ต้องขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้จนจบนะคะ มันยาวมากจนนึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะแล้ว แต่ผิดคาดได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำเลย

ช่วงนี้ประเด็นร้อน เห็นมีดราม่าเรื่องการรับนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เห็นพูดกันในวงกว้างเลย แถมมีคนรู้จักเราก็เจอปัญหามาด้วย ที่ว่ามีพ่อแม่ไปต่อคิวรอจ่ายเงินลงทะเบียนเรียนกันตั้งแต่หัวค่ำ รอจนรุ่งเช้าของอีกวันกันเลย ยิ่งกว่าต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ตศิลปินดังอีกนะเนี่ย
วันนี้เลยอยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมอนุบาลที่เกาหลีดูบ้างค่ะ ที่นี่ระบบการศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่ประถม 1 หรืออายุ 7 ปีเต็มเป็นต้นไป ซึ่งก็คงเหมือนๆกันกับในไทยและหลายๆประเทศทั่วโลก
นั่นหมายความว่า ก่อนอายุ 7 ขวบ ใครจะผ่านหรือไม่ผ่านการเรียนในชั้นอนุบาลมาก่อนเลยก็ไม่มีปัญหาในการเข้าเรียนประถมแต่อย่างใด ที่ไทยคงไม่น่าจะมีใครไม่ส่งลูกเข้าอนุบาลเนาะ แต่ที่เกาหลีคนที่ไม่ส่งลูกเข้าอนุบาลเลยก็มี แต่ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็คืออาจจะเลี้ยงเองอยู่บ้าน หรือพาไป play group เป็นคลาสๆไป หรือไม่ก็เรียนเสริมพวก ภาษา, ดนตรี, ศิลปะ ที่ทำแบบนี้ได้ เพราะโรงเรียนอนุบาลหรือเตรียมอนุบาลที่นี่ ไม่เน้นสอนให้อ่านออกเขียนได้
แต่หลักสูตรของที่นี่ คือการเล่น เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่วัยประถมต่อไป
จริงๆแล้วโรงเรียนเตรียมอนุบาล ไม่ใช่โรงเรียน คนเกาหลีจะเรียกว่า 어린이집 ออรินีจิบ แปลว่า บ้านเด็ก
คล้ายๆสถานรับฝากเด็กแบบนั้นมากกว่า
แต่ในที่นี้ขอพูดว่าโรงเรียนเตรียมอนุบาล เพื่อความเข้าใจของทุกคนแล้วกันค่ะ
ประเภทของออรินิจิบแบ่งเป็นประเภทหลักๆคือ
1. ของรัฐบาลจัดตั้งขึ้น
2. ของเอกชน
3. ของส่วนบุคคล
(จริงๆมันมีมากกว่านี้ ซึ่งความแตกต่าง คนเกาหลีเองก็ยังอธิบายไม่ถูก เลยขอแยกไว้หยาบๆแบบนี้แล้วกัน)
ต้องบอกก่อนว่า เด็กเกาหลีทุกคนเรียนฟรีนะคะ คือรัฐสนับสนุนค่าเรียนเดือนละ หมื่นกว่าบาท คือทุกคนจะมีบัตรเครดิตใบนึง ที่เป็นบัตรสำหรับใช้จ่ายในเรื่องสวัสดิการรัฐด้านต่างๆ ถึงเวลาทุกเดือนๆ เราก็เอาบัตรนี้ ไปตัดค่าเรียนเป็นเดือนๆไป โดยเด็กในช่วงอายุเท่าๆกันจะได้สวัสดิการนี้ต่อเดือนเท่ากันนะคะ อย่างของลูกสาวคือช่วงอายุ 3 ขวบในชั้นเรียน (แต่ตัวจริงลูกสาวอายุ 2 ขวบ 8 เดือนค่ะ) แต่ถ้าเราเอาลูกไปเข้าเรียนโรงเรียนเอกชน สมมติเค้าคิดค่าเรียนเดือนละ สามหมื่นบาท เราก็บัตรนี้ไปตัดออก หมื่นกว่าบาท แล้วที่เหลือ เราต้องจ่ายเองทุกเดือน ในส่วนต่างตรงนั้นค่ะ ไม่งงใช่มั้ยคะ?
