปผลาญเพื่อใช้แก่งแย่งชิงพื้นที่ จุดแตกหักมาจากซากศพที่ถูกเปิดเผย ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นศพจากฝ่ายใด แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะนำมาให้เป็นเหตุแห่งการฆ่าฟัน คำสวยหรูของผู้นำทั้งสองฝ่ายที่ใช้เป็นเหตุผลของการผลาญชีวิต
"อุดมการณ์" และ "ความสงบ"
เสียงเฮโลกู่ก้องร้องกวีของผู้กล้าดังสะท้าน มนุษย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากมายแต่ไฉนต้องพ่ายแพ้แก่ความเขลาของสัญชาติญาญแห่งการรบรา จิตใต้สำนึกถอดรหัสว่า การฆ่า คือความถูกต้อง แพ้-ชนะ คืออัตลักษณ์ที่ถูกขีดบนหน้าผาก
-แน่นอนผู้พ่ายแพ้ย่อมไร้ที่ยืน-
กลุ่มกบฏถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยอาวุธและความแข็งแกร่งของผู้กุมอำนาจ กำแพงปรากฏตั้งตระหง่านหลังจากเหตุการณ์ไม่กี่ปี ความสูงของกำแพงถูกห่อหุ้มด้วยเม็ดตะกั่วจากกระบอกปืนอีกชั้นเพื่อกันมนุษย์ออกจากมนุษย์ด้วยกันเอง
ผู้คนนอกกำแพงถูกขนานนามว่าสัตว์สองขา ความเป็นอยู่ต่ำต้อยกว่าเมื่อเทียบกับหมาที่ถูกเลี้ยงในกำแพง การพยายามลอบเข้าไปหลังกำแพงของกบฏเกิดขึ้นมานานับอนันต์ตลอดเกือบ 50 ปีมานี้ แต่การรอดกลับมา กลับไม่ปรากฏบนประวัติจารึก โดดลงเหวคือคำเปรยที่ใกล้เคียงที่สุดของการกระทำ แต่กระนั้นการได้ลองคือสิ่งที่สามหนุ่มครุ่นคิดและพร้อมยอมแลกด้วยชีวิตหากมันก่อความต่างในทางที่ดีแม้เพียงน้อย
"ปั ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
เสียงไล่หลังสามหนุ่มมาลิบๆ เม็ดเหงือผุดออกมาเป็นดอกเห็ดตั้งแต่โคนผม ไหลย้อยลงมาตรงได้คางก่อนกระเซ็นสาดหายไปในความมืด ความกลัวตอนนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าแรงปราถนาของการอยู่รอด ความหวังกระโดดเหยียบความกลัวที่ตัวใหญ่ให้ลงไปอยู่ใต้อุ้งเท้า กิ่งไม้น้อยใหญ่ฟาดหน้าปาดตา ก่อให้เกิดแผลน้อยใหญ่บนใบหน้าและเรือนร่าง พงหญ้าสูงเทียมเข่าเริ่มเกี่ยวรั้ง อาการอ่อนล้าแปลงเปลี่ยนเป็นตุ้มเหล็กที่ทับแผ่นหลังรั้งให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างลำบากลำบน
"โ อ้ ย!!! ตุ๊ บ...ค ลุ ก ๆ ...ไปๆ รีบไปไม่ต้องเป็นห่วง"
หนึ่งหนุ่มล้มลงกลิ้งเกลือกบนพงหญ้า พลางเงยหน้าแล้วไล่เพื่อนทั้งสองให้ไปโดยไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งสองพะวงหน้าหลังมองหน้ากันแล้วจ้ำเท้าก้าวต่อด้วยใบหน้าที่ห่วงใยแต่คงทำได้แค่ไปต่อให้ไกลที่สุด โดยแบกความหวังของเพื่อนผู้หกล้มไปด้วย
ทั้งสองทิ้งเป้ขาดวิ่นเพื่อลดน้ำหนักถือมาเพียงมีดสั้นด้ามเดียวที่พอจะจะใช้ประโยชน์ได้บ้านในสถานการณ์เช่นนี้ เสียงปืนดัง ปังๆ ตามหลังมาไกลๆ น้ำตาเริ่มคลอออกมาผสมเข้ากับหยาดเหงื่อ ก้าวเท้าเริ่มช้าลง สมองเบาหวิวผลิตคำสั่งให้หันหลังกลับทำอะไรมากกว่าวิ่งหนี
"ต้องสู้สิ"
เสียงหนุ่มร่างเล็กบอกเพื่อน
"จะไหวเหรอ?"
