เผอิญวันนี้ ไปเห็นเพื่อนท่านหนึ่ง เข้ามาโพสต์ข้อความที่หน้าเพจเกี่ยวกับเรื่อง ประกาศระดมคนไทยเข้ามาช่วย
“ปกป้อง” ท่านนายก เกี่ยวกับเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” กัน ด้วยการให้เดินทางเข้ามาที่ New York City
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเพื่อน 3-4 คน เขียนหลังไมค์เข้ามาสอบถามความคิดเห็น ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดิฉันก็ขอวิเคราะห์
ให้อ่านกันเป็นข้อๆ ก็แล้วกัน:
1. คำถามแรก คือว่า กลุ่มที่ให้ความชื่นชอบกับท่านนายก สามารถกระทำการแบบนี้ได้ไหม? คำตอบสั้นๆ ก็คือ ได้ ค่ะ
ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ กลุ่มที่จะออกมาต่อต้านท่านนายกเช่นกัน เพราะการกระทำในเรื่องนี้ เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
ของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเรียกกันง่ายๆ ว่า Freedom of Expression ตาม
First Amendment of the United States Constitution
2. การประท้วงท่านนายก เป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่? คำตอบอีกอย่างคือ “ไม่” เพราะการประท้วง เป็นการแสดงออก
ทางการเมือง และสถานที่ทำการประท้วงนั้น ประเทศไทยไม่มีอำนาจศาล (Jurisdiction) ในสถานที่นั้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะเป็นดินแดนของประเทศอื่นๆ ตราบใดที่การกระทำ ไม่ได้มีผลในการทำร้ายร่างกาย หรือกระทำการผิดกฎหมายในท้องถิ่น
และถ้าบุคคลผู้ทำการประท้วง กระทำการผิดกฎหมายในท้องถิ่น ทางเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายจะใช้วิจารณญาณเองว่า
ตนเองมีอำนาจศาลในการจับกุมหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทางการของไทย หรือ ของสถานทูตไทยแต่อย่างใด
----------------------------------------------
มีคำถามต่อมาว่า มีเรื่องอะไรที่น่าคิดและน่าสนใจบ้าง เกี่ยวกับผู้ทำการประท้วง?
เนื่องจากเรื่องการประท้วงท่านนายก เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “สิทธิมนุษยชน” และมันมีเรื่องที่ ไม่ครอบคลุม ในเรื่องของ “เสรีภาพของ
การแสดงออก” อยู่ในกฎหมายฉบับหนึ่ง นั่นก็คือ ใน USA มีกฎหมายเกี่ยวกับ เรื่องการห้ามผู้ฝ่าฝืนสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้า
ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดี โอบาม่า ได้ประกาศไว้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ขอบอกก่อนว่า เรื่องนี้ เป็นกฎหมายสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ถือ สัญชาติสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Citizen ส่วนท่านที่เป็น U.S. Citizen
แล้ว ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใดแต่ถ้าท่านถือ Green card เป็นพลเมืองถาวร หรือ ยังอยู่ในสภาพ
นักศึกษาของสถาบันต่างๆ หรือ ยังทำงานกันแบบสภาพของ non-immigrants visa และรวมไปถึงกลุ่ม Robinhood ซึ่งยังหลบหนี
กันอยู่ใน U.S. ก็ควรจะรับทราบไว้ว่า กฎหมายฉบับนี้ มีสิทธิ์บังคับใช้อยู่กับท่านด้วยเช่นกัน
----------------------------------------------
ดิฉันเคยแปลเรื่องนี้ไว้ในบทความในอดีต ในหัวข้อ “Presidential Proclamation--Suspension of Entry as Immigrants and
Non-immigrants of Persons Who Participate in Serious Human Rights and Humanitarian Law Violations and Other Abuses”
แปลเป็นไทยก็คือ บทบัญญัติเพื่อบังคับใช้ในทางกฎหมาย หลังจากที่ได้แถลงการณ์ว่า จะมีผลกระทบกับประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่ง
พยายามเดินทางเข้ามายังประเทศสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากบทความนี้ เป็นบทความที่ยาวมากๆ จึงขอตัดเอา เฉพาะส่วนที่สำคัญมาลงไว้:
(กรุณาดูลิ้งค์ข้างล่าง สำหรับบทความฉบับเต็ม)
----------------------------------------------
บทบัญญัติโดยประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า
วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งยืนหยัดอย่างแน่วแน่ต่อความเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม
มีความปรารถนาว่า รัฐบาลจะสามารถรับรองได้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ไม่เริ่มกลายเป็นดินแดนสรวงสวรรค์ที่ปลอดภัย
สำหรับผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม และผู้ที่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำการอื่นๆที่ส่อ
ไปในทางผิดกฎหมาย ความเคารพในหลักการสากลของสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม และปกป้องความ
โหดร้ายป่าเถื่อนทั่วโลก ช่วยส่งเสริมคุณค่าของประเทศสหรัฐอเมริกา และผลประโยชน์ต่างๆของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อ
ช่วยในเรื่องของการรักษาความสงบสุข, ยับยั้งการล่วงละเมิด, กระชับข้อบังคับทางกฎหมาย ต่อสู้กับอาชญากรรมและการคอร์รัปชั่น,
สร้างรูปแบบประชาธิปไตยให้มั่นคงแข็งแรง, และป้องกันวิกฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทางด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ดังนั้น
ข้าพเจ้า ยึดมั่นว่า เป็นผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะต้องปฏิบัติในการควบคุม จำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
และยกเลิกการเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา, ในฐานะพลเมืองถาวร หรือ พลเมืองชั่วคราว, กับบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะ
ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการกระทำที่
ได้สรุปความในส่วนที่ 1 ของบทบัญญัติการปกครองฉบับนี้
ดังนั้น,ในขณะนี้, ข้าพเจ้า, นายบารัค โอบาม่า, ด้วยอำนาจที่มอบให้กับตัวข้าพเจ้าในฐานะของประธานาธิบดีตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญและกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา, รวมไปถึง ส่วนที่ 212(เอฟ) ของกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมืองและเปลี่ยน
แปลงสัญชาติของปี พ.ศ. 2495, ตามที่เพิ่มจาก (บทที่ 8 ของประมวลกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนที่ 1182(เอฟ),
และ ส่วนที่ 301 ของบทที่ 3 ของประมวลกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา, ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าได้พบว่า การไม่ควบคุม
จำกัดพลเมืองถาวรและพลเมืองชั่วคราวต่อการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กล่าวไว้ในส่วนที่ 1 ของบทบัญญัติฉบับนี้
จะเป็นผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ด้วยเหตุผลนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบัญญัติไว้ว่า:
ส่วนที่ 1. การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะพลเมืองถาวรหรือพลเมืองชั่วคราว ของบุคคลประเภทที่จะกล่าวไว้
จะถูกระงับ ด้วยประการดังนี้:
(เอ) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไป
มีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, กระทำความรุนแรงอย่างกว้างขวาง หรือ
เป็นไปตามระบบกฎเกณฑ์กับประชากรพลเมืองใดๆ ที่มีฐานแตกต่างกัน, ไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน, ในเรื่องของ
ความต่างทางเผ่าพันธุ์; ต่างสีผิว; ต่างเชื้อชาติวงศ์ตระกูล; ต่างเพศ; ต่างในเรื่องของความพิกลพิการไร้ความสามารถ; เป็นสมาชิก
ต่างกลุ่มของชนพื้นเมืองโดยกำเนิด; ต่างภาษา; ต่างศาสนา; ต่างความเห็นทางการเมือง; ต่างชาติกำเนิด; ต่างเชื้อชาติ; เป็นสมาชิก
ที่ต่างกับกลุ่มทางสังคมเฉพาะราย; ต่างการเกิด (อายุ); หรือต่างกันในความปรารถนาทางเพศ หรือ ต่างเอกลักษณ์ทางเพศ; หรือเป็น
ผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำการดังกล่าว
(บี) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วน
ร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, ทางอาชญากรรมสงคราม, ทางอาชญากรรมต่อ