การแบ่งชั้นเรียนของที่นี่ เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบอาวุโสมาก เค้าเลยแบ่งปีการศึกษาเด็กตามอายุเลยค่ะ คือคนที่เกิด 1มกราคม ถึง 31ธันวาคมในปีเดียวกัน จะได้เรียนชั้นปีเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าใน หนึ่งชั้นปีจะไม่มีการคละอายุเด็กที่เกิดคนละปีคาบเกี่ยวกันเหมือนในเมืองไทยค่ะ และการเปิดภาคเรียนการศึกษาจะเริ่มเดือนมีนาคมจนวนมาเดือนกุมภาพันธ์ในปีถัดไปค่ะ
สำหรับความแตกต่างของออรินิจิบแต่ละประเภทคร่าวๆนะคะ
1. โรงเรียนที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น สำหรับคนเกาหลี คือโรงเรียนที่ดีที่สุด คนแย่งเข้ากันมากที่สุด เหตุผล เพราะว่ามันถูกมาก และมันมีระบบ ระเบียบ เชื่อถือได้ อะไรทำนองนี้ บางคนลงชื่อจองไว้ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง จนลูกคลอดออกมาได้ 2 ขวบยังรันไม่ถึงคิวเลยค่ะ คิวเป็นพัน บางทีหลักหมื่นก็มีค่ะ
2. โรงเรียนเอกชนจะดีรองลงมาหน่อย คือไม่ได้มีอะไรด้อยกว่ากันหรอก แต่แพงกว่า รัฐช่วยในส่วนที่เท่าๆกัน คือเดือนละหมื่นกว่าบาทอย่างที่บอก แต่โรงเรียนพวกนี้จะมีโปรแกรมพิเศษ extra แทรกมาในหลักสูตร อย่างโรงเรียนที่ลูกสาวเรียนจัดอยู่ในหมวดนี้ และมีโปรแกรมพิเศษคือ มีภาษาอังกฤษ, ดนตรี และวิชาพละ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาต่างๆ จ้างจากข้างนอกมาสอน แถมชอบมีเก็บยิบย่อย พาไปนู่นนี่อีกทุกเดือน
ซึ่งโปรแกรมพิเศษเหล่านี้ต้องจ่ายเพิ่มทุกเดือนด้วยเงินของพ่อแม่เองค่ะ
โรงเรียนพวกนี้จะเป็นตึกเล็กๆ จัดสรรพื้นที่ของตัวเอง สำหรับเด็กแต่ละห้อง
3. โรงเรียนส่วนตัว ประเภทนี้ไม่ได้แย่ แต่จัดว่าด้อยสุดกว่าคนอื่นเค้า คือเป็นสถานที่อยู่ในอพาร์ทเม้น (ต้องเข้าใจอีกว่า บ้านของคนเกาหลี ไม่ได้อยู่เป็นบ้านเดี่ยวแบบคนไทย ด้วยความที่พื้นที่น้อย คนที่นี่จะอยู่บ้านลักษณะเหมือนเพนท์เฮ้าส์ คือเป็นตึกสูงๆชั้นนึงมีแค่ 2 หลัง และข้างในกว้างใหญ่เหมือนบ้านชั้นเดียวทั่วๆไป) คือเหมือนเปิดบ้านหลังนึง มาทำโรงเรียนเล็กๆนั่นแหล่ะ ที่นี่เราก็เอาบัตรเครดิตนั้นมาตัดค่าเรียนรายเดือนเหมือนกัน และด้วยความที่สถานที่เล็ก เลยรับเด็กได้น้อย ไม่ค่อยมีโปรแกรมพิเศษอะไร ลักษณะจะเป็นเหมือน day care ซะมากกว่า มีพามาเล่นตามสนามเด็กเล่นส่วนกลางของอพาร์ทเม้น อ่านหนังสือให้ฟัง อะไรก็ว่าไป
วิธีการสมัครเรียน
ที่นี่ไม่ใช่ว่าเราเดินดุ่มๆเข้าไปในโรงเรียนในดวงใจ แล้วกรอกใบสมัครได้เลย แต่ทุกคนจะต้องลงชื่อต่อคิว ด้วยการลงทะเบียนและลงคิวไว้ในเวบส่วนกลางของรัฐบาลเท่านั้นค่ะ เวบหลักเวบเดียว เข้าไปเลือกเขตบ้าน เลือกชื่อโรงเรียนที่เล็งไว้ จะลงไว้กี่ที่ก็แล้วแต่ไม่เกี่ยงค่ะ แล้วระบบจะบอกเราว่าเป็นคิวที่เท่าไหร่ ถ้าถึงคิวทางโรงเรียนจะโทรมาแจ้งเองค่ะ ถ้าเราพอใจจะเข้า ก็ให้ลูกเข้าได้เลย แต่ถ้าเรายังไม่อยากให้ลูกเข้า ก็ผลัดคิวไปได้ค่ะ
แล้วถ้ายังไม่อยากส่งลูกเข้าแล้วจะรียไปลงคิวทำไม?