"ต้องไหวสิ เราหลบเข้าหลังต้นไม้ติดกำแพงนั้น ดักรอมัน"
อีกคนพยักหน้า ทั้งสองกระโดดเข้าพงหญ้าใต้ต้นไม้แห้งกรังติดกำแพง กัดฟันสะกดเสียงหอบกระแฮ่กที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงพ่นลมออกจากจมูกและเหงื่อที่วิ่งเข้าตา ขณะนอนคว่ำตั้งหน้าซุ่มดูคนที่ตามมา ทหารสองคนพร้อมปืนวิ่งมาหยุดใกล้ๆ
"พวกมันไปไหน"
เสียงหนึ่งเล็ดรอดแทรกเข้ามาผสมกับเสียงหายใจแรงๆเพื่อผ่อนความเหนื่อย ทั้งสองหยุดพักพยายามหันมองซ้ายขวาหาผู้ร้ายในเงามืด
ความเงียบเริ่มแสดงพลัง เข้าปกคลุมบรรยากาศ ผู้บุกรุกนอนหมอบมองดูอย่างนิ่งสงบทั้งที่ในเต้นระรัว ผู้ป้องกัน สาดสายตามองหาท่ามกลางความสลัวที่มีหน้าที่ครอบทับอีกชั้นนึง
"ปั ง ๆ ๆ ๆ" เสียงปืนยิงสุ่มรอบ
"ห่านเอ้ย ออกมาสิว่ะไอ้พวกนอกกำแพงเดนตาย!!!!"
"

จะเข้ามาหาห่านอะไรว่ะ"
สองทหารเดินวนไปทั่ว ด้วยความร้อนรนแต่มั่นใจว่าผู้บุกรุกต้องซ่อนไม่ไกล เสียงเหยียบกิ่งไม้และการเคลื่อนไหวควานหาในฝุ่นฟุ้ง
(ต่อ)
[Shot Story] Dystopia#1 ฝ่ากำแพง
แ ฮ่ ก ๆ ๆ ....
เสียงหายใจรุนแรงกระหืบหอบเหนื่อยของกระทาชายสามหน่อวิ่งวนในเงาหมองมืดภายใต้วงกตกลางขุนเขาที่รายล้อมรอบกำแพงสูงตระหง่าน
"เร็วเข้า ข้าเห็นไฟส่องมาทางโน้นไวๆ"
หนึ่งในชายที่วิ่งนำตระโกนกล่าวขณะที่กวักมือเรียกเพื่อนที่เร่งฝีก้าวตามมาอย่างกระชั้น กลุ่มชายผ่ายผอมวิ่งฝ่าดินแดนที่แร้นแค้น และปกคลุมไปด้วยหมอกฝุ่น ความชุ่มชื้นของหยาดฝนครั้งสุดท้ายที่มาเยือนมาตุภูมินั้นมีเพียงในสมุดเรื่องเล่าที่ปู่ย่าเปิดให้ดู
การขาดคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเหตุให้กลุ่มชายต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างใดอย่างนึงเพื่อต่อลมหายใจของตนเอง การดิ้นรั้นครั้งสุดท้ายถูกใช้กับภารกิจครั้งนี้ ความหวังเดียวของทุกชีวิตถูกซ่อนอยู่หลังกำแพง
กระเป๋าเป้สะพายหลังแต่ละคนถูกเติมเต็มด้วยอุปกรณ์ยังชีพที่คาดหวังกับคุณภาพไม่ได้ อาหารที่เกือบจะทำได้แค่กระเพาะเต็ม มีดสั้นด้ามพันด้วยผ้าเป็นอาวุธเดียวที่มีและใช้การอะไรไม่ได้มากนัก เสื้อผ้าน้อยชิ้น แม้แต่กระเป๋าเองก็ขาดวิ่นเป็นเพียงเศษผ้าที่ห่อหุ้มเศษผ้าอีกที
