เสียงกระซิบ ณ. วันวานที่ยังดังก้องในใจ
น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ (จริงเหรอ?)
ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้วฉันเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ เทศกาลรับน้องย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉันออกจะตื่นเต้นเป็นที่สุดกับการจะได้เป็นนักศึกษา หัวใจพองโตเมื่อได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย กับชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยที่สุดของน้องใหม่ เสื้อถูกเก็บไว้ในกระโปรงกลีบรอบที่มีความยาวถึงเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาว ใส่ถุงเท้าซะด้วย เรียบร้อยไร้ที่ติ แต่ต้องคอยดูต่อไปค่ะ วันเวลาล่วงเลยไปการแต่งกายย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาติแห่งความกร้านโลกที่มีมากขึ้น
กระโปรงเริ่มสั้นเลยเข่า เสื้อจากไซส์เอ็มเปลี่ยนเป็นไซส์เอส รองเท้าผ้าใบกลายเป็นรองเท้าส้นสูง ก็บอกแล้วเปลี่ยนไปตามสภาวะที่กร้านโลกขึ้น แต่ก็ไม่ได้จะใส่ไอ้แบบนี้ทุกวันแล้วแต่อารมณ์จริงๆ ฉันเป็นประเภทแต่งได้หลายสไตล์ ยามอยากเซ็กซี่ก็ตามนั้นล่ะ กระโปรงจะสั้นขึ้นตามระดับชั้นปีที่สูงขึ้น เอ๊ะ เกี่ยวกันไหมน่า
พออยากเรียบร้อยกระโปรงจัดเลยเข่าเกือบไปถึงตาตุ่มเลยค่ะ แต่พออยากเซอร์หหน่อย ใส่รองเท้าผ้าใบ แถมต้องเหยียบส้นรองเท้าด้วยไม่งั้นไม่เก๋ เสื้อนักศึกษาอยู่นอกกระโปรง ผมม้วนเกล้าเก็บแบบหลวมๆ สวมทับเสื้อแจ๊คเก็ตสไตล์เกาหลีอีกทีหนึ่ง กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ ใส่ทุกอย่างราวกับเป็นกระเป๋าโดราเอม่อนก็ไม่ปาน ในยามอยากเซ็กซี่จะแต่งเฉพาะไปเรื่องที่คณะอื่น พอมาเรียนคณะตัวเองกลับมาสู่โหมดเซอร์ตามเดิม เฮ้อ..มาตรฐานเด็กบ้านนอกดันอยากเป็นติ่งเกาหลี
เอาล่ะ ว่าด้วยเรื่องการแต่งการที่ไม่เรียบร้อย หรืออาจจะเรียบร้อยบางบ้างครั้ง กลับเข้ามาสู่การรับน้องกันดีกว่า
การรับน้องครั้งแรกเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรมาก แค่พี่ว้าก(*ไอ้พวกชอบใช้เสียงดัง ทำให้ดูน่าเกรงขาม ดุตะโกนโวกเวกใส่รุ่นน้องเป็นว่าเล่น ไม่รู้ไอ้พวกพี่ว้ากเป็นอะไร พูดเยี่ยงคนปกติไม่เป็นหรือไง..ด้วยความสงสัยและไม่ชอบเป็นการส่วนตัว)
พี่ว้ากบอกให้ไปหารายชื่อของรุ่นพี่ปีต่างๆให้ได้หนึ่งร้อยคน เห้อๆ ฉันแอบหัวเราะก้องในลำคอ นึกอย่างถามออกไป
“จะหามาทำพระแสงวิมารอะไร?” “จำเป็นด้วยหรือที่ต้องทำ?” แต่ฉันก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเพียงแค่คิดในใจเฉยๆ และได้ให้เวลาห้าวัน ในการล่ารายชื่อ
หากใครได้ไม่ครบตามจำนวนจะถูกลงโทษ คงไม่ต้องให้บอกอะไรมากนะคะ ใช่แล้ว.. หนึ่งในนักศึกษาใหม่ที่ถูกลงโทษย่อมมีฉันอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉันไม่กระตือรือร้นที่จะหารายชื่ออะไรทั้งนั้น ห้าวันฉันได้รายชื่อรุ่นพี่ได้ห้าคน อย่าว่าแต่ร้อยคนเลย สิบคนยังไม่ถึงเลยค่ะ ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมค่ะว่า