ก็เพราะว่ามันไม่ใช่ว่าอยากเข้าตอนไหนก็เข้าได้เลยค่ะ ต้องรอคิวรันไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเวลามันรันมาถึงเรา อาจจะเหมาะเจาะเป็นเวลาที่อยากให้ลูกเข้าพอดีก็ได้
เด็กที่เข้าออรินิจิบ หรือเตรียมอนุบาล สามารถเข้าได้ตั้งแต่ 5-6 เดือน เลยค่ะตามความสะดวกของพ่อแม่ บางคนต้องทำงานทั้งคู่ ก็ส่งลูกเข้าออรินิจิบเลย แต่ก็แล้วแต่ที่ด้วยว่าเค้ารับมั้ย ซึ่งส่วนมาก พวกออรินิจิบส่วนบุคคลเค้าจะรับค่ะ
อ้อ ที่เกาหลีการเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลไม่มีสอบคัดเลือกนะคะ ทุกคนเท่าเทียมค่ะ ได้ตามคิวที่รันในเวบกลาง
ส่วนโรงเรียนลูกสาว รับตั้งแต่ 2 ขวบค่ะ
ยกตัวอย่างกรณีลูกสาวนะคะ ตอนนั้นตั้งใจว่าจะให้ลูกเข้าออรินิจิบตอนหลัง 2 ขวบเต็ม เราก็ต้องเริ่มลงชื่อในเวบตั้งแต่ลูก 10 เดือนเลยค่ะลงไว้ประมาณ 8 ที่ ระหว่างนั้นมีออรินิจิบที่ลงชื่อไว้ โทรเข้ามาเรื่อยๆ ว่าตอนนี้คิวได้แล้ว แต่ลูกเรายังไม่สองขวบ ก็เลยสละคิวไปค่ะ โดยที่ทางออรินิจิบจะมาร์คไว้ว่า เด็กคนนี้จะเข้าช่วงเดือนไหนปีไหน เมื่อถึงเวลาถ้าเค้ามีคิว เค้าจะโทรมาแจ้งอีกค่ะ แต่มันอาจจะเป็นช่วงที่ลูกเรา 2 ขวบ 5 เดือนแล้วก็ได้ กว่าทางนู้นเค้าจะมีคิว อะไรทำนองนี้ แม่บางคนกลัวไม่มีคิว พอได้ที่ ก็ให้ลูกเข้าเลยก็มีค่ะ
จนสุดท้าย อายุ 2 ขวบ 2 เดือน ลูกสาวเราก็ได้เข้าที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่นี่จัดว่าดีมากเลยทีเดียว แต่ก็แพงถ้าเทียบกับการอยู่ในประเทศที่สวัสดิการการศึกษาฟรีแบบนี้ เพราะเราต้องจ่ายค่าโปรแกรมพิเศษเพิ่มทุกเดือน ค่ารถรับส่งด้วย
ออรินิจิบทุกที่ในเกาหลีมีกฎหมายระบุจำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนด้วยนะคะ คือ 1:7 ห้ามเกินนี้ เพราะฉะนั้นไปที่ไหนๆ ก็จะตามนี้หมด จึงไม่ต้องมาปวดหัว เปรียบเทียบเรื่องว่าครูจะดูแลทั่วถึงมั้ย อยู่เกาหลี เราดูแค่ว่า ค่าเรียน extra เท่าไหร่ จ่ายไหวมั้ย แค่นั้นพอค่ะ ห้องของลูกสาว(รุ่นอายุ 3 ขวบ) ครู 2 คน นักเรียน 14 คนค่ะ มีชั้นรุ่นอายุ 2 ขวบ 7 คน 1 ห้อง
และรุ่นอายุ 3 ขวบ 2ห้อง ห้องละ 14 คนค่ะ ในโรงเรียนจะออกแบบทุกอย่างสำหรับเด็กหมดเลย เข้าไปแล้วเหมือนอยู่เมืองคนจิ๋ว ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ ทั้งห้องน้ำ อ่างน้ำ มีแต่ของเด็กทั้งนั้นค่ะ
และในแต่ละห้อง ก็จะมีอุปกรณ์ของเล่นครบครัน ชุดครัวเอย ตัวต่อ จิ๊กซอว์ บล็อค เลโก้ ตุ๊กตา หม้อข้าวหม้อแกง มีจัดเป็นหมวดๆ อยู่ตามชั้นที่อยู่รอบๆห้อง ซึ่งของเล่นเหล่านี้แหล่ะค่ะ ที่ครูใช้เป็นสื่อในการสอน
นอกจากออรินิจิบที่มีลักษณะการเรียนการสอนเหมือนโรงเรียนแล้ว ออรินิจิบยังแบ่งประเภทย่อยๆไปอีกเยอะมาก เช่น
- ออรินิจิบศิลปะ ที่นี่ก็เน้นให้วันๆเด็กๆมีแต่กิจกรรมด้านศิลปะ ระบายสี ผสมสี ฉีก แปะ คืออะไรก็ตามที่อยู่ในหมวดศิลปะ
- ออรินิจิบมอนเตสซอรี่ ก็จะเป็นออรินิจิบที่ดูแลเด็กๆตามทฤษฎีของมอนเตสซอรี่ คือให้เด็กได้ช่วยเหลือตัวเอง มีกิจกรรมต่างๆให้เด็กทำ