กำแพงชนชั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อแยกกลุ่มคนออกจากกันโดยฝ่ายรัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว การแบ่งแยกเริ่มก่อตัวขึ้นฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุน ประชาธิปไตยในยุคแบ่งแยก มีเพียง ขาวและดำ ซ้ายและขวา ทุกหมู่เหล่าถูกบังคับให้เลือก การนั่งนิ่งเป็นสิ่งผิด การเอ่ยเอื้อนสิทธิถูกริดรอน อาวุธถูกนำมาเป็นเชื้อเร่งให้เลือกข้าง คำกล่าวอ้างของฝ่ายกุมอำนาจถูกนำมาเกลี่ยกล่อมถ่ายทอดผ่านสื่อหลัก อำนาจถูกแบ่งให้เพียงผองเพื่อนเพื่อคำสนับสนุนในพลังอันมิชอบของตนเอง
"กบฏ"ถูกนำมาปักไว้บนชายคาของกลุ่มดวงตาที่เห็นต่าง การขับไล่ก่อบังเกิด ทรัพยากรที่มีอย่างจำเขี่ยถูกเรี่ยไรไปผลาญเพื่อใช้แก่งแย่งชิงพื้นที่ จุดแตกหักมาจากซากศพที่ถูกเปิดเผย ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นศพจากฝ่ายใด แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะนำมาให้เป็นเหตุแห่งการฆ่าฟัน คำสวยหรูของผู้นำทั้งสองฝ่ายที่ใช้เป็นเหตุผลของการผลาญชีวิต
"อุดมการณ์" และ "ความสงบ"
เสียงเฮโลกู่ก้องร้องกวีของผู้กล้าดังสะท้าน มนุษย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากมายแต่ไฉนต้องพ่ายแพ้แก่ความเขลาของสัญชาติญาญแห่งการรบรา จิตใต้สำนึกถอดรหัสว่า การฆ่า คือความถูกต้อง แพ้-ชนะ คืออัตลักษณ์ที่ถูกขีดบนหน้าผาก
-แน่นอนผู้พ่ายแพ้ย่อมไร้ที่ยืน-
กลุ่มกบฏถูกขับไล่ออกจากเมืองด้วยอาวุธและความแข็งแกร่งของผู้กุมอำนาจ กำแพงปรากฏตั้งตระหง่านหลังจากเหตุการณ์ไม่กี่ปี ความสูงของกำแพงถูกห่อหุ้มด้วยเม็ดตะกั่วจากกระบอกปืนอีกชั้นเพื่อกันมนุษย์ออกจากมนุษย์ด้วยกันเอง
ผู้คนนอกกำแพงถูกขนานนามว่าสัตว์สองขา ความเป็นอยู่ต่ำต้อยกว่าเมื่อเทียบกับหมาที่ถูกเลี้ยงในกำแพง การพยายามลอบเข้าไปหลังกำแพงของกบฏเกิดขึ้นมานานับอนันต์ตลอดเกือบ 50 ปีมานี้ แต่การรอดกลับมา กลับไม่ปรากฏบนประวัติจารึก โดดลงเหวคือคำเปรยที่ใกล้เคียงที่สุดของการกระทำ แต่กระนั้นการได้ลองคือสิ่งที่สามหนุ่มครุ่นคิดและพร้อมยอมแลกด้วยชีวิตหากมันก่อความต่างในทางที่ดีแม้เพียงน้อย
"ปั ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