มนุษยชาติหรือการละเมิดสิทธิอื่นๆ อย่างร้ายแรงทางด้านสิทธิมนุษยชน หรือ หรือเป็นผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำ
การดังกล่าว
----------------------------------------------
ดังนั้น การสนับสนุนหรือให้การอนุเคราะห์ อุปถัมภ์กลุ่มที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ดิฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้
เพราะขึ้นอยู่กับ การตรวจสอบและรายงานเข้าไปสู่ Department of Homeland Security เองแต่ถ้ามีการแจ้งให้ทาง
Department of Homeland Security ได้ทราบเกี่ยวกับ “ผู้ออกมาสนับสนุน” กลุ่มที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการ
อาศัยข้อมูลที่รายงานกันจากองค์กรหลายแห่ง อย่างเช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ
และ สำนักงานของ Human Rights Watch
----------------------------------------------
ถ้าอยากออกไป “สนับสนุน” ท่านนายกกัน ดิฉันขอแนะนำว่า ท่านควรจะเป็น U.S. Citizen จะดีกว่ามากๆ เพราะถ้าท่านอยู่ใน
สถานะอื่นที่ไม่ได้ถือสัญชาติสหรัฐอเมริกาเอง ก็อาจจะมี “ฝ่ายตรงข้าม” ทำการแจ้งผู้บังคับใช้กฎหมาย ด้วยการนำเอา
Proclamation ฉบับนี้ ออกมาใช้ปฏิบัติกัน และดิฉันก็มั่นใจว่า บุคคลที่ทำการประท้วงท่านนายกเอง ก็คงจะมี Proclamation ฉบับนี้
พิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อการแจกจ่ายในเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะไม่เช่นนั้น ตัวท่านเอง ก็คงจะเข้าข่ายของการ ออกไป “สนับสนุน”
ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนกัน ตามที่กฎหมายระบุไว้ว่า ท่านเคย...........“สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย
หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง...” เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนหรือไม่....ท่านก็ลองถามตัวท่านเองว่า ท่านอาศัยอยู่ใน U.S.A. ในสถานะใดในเวลานี้ และมันคุ้มค่ากับเวลาและ “ความเสี่ยง”
หรือไม่ ก็แล้วกัน ท่านก็คงจะทราบคำตอบและตัดสินใจกันได้เองแล้ว........
Credit : from คุณ Doungchampa Spencer-Isenberg
สำหรับผู้ที่จะไปเป็นกำลังใจให้ท่านนายก ใน NY
“ปกป้อง” ท่านนายก เกี่ยวกับเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” กัน ด้วยการให้เดินทางเข้ามาที่ New York City
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเพื่อน 3-4 คน เขียนหลังไมค์เข้ามาสอบถามความคิดเห็น ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดิฉันก็ขอวิเคราะห์
ให้อ่านกันเป็นข้อๆ ก็แล้วกัน:
1. คำถามแรก คือว่า กลุ่มที่ให้ความชื่นชอบกับท่านนายก สามารถกระทำการแบบนี้ได้ไหม? คำตอบสั้นๆ ก็คือ ได้ ค่ะ
ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ กลุ่มที่จะออกมาต่อต้านท่านนายกเช่นกัน เพราะการกระทำในเรื่องนี้ เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
ของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเรียกกันง่ายๆ ว่า Freedom of Expression ตาม
First Amendment of the United States Constitution
2. การประท้วงท่านนายก เป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่? คำตอบอีกอย่างคือ “ไม่” เพราะการประท้วง เป็นการแสดงออก
ทางการเมือง และสถานที่ทำการประท้วงนั้น ประเทศไทยไม่มีอำนาจศาล (Jurisdiction) ในสถานที่นั้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะเป็นดินแดนของประเทศอื่นๆ ตราบใดที่การกระทำ ไม่ได้มีผลในการทำร้ายร่างกาย หรือกระทำการผิดกฎหมายในท้องถิ่น
และถ้าบุคคลผู้ทำการประท้วง กระทำการผิดกฎหมายในท้องถิ่น ทางเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายจะใช้วิจารณญาณเองว่า
ตนเองมีอำนาจศาลในการจับกุมหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทางการของไทย หรือ ของสถานทูตไทยแต่อย่างใด
----------------------------------------------
มีคำถามต่อมาว่า มีเรื่องอะไรที่น่าคิดและน่าสนใจบ้าง เกี่ยวกับผู้ทำการประท้วง?