- ออรินิจิบแบบธรรมชาติ ซึ่งอันนี้เป็นอันที่สามีชอบมากที่สุด และอยากให้ลูกได้เข้าไปมากที่สุด คือเค้าจะพาเด็กๆเข้าป่า 365 วันเลยค่ะ เหมือนที่เคยมีที่นึงที่รายการ 무한도전 (มูฮันโทจอน) ไปถ่ายทำ คือห้องเรียนและสนามเด็กเล่นของเด็กๆก็คือในป่า ในเขา ในทุ่งนา เด็กๆไม่มีห้องเรียนที่เป็นตึกคอนกรีตค่ะ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าฝนจะตก หรือหิมะจะตก เด็กก็จะต้องไปอยู่ตามป่าเขา เล่นดิน เล่นหญ้า เล่นใบไม้ คือคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติตลอดเลยจนจบอนุบาลไป ห้องเรียนของเด็กๆโรงเรียนแบบนี้จะกว้างใหญ่มากค่ะ เด็กๆพวกนี้จะมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดทั้งปี น่าอิจฉามั้ยล่ะคะ? เห็นแบบนี้ขอบอกเลยว่าแพงมากๆ เดือนนึงต้องจ่ายเพิ่มเองเกือบ 3 หมื่นบาทเชียวนะคะ แถมคิวยาวเหยียดไปถึงปีไหนก็ไม่รู้
นั่นเป็นเพราะว่า พ่อแม่ที่เกาหลี ตระหนักรู้ว่า ช่วงวัยแรกเกิดถึง 6 ปี เป็นช่วงนาทีทอง ที่ลูกจะได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่ ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้วิ่งตากฝน โดยที่ไม่มีใครมาหาว่าบ้า ลองคิดดูว่าเราโตแล้วแบบนี้ไปวิ่งเล่นน้ำฝน มันคงดูแปลกพิลึกใช่มั้ยคะ? อีกอย่าง ช่วงวัยนี้เป็นวัยที่ต้องพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็ก ให้แข็งแรง เป็นวัยที่สมควรที่จะวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่ต้องมีภาระการบ้าน หรือความเครียดใดๆมารบกวนการทำงานของสมอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์และเป็นรากฐานที่ก่อให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายในอนาคตค่ะ
เท่าที่ได้คุยกับแม่ๆของเพื่อนลูกสาวมา ทุกคนเลยจะพูดในทำนองเดียวกันว่า ส่งลูกไปออรินิจิบ ไม่ได้คาดหวังให้มาเรียนเอาความรู้อะไรเลย แต่คาดหวังให้ลูกได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ให้ลูกได้วิ่งเล่นให้สุดฝีเท้า นั่นคือสิ่งที่คุณแม่เกาหลีเค้าคาดหวังจากการส่งลูกมาออรินิจิบค่ะ
จะเห็นว่าต่างจากเด็กๆในเมืองไทยมากเลยนะคะ เด็กไทย ไปเรียนเพื่อไปนั่งเก้าอี้ อ่าน ก ไก่ ข ไข่ ท่อง ABC จับดินสอเขียนหนังสือ แถมที่เราตกใจอีกคือ มีการบ้านกลับมาทำที่บ้านด้วย!! การบ้านคืออะไร เด็กเกาหลีในวัยนี้ไม่รู้จักค่ะ รู้แค่ว่ากลับจากโรงเรียนมาก็ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นกับเพื่อนๆแถวบ้านต่อ กลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว นอน แค่นั้นเองค่ะ
เราเคยรู้มาว่า การที่ไปอัดข้อมูลให้เด็ก ก่อนวัยอันควร จะทำให้เด็กเก่งในช่วงวัยเด็กค่ะ ลูกเราอาจจะดูพัฒนาการดี เก่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน อายุแค่ 3 ขวบก็ท่อง ก-ฮ A-Z ได้ ดีไม่ดี อ่านออกเขียนได้ด้วยซ้ำ โอ้โห ดูอัจฉริยะมั้ยล่ะคะ? แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ การที่เราฝืนธรรมชาติของเด็ก ทำให้ในอนาคต เด็กเกิดการเบื่อหน่ายในการเรียนค่ะ ไม่มีใจใฝ่รู้ หรือไม่มี passion ในการเรียนรู้อีกต่อไป นั่นเพราะเค้าไม่อยากจะรับแล้วค่ะ
ตรงกันข้าม เด็กที่ได้เล่นอย่างเต็มที่ในวัยเด็ก ได้เตรียมความพร้อมร่างกายและสมอง ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆผ่านการเล่นสนุก มันกระตุ้นให้เค้ายิ่งอยากเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น และเมื่อโตมาในวัยประถม หรือวัยมัธยม เด็กจะยังคงมีแรงจูงใจนั้นในการเรียนรู้ค่ะ