เสียงไล่หลังสามหนุ่มมาลิบๆ เม็ดเหงือผุดออกมาเป็นดอกเห็ดตั้งแต่โคนผม ไหลย้อยลงมาตรงได้คางก่อนกระเซ็นสาดหายไปในความมืด ความกลัวตอนนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าแรงปราถนาของการอยู่รอด ความหวังกระโดดเหยียบความกลัวที่ตัวใหญ่ให้ลงไปอยู่ใต้อุ้งเท้า กิ่งไม้น้อยใหญ่ฟาดหน้าปาดตา ก่อให้เกิดแผลน้อยใหญ่บนใบหน้าและเรือนร่าง พงหญ้าสูงเทียมเข่าเริ่มเกี่ยวรั้ง อาการอ่อนล้าแปลงเปลี่ยนเป็นตุ้มเหล็กที่ทับแผ่นหลังรั้งให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างลำบากลำบน
"โ อ้ ย!!! ตุ๊ บ...ค ลุ ก ๆ ...ไปๆ รีบไปไม่ต้องเป็นห่วง"
หนึ่งหนุ่มล้มลงกลิ้งเกลือกบนพงหญ้า พลางเงยหน้าแล้วไล่เพื่อนทั้งสองให้ไปโดยไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งสองพะวงหน้าหลังมองหน้ากันแล้วจ้ำเท้าก้าวต่อด้วยใบหน้าที่ห่วงใยแต่คงทำได้แค่ไปต่อให้ไกลที่สุด โดยแบกความหวังของเพื่อนผู้หกล้มไปด้วย
ทั้งสองทิ้งเป้ขาดวิ่นเพื่อลดน้ำหนักถือมาเพียงมีดสั้นด้ามเดียวที่พอจะจะใช้ประโยชน์ได้บ้านในสถานการณ์เช่นนี้ เสียงปืนดัง ปังๆ ตามหลังมาไกลๆ น้ำตาเริ่มคลอออกมาผสมเข้ากับหยาดเหงื่อ ก้าวเท้าเริ่มช้าลง สมองเบาหวิวผลิตคำสั่งให้หันหลังกลับทำอะไรมากกว่าวิ่งหนี
"ต้องสู้สิ"
เสียงหนุ่มร่างเล็กบอกเพื่อน
"จะไหวเหรอ?"
"ต้องไหวสิ เราหลบเข้าหลังต้นไม้ติดกำแพงนั้น ดักรอมัน"
อีกคนพยักหน้า ทั้งสองกระโดดเข้าพงหญ้าใต้ต้นไม้แห้งกรังติดกำแพง กัดฟันสะกดเสียงหอบกระแฮ่กที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงพ่นลมออกจากจมูกและเหงื่อที่วิ่งเข้าตา ขณะนอนคว่ำตั้งหน้าซุ่มดูคนที่ตามมา ทหารสองคนพร้อมปืนวิ่งมาหยุดใกล้ๆ
"พวกมันไปไหน"
เสียงหนึ่งเล็ดรอดแทรกเข้ามาผสมกับเสียงหายใจแรงๆเพื่อผ่อนความเหนื่อย ทั้งสองหยุดพักพยายามหันมองซ้ายขวาหาผู้ร้ายในเงามืด
ความเงียบเริ่มแสดงพลัง เข้าปกคลุมบรรยากาศ ผู้บุกรุกนอนหมอบมองดูอย่างนิ่งสงบทั้งที่ในเต้นระรัว ผู้ป้องกัน สาดสายตามองหาท่ามกลางความสลัวที่มีหน้าที่ครอบทับอีกชั้นนึง
"ปั ง ๆ ๆ ๆ" เสียงปืนยิงสุ่มรอบ
"ห่านเอ้ย ออกมาสิว่ะไอ้พวกนอกกำแพงเดนตาย!!!!"
"
สองทหารเดินวนไปทั่ว ด้วยความร้อนรนแต่มั่นใจว่าผู้บุกรุกต้องซ่อนไม่ไกล เสียงเหยียบกิ่งไม้และการเคลื่อนไหวควานหาในฝุ่นฟุ้ง
(ต่อ)