เนื่องจากเรื่องการประท้วงท่านนายก เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “สิทธิมนุษยชน” และมันมีเรื่องที่ ไม่ครอบคลุม ในเรื่องของ “เสรีภาพของ
การแสดงออก” อยู่ในกฎหมายฉบับหนึ่ง นั่นก็คือ ใน USA มีกฎหมายเกี่ยวกับ เรื่องการห้ามผู้ฝ่าฝืนสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้า
ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดี โอบาม่า ได้ประกาศไว้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ขอบอกก่อนว่า เรื่องนี้ เป็นกฎหมายสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ถือ สัญชาติสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Citizen ส่วนท่านที่เป็น U.S. Citizen
แล้ว ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใดแต่ถ้าท่านถือ Green card เป็นพลเมืองถาวร หรือ ยังอยู่ในสภาพ
นักศึกษาของสถาบันต่างๆ หรือ ยังทำงานกันแบบสภาพของ non-immigrants visa และรวมไปถึงกลุ่ม Robinhood ซึ่งยังหลบหนี
กันอยู่ใน U.S. ก็ควรจะรับทราบไว้ว่า กฎหมายฉบับนี้ มีสิทธิ์บังคับใช้อยู่กับท่านด้วยเช่นกัน
----------------------------------------------
ดิฉันเคยแปลเรื่องนี้ไว้ในบทความในอดีต ในหัวข้อ “Presidential Proclamation--Suspension of Entry as Immigrants and
Non-immigrants of Persons Who Participate in Serious Human Rights and Humanitarian Law Violations and Other Abuses”
แปลเป็นไทยก็คือ บทบัญญัติเพื่อบังคับใช้ในทางกฎหมาย หลังจากที่ได้แถลงการณ์ว่า จะมีผลกระทบกับประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่ง
พยายามเดินทางเข้ามายังประเทศสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากบทความนี้ เป็นบทความที่ยาวมากๆ จึงขอตัดเอา เฉพาะส่วนที่สำคัญมาลงไว้:
(กรุณาดูลิ้งค์ข้างล่าง สำหรับบทความฉบับเต็ม)
----------------------------------------------
บทบัญญัติโดยประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า
วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งยืนหยัดอย่างแน่วแน่ต่อความเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม
มีความปรารถนาว่า รัฐบาลจะสามารถรับรองได้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ไม่เริ่มกลายเป็นดินแดนสรวงสวรรค์ที่ปลอดภัย
สำหรับผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม และผู้ที่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำการอื่นๆที่ส่อ
ไปในทางผิดกฎหมาย ความเคารพในหลักการสากลของสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทางด้านมนุษยธรรม และปกป้องความ
โหดร้ายป่าเถื่อนทั่วโลก ช่วยส่งเสริมคุณค่าของประเทศสหรัฐอเมริกา และผลประโยชน์ต่างๆของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อ
ช่วยในเรื่องของการรักษาความสงบสุข, ยับยั้งการล่วงละเมิด, กระชับข้อบังคับทางกฎหมาย ต่อสู้กับอาชญากรรมและการคอร์รัปชั่น,
สร้างรูปแบบประชาธิปไตยให้มั่นคงแข็งแรง, และป้องกันวิกฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทางด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ดังนั้น
ข้าพเจ้า ยึดมั่นว่า เป็นผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะต้องปฏิบัติในการควบคุม จำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
และยกเลิกการเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา, ในฐานะพลเมืองถาวร หรือ พลเมืองชั่วคราว, กับบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะ
ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการกระทำที่
ได้สรุปความในส่วนที่ 1 ของบทบัญญัติการปกครองฉบับนี้
ดังนั้น,ในขณะนี้, ข้าพเจ้า, นายบารัค โอบาม่า, ด้วยอำนาจที่มอบให้กับตัวข้าพเจ้าในฐานะของประธานาธิบดีตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญและกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา, รวมไปถึง ส่วนที่ 212(เอฟ) ของกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมืองและเปลี่ยน