สังเกตุง่ายๆว่าบ้านเราคร่ำเคร่งเรียนกันตั้งแต่อนุบาล แต่ทำไม โตมา คนเก่งๆหายไปไหนกันหมดน้า? คนที่จะช่วยพัฒนาประเทศ แทบน้อยเต็มที
ต่างจากเด็กที่นี่มาก ลูกสาวเรา 2ขวบ8เดือน ยังท่อง 1 ไม่ถึง 10 เลยค่ะ ฮ่าๆๆ วันๆเล่นสนุกอย่างเดียว เรียนรู้เรื่องมารยาท เรื่องความปลอดภัย เรื่องการช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน แค่นั้นเองค่ะ
ปล. รูปที่ใช้ประกอบการเล่าเรื่องทั้งหมด เป็นรูปลูกสาว จขกท เองค่ะ ขอเบลอหน้าเด็กคนอื่นนะคะ ตามกฎหมายเกาหลีน่ะค่ะ จขกท ตามไปเซฟรูปมาจากเวบคาเฟ่ของโรงเรียนค่ะ (คุณครูจะอัพเดทรูปทุกวันเวลาบ่าย 2 ตรง ยิ่งกว่าถ่ายทอดสดเลย ถ่ายเช้าอัพ บ่าย เจ๋งม
แชร์เรื่องราวโรงเรียนเตรียมอนุบาลของลูกสาวในเกาหลีค่ะ
ช่วงนี้ประเด็นร้อน เห็นมีดราม่าเรื่องการรับนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เห็นพูดกันในวงกว้างเลย แถมมีคนรู้จักเราก็เจอปัญหามาด้วย ที่ว่ามีพ่อแม่ไปต่อคิวรอจ่ายเงินลงทะเบียนเรียนกันตั้งแต่หัวค่ำ รอจนรุ่งเช้าของอีกวันกันเลย ยิ่งกว่าต่อคิวซื้อบัตรคอนเสิร์ตศิลปินดังอีกนะเนี่ย
วันนี้เลยอยากมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมอนุบาลที่เกาหลีดูบ้างค่ะ ที่นี่ระบบการศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่ประถม 1 หรืออายุ 7 ปีเต็มเป็นต้นไป ซึ่งก็คงเหมือนๆกันกับในไทยและหลายๆประเทศทั่วโลก
นั่นหมายความว่า ก่อนอายุ 7 ขวบ ใครจะผ่านหรือไม่ผ่านการเรียนในชั้นอนุบาลมาก่อนเลยก็ไม่มีปัญหาในการเข้าเรียนประถมแต่อย่างใด ที่ไทยคงไม่น่าจะมีใครไม่ส่งลูกเข้าอนุบาลเนาะ แต่ที่เกาหลีคนที่ไม่ส่งลูกเข้าอนุบาลเลยก็มี แต่ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็คืออาจจะเลี้ยงเองอยู่บ้าน หรือพาไป play group เป็นคลาสๆไป หรือไม่ก็เรียนเสริมพวก ภาษา, ดนตรี, ศิลปะ ที่ทำแบบนี้ได้ เพราะโรงเรียนอนุบาลหรือเตรียมอนุบาลที่นี่ ไม่เน้นสอนให้อ่านออกเขียนได้
แต่หลักสูตรของที่นี่ คือการเล่น เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่วัยประถมต่อไป
จริงๆแล้วโรงเรียนเตรียมอนุบาล ไม่ใช่โรงเรียน คนเกาหลีจะเรียกว่า 어린이집 ออรินีจิบ แปลว่า บ้านเด็ก
คล้ายๆสถานรับฝากเด็กแบบนั้นมากกว่า
แต่ในที่นี้ขอพูดว่าโรงเรียนเตรียมอนุบาล เพื่อความเข้าใจของทุกคนแล้วกันค่ะ
ประเภทของออรินิจิบแบ่งเป็นประเภทหลักๆคือ
1. ของรัฐบาลจัดตั้งขึ้น
2. ของเอกชน
3. ของส่วนบุคคล
(จริงๆมันมีมากกว่านี้ ซึ่งความแตกต่าง คนเกาหลีเองก็ยังอธิบายไม่ถูก เลยขอแยกไว้หยาบๆแบบนี้แล้วกัน)
ต้องบอกก่อนว่า เด็กเกาหลีทุกคนเรียนฟรีนะคะ คือรัฐสนับสนุนค่าเรียนเดือนละ หมื่นกว่าบาท คือทุกคนจะมีบัตรเครดิตใบนึง ที่เป็นบัตรสำหรับใช้จ่ายในเรื่องสวัสดิการรัฐด้านต่างๆ ถึงเวลาทุกเดือนๆ เราก็เอาบัตรนี้ ไปตัดค่าเรียนเป็นเดือนๆไป โดยเด็กในช่วงอายุเท่าๆกันจะได้สวัสดิการนี้ต่อเดือนเท่ากันนะคะ อย่างของลูกสาวคือช่วงอายุ 3 ขวบในชั้นเรียน (แต่ตัวจริงลูกสาวอายุ 2 ขวบ 8 เดือนค่ะ) แต่ถ้าเราเอาลูกไปเข้าเรียนโรงเรียนเอกชน สมมติเค้าคิดค่าเรียนเดือนละ สามหมื่นบาท เราก็บัตรนี้ไปตัดออก หมื่นกว่าบาท แล้วที่เหลือ เราต้องจ่ายเองทุกเดือน ในส่วนต่างตรงนั้นค่ะ ไม่งงใช่มั้ยคะ?
