การช่วยเหลือผู้ป่วยบนเครื่องบิน

การช่วยเหลือผู้ป่วยบนเครื่องบิน
(หากเราเป็นแพทย์หรือพยาบาล)


มี review article ใน nejm สัปดาห์ที่แล้วเรื่องนี้น่าสนใจมาก
ผมขออนุญาตรีวิว ร่วมกับ ความรู้และประสบการณ์ของตัวเองเท่าที่เคยเจอมาบนเครื่อง
http://www.nejm.org/doi/pdf/10.1056/NEJMra1409213


1. กฎหมายในประเด็นนี้ซับซ้อนมาก ขึ้นกับว่าเครื่องบินโดยสารลำนั้นจดทะเบียนในประเทศอะไร ก็จะยึดกฎหมายของประเทศนั้นเป็นหลัก (legal jurisdiction) แต่น่านฟ้าของประเทศที่เกิดเหตุ หรือ สัญชาติของผู้ป่วย ยังเป็นประเด็นที่ถกเถึยงกัน ว่าอาจมีผลทางด้านข้อกฎหมาย บางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา หรือ อังกฤษ คุณไม่จำเป็นต้องแสดงตัวก็ได้ถือว่าไม่ผิด แต่กฎหมายบางประเทศอาจถือเป็นความผิดหากไม่แสดงตัวออกมาช่วยเหลือ และเมือออกมาช่วยเหลือแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น กฎหมายในหลายๆประเทศจะปกป้องแพทย์พยาบาลนะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็น emergency condition ยกเว้นบางกรณีที่ชัดเจนจริงๆว่าเกิดจากความประมาท เช่น มึนเมาขณะให้การรักษาเป็นต้น
Newson-Smith MS. Passenger doctors in civil airliners -- obligations, duties and standards of care. Aviat Space Environ Med 1997;68:1134-1138
Hedouin V, Lallemand M, Revuelta MA, Dreszer DG. Medical responsibility and air transport. Med Law 1998;17:503-506


2. จะเห็นว่าประเด็นเรื่องข้อกฎหมาย ทำให้ healthcare providers เกิดความลังเลที่จะเข้าช่วยเหลือ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ด้วยความเป็นแพทย์และพยาบาล มันทนดูอยู่เฉยไม่ได้จริงๆนะครับ


3. "Ladies and gentlemen, if there is a medical doctor on board, please notify the nearest flight attendant. Once again, if there is a medical doctor on board, please notify the nearest flight attendant." เมื่อเราได้ยินประกาศลักษณะนี้ ถ้าเราตัดสินใจจะช่วย อย่างแรกสำรวจตัวเองก่อนว่าพร้อมหรือไม่ กินเบียร์หรือไวน์เยอะรึเปล่า ป่วยไข้ หรือ ไม่สบายหรือไม่ กินยานอนหลับเอาไว้ก่อนหรือไม่ เป็นต้น


4. แสดงตัวกับ cabin crew บอกชื่อ นามสกุล และ medical qualification และบอกว่าเราต้องการช่วยเหลือ คุณต้องรอให้เค้าอนุญาตก่อน จึงจะสามารถเข้าไปแสดงตัวกับผู้ป่วยก่อน จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย


5. ในเครื่องบินโดยสารเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะ international flight จะมี inflight medical kit ซึ่งตามมาตรฐานจะบรรจุสิ่งเหล่านี้นะครับ ได้แก่

ถุงมือ
stethoscope
เครื่องวัดความดัน
oropharyngeal airway
CPR mask
Bag-valve mask
IV set
NSS 500 ml
nonnarcotic analgesics
antihistamine แบบฉีด และ แบบกิน
Aspirin
Atropine
bronchodilator inhaler
Dextrose 50%, 50 mL
epinephrine 1:1000 และ 1:10000 sol
lidocaine iv
NTG SL
และที่สำคัญเครื่อง AED


6. คุณสามารถให้ความเห็น ย้ำนะครับ แค่ความเห็น ว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องลงพื้นเพื่อรับการรักษาเร่งด่วนแค่ไหน การตัดสินใจร่อนลงฉุกเฉิน หรือ divert flight เป็นการตัดสินใจของกัปตันเพียงคนเดียวเท่านั้น


7. ถ้าเครื่องสามารถติดต่อกับ ground ได้ จะมีทีมแพทย์คอยให้คำปรึกษาจากข้างล่าง cabin crew ทุกคนจะผ่านการอบรม basic CPR และการใช้เครื่อง AED ทุกสองปี


8. เมื่อให้การรักษาเสร็จ คุณต้องบันทึกการวินิจฉัยและการรักษาลงในแบบฟอร์มของสายการบินทุกครั้ง


9. Cardiac Arrest บนเครื่อง ตั้งสติ อย่าตกใจ ให้ approach ไปตาม guideline เริ่มต้น CPR และติดเครื่อง AED ดูว่าเป็น rhythm แบบไหน และไปตามนั้น ใน inflight med kit มักจะมี ACLS card ให้เราอ่านทวนได้


10. หากสงสัย acute coronary syndrome ให้เปิดเส้น ให้ออกซิเจน ไม่มี EKG บนเครื่องนะครับ ให้ ASA 300 mg load ไปก่อน กับ NTG อมใต้ลิ้น บอกกัปตันให้ลดระดับความสูงลงไปอีกเท่าที่ทำได้เพื่อเพิ่ม PaO2 และ ขอ divert flight เพื่อลงจอดให้เร็วที่สุด ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือความดันตก


11. หากสงสัย acute stroke ให้ oxygen อย่างเดียว อย่าเพิ่งให้ ASA นะครับ เพราะเราไม่รู้ว่า bleed รึเปล่า


12. syncope หรือ near-syncope ให้นอนราบยกขาสูง วัดความดัน เปิดเส้นให้ IV ถ้าความดันต่ำ ถามผู้โดยสารบนเครื่องว่าใครมี เครื่องวัดระดับน้ำตาลแบบพกพา บ้าง เพราะไม่แน่อาจมีคนไข้เบาหวานโดยสารมาด้วย
แต่ใน enhanced inflight med kit จะมีมาให้ด้วย


13. หายใจเหนื่อย เราไม่มี  pulse oximetry ให้ดู clinical เป็นหลัก hyperventilation? ฟัง lungs ตรวจหา pneumothorax ถ้ามีก็ต้องเจาะ หรือถ้ามี wheeze ให้ bronchodilator inhaler และ supplemental oxygen หากอาการไม่ดี อาจขอร้องกัปตันให้ลดระดับเพดานบินลง หรือ  divert เพื่อลงจอดฉุกเฉิน


credit: page 1412 Cardiology
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=436681669872267&id=371793389694429&substory_index=0
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่