แปลงสัญชาติของปี พ.ศ. 2495, ตามที่เพิ่มจาก (บทที่ 8 ของประมวลกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนที่ 1182(เอฟ),
และ ส่วนที่ 301 ของบทที่ 3 ของประมวลกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา, ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าได้พบว่า การไม่ควบคุม
จำกัดพลเมืองถาวรและพลเมืองชั่วคราวต่อการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กล่าวไว้ในส่วนที่ 1 ของบทบัญญัติฉบับนี้
จะเป็นผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ด้วยเหตุผลนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบัญญัติไว้ว่า:
ส่วนที่ 1. การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะพลเมืองถาวรหรือพลเมืองชั่วคราว ของบุคคลประเภทที่จะกล่าวไว้
จะถูกระงับ ด้วยประการดังนี้:
(เอ) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไป
มีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, กระทำความรุนแรงอย่างกว้างขวาง หรือ
เป็นไปตามระบบกฎเกณฑ์กับประชากรพลเมืองใดๆ ที่มีฐานแตกต่างกัน, ไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน, ในเรื่องของ
ความต่างทางเผ่าพันธุ์; ต่างสีผิว; ต่างเชื้อชาติวงศ์ตระกูล; ต่างเพศ; ต่างในเรื่องของความพิกลพิการไร้ความสามารถ; เป็นสมาชิก
ต่างกลุ่มของชนพื้นเมืองโดยกำเนิด; ต่างภาษา; ต่างศาสนา; ต่างความเห็นทางการเมือง; ต่างชาติกำเนิด; ต่างเชื้อชาติ; เป็นสมาชิก
ที่ต่างกับกลุ่มทางสังคมเฉพาะราย; ต่างการเกิด (อายุ); หรือต่างกันในความปรารถนาทางเพศ หรือ ต่างเอกลักษณ์ทางเพศ; หรือเป็น
ผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำการดังกล่าว
(บี) ชาวต่างชาติใดๆ ซึ่งเคยเป็นผู้วางแผน, สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วน
ร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง, ทางอาชญากรรมสงคราม, ทางอาชญากรรมต่อ
มนุษยชาติหรือการละเมิดสิทธิอื่นๆ อย่างร้ายแรงทางด้านสิทธิมนุษยชน หรือ หรือเป็นผู้ที่มีความพยายามหรือสมรู้ร่วมคิดที่เคยกระทำ
การดังกล่าว
----------------------------------------------
ดังนั้น การสนับสนุนหรือให้การอนุเคราะห์ อุปถัมภ์กลุ่มที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ดิฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้
เพราะขึ้นอยู่กับ การตรวจสอบและรายงานเข้าไปสู่ Department of Homeland Security เองแต่ถ้ามีการแจ้งให้ทาง
Department of Homeland Security ได้ทราบเกี่ยวกับ “ผู้ออกมาสนับสนุน” กลุ่มที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการ
อาศัยข้อมูลที่รายงานกันจากองค์กรหลายแห่ง อย่างเช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ
และ สำนักงานของ Human Rights Watch
----------------------------------------------
ถ้าอยากออกไป “สนับสนุน” ท่านนายกกัน ดิฉันขอแนะนำว่า ท่านควรจะเป็น U.S. Citizen จะดีกว่ามากๆ เพราะถ้าท่านอยู่ใน
สถานะอื่นที่ไม่ได้ถือสัญชาติสหรัฐอเมริกาเอง ก็อาจจะมี “ฝ่ายตรงข้าม” ทำการแจ้งผู้บังคับใช้กฎหมาย ด้วยการนำเอา
Proclamation ฉบับนี้ ออกมาใช้ปฏิบัติกัน และดิฉันก็มั่นใจว่า บุคคลที่ทำการประท้วงท่านนายกเอง ก็คงจะมี Proclamation ฉบับนี้
พิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อการแจกจ่ายในเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะไม่เช่นนั้น ตัวท่านเอง ก็คงจะเข้าข่ายของการ ออกไป “สนับสนุน”
ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนกัน ตามที่กฎหมายระบุไว้ว่า ท่านเคย...........“สั่งการ, ช่วยเหลือ, อนุเคราะห์อุปถัมภ์ และ หนุนหลัง, มอบหมาย
หรือ ถ้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมกระทำการ, รวมไปถึงการได้รับมอบหมายหน้าที่ต่อการกระทำการตามคำสั่ง...” เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนหรือไม่....ท่านก็ลองถามตัวท่านเองว่า ท่านอาศัยอยู่ใน U.S.A. ในสถานะใดในเวลานี้ และมันคุ้มค่ากับเวลาและ “ความเสี่ยง”
หรือไม่ ก็แล้วกัน ท่านก็คงจะทราบคำตอบและตัดสินใจกันได้เองแล้ว........
Credit : from คุณ Doungchampa Spencer-Isenberg