การแบ่งชั้นเรียนของที่นี่ เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบอาวุโสมาก เค้าเลยแบ่งปีการศึกษาเด็กตามอายุเลยค่ะ คือคนที่เกิด 1มกราคม ถึง 31ธันวาคมในปีเดียวกัน จะได้เรียนชั้นปีเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าใน หนึ่งชั้นปีจะไม่มีการคละอายุเด็กที่เกิดคนละปีคาบเกี่ยวกันเหมือนในเมืองไทยค่ะ และการเปิดภาคเรียนการศึกษาจะเริ่มเดือนมีนาคมจนวนมาเดือนกุมภาพันธ์ในปีถัดไปค่ะ
สำหรับความแตกต่างของออรินิจิบแต่ละประเภทคร่าวๆนะคะ
1. โรงเรียนที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น สำหรับคนเกาหลี คือโรงเรียนที่ดีที่สุด คนแย่งเข้ากันมากที่สุด เหตุผล เพราะว่ามันถูกมาก และมันมีระบบ ระเบียบ เชื่อถือได้ อะไรทำนองนี้ บางคนลงชื่อจองไว้ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง จนลูกคลอดออกมาได้ 2 ขวบยังรันไม่ถึงคิวเลยค่ะ คิวเป็นพัน บางทีหลักหมื่นก็มีค่ะ
2. โรงเรียนเอกชนจะดีรองลงมาหน่อย คือไม่ได้มีอะไรด้อยกว่ากันหรอก แต่แพงกว่า รัฐช่วยในส่วนที่เท่าๆกัน คือเดือนละหมื่นกว่าบาทอย่างที่บอก แต่โรงเรียนพวกนี้จะมีโปรแกรมพิเศษ extra แทรกมาในหลักสูตร อย่างโรงเรียนที่ลูกสาวเรียนจัดอยู่ในหมวดนี้ และมีโปรแกรมพิเศษคือ มีภาษาอังกฤษ, ดนตรี และวิชาพละ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาต่างๆ จ้างจากข้างนอกมาสอน แถมชอบมีเก็บยิบย่อย พาไปนู่นนี่อีกทุกเดือน
ซึ่งโปรแกรมพิเศษเหล่านี้ต้องจ่ายเพิ่มทุกเดือนด้วยเงินของพ่อแม่เองค่ะ
โรงเรียนพวกนี้จะเป็นตึกเล็กๆ จัดสรรพื้นที่ของตัวเอง สำหรับเด็กแต่ละห้อง
3. โรงเรียนส่วนตัว ประเภทนี้ไม่ได้แย่ แต่จัดว่าด้อยสุดกว่าคนอื่นเค้า คือเป็นสถานที่อยู่ในอพาร์ทเม้น (ต้องเข้าใจอีกว่า บ้านของคนเกาหลี ไม่ได้อยู่เป็นบ้านเดี่ยวแบบคนไทย ด้วยความที่พื้นที่น้อย คนที่นี่จะอยู่บ้านลักษณะเหมือนเพนท์เฮ้าส์ คือเป็นตึกสูงๆชั้นนึงมีแค่ 2 หลัง และข้างในกว้างใหญ่เหมือนบ้านชั้นเดียวทั่วๆไป) คือเหมือนเปิดบ้านหลังนึง มาทำโรงเรียนเล็กๆนั่นแหล่ะ ที่นี่เราก็เอาบัตรเครดิตนั้นมาตัดค่าเรียนรายเดือนเหมือนกัน และด้วยความที่สถานที่เล็ก เลยรับเด็กได้น้อย ไม่ค่อยมีโปรแกรมพิเศษอะไร ลักษณะจะเป็นเหมือน day care ซะมากกว่า มีพามาเล่นตามสนามเด็กเล่นส่วนกลางของอพาร์ทเม้น อ่านหนังสือให้ฟัง อะไรก็ว่าไป
วิธีการสมัครเรียน
ที่นี่ไม่ใช่ว่าเราเดินดุ่มๆเข้าไปในโรงเรียนในดวงใจ แล้วกรอกใบสมัครได้เลย แต่ทุกคนจะต้องลงชื่อต่อคิว ด้วยการลงทะเบียนและลงคิวไว้ในเวบส่วนกลางของรัฐบาลเท่านั้นค่ะ เวบหลักเวบเดียว เข้าไปเลือกเขตบ้าน เลือกชื่อโรงเรียนที่เล็งไว้ จะลงไว้กี่ที่ก็แล้วแต่ไม่เกี่ยงค่ะ แล้วระบบจะบอกเราว่าเป็นคิวที่เท่าไหร่ ถ้าถึงคิวทางโรงเรียนจะโทรมาแจ้งเองค่ะ ถ้าเราพอใจจะเข้า ก็ให้ลูกเข้าได้เลย แต่ถ้าเรายังไม่อยากให้ลูกเข้า ก็ผลัดคิวไปได้ค่ะ
แล้วถ้ายังไม่อยากส่งลูกเข้าแล้วจะรียไปลงคิวทำไม?
ก็เพราะว่ามันไม่ใช่ว่าอยากเข้าตอนไหนก็เข้าได้เลยค่ะ ต้องรอคิวรันไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเวลามันรันมาถึงเรา อาจจะเหมาะเจาะเป็นเวลาที่อยากให้ลูกเข้าพอดีก็ได้
เด็กที่เข้าออรินิจิบ หรือเตรียมอนุบาล สามารถเข้าได้ตั้งแต่ 5-6 เดือน เลยค่ะตามความสะดวกของพ่อแม่ บางคนต้องทำงานทั้งคู่ ก็ส่งลูกเข้าออรินิจิบเลย แต่ก็แล้วแต่ที่ด้วยว่าเค้ารับมั้ย ซึ่งส่วนมาก พวกออรินิจิบส่วนบุคคลเค้าจะรับค่ะ
อ้อ ที่เกาหลีการเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลไม่มีสอบคัดเลือกนะคะ ทุกคนเท่าเทียมค่ะ ได้ตามคิวที่รันในเวบกลาง
ส่วนโรงเรียนลูกสาว รับตั้งแต่ 2 ขวบค่ะ
ยกตัวอย่างกรณีลูกสาวนะคะ ตอนนั้นตั้งใจว่าจะให้ลูกเข้าออรินิจิบตอนหลัง 2 ขวบเต็ม เราก็ต้องเริ่มลงชื่อในเวบตั้งแต่ลูก 10 เดือนเลยค่ะลงไว้ประมาณ 8 ที่ ระหว่างนั้นมีออรินิจิบที่ลงชื่อไว้ โทรเข้ามาเรื่อยๆ ว่าตอนนี้คิวได้แล้ว แต่ลูกเรายังไม่สองขวบ ก็เลยสละคิวไปค่ะ โดยที่ทางออรินิจิบจะมาร์คไว้ว่า เด็กคนนี้จะเข้าช่วงเดือนไหนปีไหน เมื่อถึงเวลาถ้าเค้ามีคิว เค้าจะโทรมาแจ้งอีกค่ะ แต่มันอาจจะเป็นช่วงที่ลูกเรา 2 ขวบ 5 เดือนแล้วก็ได้ กว่าทางนู้นเค้าจะมีคิว อะไรทำนองนี้ แม่บางคนกลัวไม่มีคิว พอได้ที่ ก็ให้ลูกเข้าเลยก็มีค่ะ
จนสุดท้าย อายุ 2 ขวบ 2 เดือน ลูกสาวเราก็ได้เข้าที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่นี่จัดว่าดีมากเลยทีเดียว แต่ก็แพงถ้าเทียบกับการอยู่ในประเทศที่สวัสดิการการศึกษาฟรีแบบนี้ เพราะเราต้องจ่ายค่าโปรแกรมพิเศษเพิ่มทุกเดือน ค่ารถรับส่งด้วย
ออรินิจิบทุกที่ในเกาหลีมีกฎหมายระบุจำนวนครูต่อจำนวนนักเรียนด้วยนะคะ คือ 1:7 ห้ามเกินนี้ เพราะฉะนั้นไปที่ไหนๆ ก็จะตามนี้หมด จึงไม่ต้องมาปวดหัว เปรียบเทียบเรื่องว่าครูจะดูแลทั่วถึงมั้ย อยู่เกาหลี เราดูแค่ว่า ค่าเรียน extra เท่าไหร่ จ่ายไหวมั้ย แค่นั้นพอค่ะ ห้องของลูกสาว(รุ่นอายุ 3 ขวบ) ครู 2 คน นักเรียน 14 คนค่ะ มีชั้นรุ่นอายุ 2 ขวบ 7 คน 1 ห้อง
และรุ่นอายุ 3 ขวบ 2ห้อง ห้องละ 14 คนค่ะ ในโรงเรียนจะออกแบบทุกอย่างสำหรับเด็กหมดเลย เข้าไปแล้วเหมือนอยู่เมืองคนจิ๋ว ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ ทั้งห้องน้ำ อ่างน้ำ มีแต่ของเด็กทั้งนั้นค่ะ
และในแต่ละห้อง ก็จะมีอุปกรณ์ของเล่นครบครัน ชุดครัวเอย ตัวต่อ จิ๊กซอว์ บล็อค เลโก้ ตุ๊กตา หม้อข้าวหม้อแกง มีจัดเป็นหมวดๆ อยู่ตามชั้นที่อยู่รอบๆห้อง ซึ่งของเล่นเหล่านี้แหล่ะค่ะ ที่ครูใช้เป็นสื่อในการสอน
นอกจากออรินิจิบที่มีลักษณะการเรียนการสอนเหมือนโรงเรียนแล้ว ออรินิจิบยังแบ่งประเภทย่อยๆไปอีกเยอะมาก เช่น
- ออรินิจิบศิลปะ ที่นี่ก็เน้นให้วันๆเด็กๆมีแต่กิจกรรมด้านศิลปะ ระบายสี ผสมสี ฉีก แปะ คืออะไรก็ตามที่อยู่ในหมวดศิลปะ
- ออรินิจิบมอนเตสซอรี่ ก็จะเป็นออรินิจิบที่ดูแลเด็กๆตามทฤษฎีของมอนเตสซอรี่ คือให้เด็กได้ช่วยเหลือตัวเอง มีกิจกรรมต่างๆให้เด็กทำ
- ออรินิจิบแบบธรรมชาติ ซึ่งอันนี้เป็นอันที่สามีชอบมากที่สุด และอยากให้ลูกได้เข้าไปมากที่สุด คือเค้าจะพาเด็กๆเข้าป่า 365 วันเลยค่ะ เหมือนที่เคยมีที่นึงที่รายการ 무한도전 (มูฮันโทจอน) ไปถ่ายทำ คือห้องเรียนและสนามเด็กเล่นของเด็กๆก็คือในป่า ในเขา ในทุ่งนา เด็กๆไม่มีห้องเรียนที่เป็นตึกคอนกรีตค่ะ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าฝนจะตก หรือหิมะจะตก เด็กก็จะต้องไปอยู่ตามป่าเขา เล่นดิน เล่นหญ้า เล่นใบไม้ คือคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติตลอดเลยจนจบอนุบาลไป ห้องเรียนของเด็กๆโรงเรียนแบบนี้จะกว้างใหญ่มากค่ะ เด็กๆพวกนี้จะมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดทั้งปี น่าอิจฉามั้ยล่ะคะ? เห็นแบบนี้ขอบอกเลยว่าแพงมากๆ เดือนนึงต้องจ่ายเพิ่มเองเกือบ 3 หมื่นบาทเชียวนะคะ แถมคิวยาวเหยียดไปถึงปีไหนก็ไม่รู้
นั่นเป็นเพราะว่า พ่อแม่ที่เกาหลี ตระหนักรู้ว่า ช่วงวัยแรกเกิดถึง 6 ปี เป็นช่วงนาทีทอง ที่ลูกจะได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่ ได้ยิ้มได้หัวเราะ ได้วิ่งตากฝน โดยที่ไม่มีใครมาหาว่าบ้า ลองคิดดูว่าเราโตแล้วแบบนี้ไปวิ่งเล่นน้ำฝน มันคงดูแปลกพิลึกใช่มั้ยคะ? อีกอย่าง ช่วงวัยนี้เป็นวัยที่ต้องพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็ก ให้แข็งแรง เป็นวัยที่สมควรที่จะวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่ต้องมีภาระการบ้าน หรือความเครียดใดๆมารบกวนการทำงานของสมอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์และเป็นรากฐานที่ก่อให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายในอนาคตค่ะ
เท่าที่ได้คุยกับแม่ๆของเพื่อนลูกสาวมา ทุกคนเลยจะพูดในทำนองเดียวกันว่า ส่งลูกไปออรินิจิบ ไม่ได้คาดหวังให้มาเรียนเอาความรู้อะไรเลย แต่คาดหวังให้ลูกได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ให้ลูกได้วิ่งเล่นให้สุดฝีเท้า นั่นคือสิ่งที่คุณแม่เกาหลีเค้าคาดหวังจากการส่งลูกมาออรินิจิบค่ะ
จะเห็นว่าต่างจากเด็กๆในเมืองไทยมากเลยนะคะ เด็กไทย ไปเรียนเพื่อไปนั่งเก้าอี้ อ่าน ก ไก่ ข ไข่ ท่อง ABC จับดินสอเขียนหนังสือ แถมที่เราตกใจอีกคือ มีการบ้านกลับมาทำที่บ้านด้วย!! การบ้านคืออะไร เด็กเกาหลีในวัยนี้ไม่รู้จักค่ะ รู้แค่ว่ากลับจากโรงเรียนมาก็ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นกับเพื่อนๆแถวบ้านต่อ กลับบ้าน อาบน้ำ กินข้าว นอน แค่นั้นเองค่ะ
เราเคยรู้มาว่า การที่ไปอัดข้อมูลให้เด็ก ก่อนวัยอันควร จะทำให้เด็กเก่งในช่วงวัยเด็กค่ะ ลูกเราอาจจะดูพัฒนาการดี เก่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน อายุแค่ 3 ขวบก็ท่อง ก-ฮ A-Z ได้ ดีไม่ดี อ่านออกเขียนได้ด้วยซ้ำ โอ้โห ดูอัจฉริยะมั้ยล่ะคะ? แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ การที่เราฝืนธรรมชาติของเด็ก ทำให้ในอนาคต เด็กเกิดการเบื่อหน่ายในการเรียนค่ะ ไม่มีใจใฝ่รู้ หรือไม่มี passion ในการเรียนรู้อีกต่อไป นั่นเพราะเค้าไม่อยากจะรับแล้วค่ะ
ตรงกันข้าม เด็กที่ได้เล่นอย่างเต็มที่ในวัยเด็ก ได้เตรียมความพร้อมร่างกายและสมอง ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆผ่านการเล่นสนุก มันกระตุ้นให้เค้ายิ่งอยากเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น และเมื่อโตมาในวัยประถม หรือวัยมัธยม เด็กจะยังคงมีแรงจูงใจนั้นในการเรียนรู้ค่ะ
สังเกตุง่ายๆว่าบ้านเราคร่ำเคร่งเรียนกันตั้งแต่อนุบาล แต่ทำไม โตมา คนเก่งๆหายไปไหนกันหมดน้า? คนที่จะช่วยพัฒนาประเทศ แทบน้อยเต็มที
ต่างจากเด็กที่นี่มาก ลูกสาวเรา 2ขวบ8เดือน ยังท่อง 1 ไม่ถึง 10 เลยค่ะ ฮ่าๆๆ วันๆเล่นสนุกอย่างเดียว เรียนรู้เรื่องมารยาท เรื่องความปลอดภัย เรื่องการช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน แค่นั้นเองค่ะ
ปล. รูปที่ใช้ประกอบการเล่าเรื่องทั้งหมด เป็นรูปลูกสาว จขกท เองค่ะ ขอเบลอหน้าเด็กคนอื่นนะคะ ตามกฎหมายเกาหลีน่ะค่ะ จขกท ตามไปเซฟรูปมาจากเวบคาเฟ่ของโรงเรียนค่ะ (คุณครูจะอัพเดทรูปทุกวันเวลาบ่าย 2 ตรง ยิ่งกว่าถ่ายทอดสดเลย ถ่ายเช้าอัพ บ่าย เจ๋งม