“ไม่รู้จะหามาทำพระแสงวิมารอะไร”
บทลงโทษคือการปั่นจิ้งหรีดยี่สิบครั้ง และที่ฉันจำได้ดี คือฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวที่โดนลงโทษ น่าภูมิใจมากเลยค่ะ เล่นเอาเดินกลับแถวแทบไม่ถูกเลย มึนหน่อยๆเซๆนิด เดินเหยียบขาเพื่อนที่นั่งอยู่ ใครหลบทันก็หลบ ใครหลบไม่ทันก็โดยฝ่าพระบาทของฉันไปเต็มๆ จะเอาอะไรมากกับคนเมา (เมาปั่นจิ้งหรีดนะคะ) แค่เดินกลับแถวไปนั่งในแถวของตัวถูกก็บุญแล้ว
แล้วเสียงพี่ว้ากก็ตะโกนดังขึ้นมา อบรมสั่งสอนพวกที่(เออ อย่างฉันกระมัง)
“ให้ทำแค่นี้ยังทำไม่ได้ แค่หารายชื่อรุ่นพี่ร้อยคน ยังหาไม่ครบ มันจะหายากอะไรหนักหนา รุ่นพี่ก็อยู่ในคณะเดินสวนกันไปมา ไม่คิดที่จะเข้าไปขอ ไปสวัสดีรุ่นพี่กันเลย ที่ทำแบบนี้เพื่อให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องได้ทำความรู้จักกัน สนิทสนมกัน ได้รู้ชื่อว่าใครเป็นใคร อ้าว..ทุกคนยืนขึ้น ยกเว้นคนที่โดนลงโทษไปเมื่อกี้”
ฉันกับคนอีกแปดคนยังนั่งอยู่ที่พื้นเหมือนเดิม เพื่อนๆปีหนึ่งต่างลุกขึ้นยืนกันหมดตามคำสั่งพี่ว้าก
“ปั่นจิ้งหรีดห้าสิบรอบ โทษฐานที่ไม่ช่วยเหลือเพื่อนหารายชื่อ หาแต่ของตัวเองไม่แนะนำเพื่อน ไม่ช่วยเหลือเพื่อน ปั่นจิ้งหรีดห้าสิบรอบปฏิบัติเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงพี่ว้ากฉันตกตะลึง นั่งตัวแข็งทื่อ ร่างกายชาไปทั้งตัว ดวงตาเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานน้ำตาก็คลอเบ้า
“นับให้มันเสียงดังกว่านี้หน่อย ไม่ได้ยิน” เสียงพี่ว้ากตะโกนบอกเพื่อนๆปีหนึ่งร้อยกว่าชีวิตที่กำลังปั่นจิ้งหรีด เสียงนับรอบการปั่นจิ้งหรีดดังสะนั่นกึกก้องไปทั่วอาคารเรียน
ในขณะที่ฉันนั่งร้องห่มร้องไห้ รู้สึกผิดมากที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนๆโดนลงโทษ ไอ้พวกผู้ชายที่นั่งอยู่บางคนก็ร้องไห้เช่นกัน ไม่นานก็มีเพื่อนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นปั่นจิ้งหรีด และพวกเราที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็ลุกขึ้นปั่นจิ้งหรีดตามเพื่อนๆ ฉันทั้งร้องไห้ทั้งปั่นไปด้วย ขาก็จะหมดแรงแต่ก็พยายามปั่นให้ครบรอบตามเพื่อนๆ
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้ต่อต้านพวกพี่ว้ากอีก คราวนี้สั่งให้ล่ารายชื่อเพื่อนๆปีหนึ่ง ฉันหามาได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เพื่อนถูกลงโทษ เพราะถ้าใครทำผิดไม่ใช่แต่ตัวเองที่โดนแต่เพื่อนๆทั้งหมดก็ จะโดนลงโทษตามไปด้วย บทลงโทษที่โดนกันอาทิเช่น ปั่นจิ้งหรีด กระโดดตบ ลุกนั่ง หรือแม้แต่ที่หนักสุดคือพี่ว้ากจะหยุดว้ากแล้ว เดินหายไปเลย รุ่นพี่ทุกคนหายไป ไม่มีการประชุมเชียร์อีกและไม่อบรมสั่งสอนรุ่นน้องอีก พวกเด็กปีหนึ่งอย่างฉันก็นั่งรออย่างร้อนรน และทุกคนก็ตกใจไปตามๆกัน จนต้องประชุมกันแล้วส่งตัวแทนไปตามพวกพี่ๆว้ากกลับมา ถ้าไม่มาพวกเราก็ยกพลนักศึกษาปีหนึ่งร้อยกว่าชีวิตไปตามพี่ว้าก
เมื่อฉันเป็นรุ่นพี่บ้างฉันถึงได้รู้ว่าการรับน้อง การประชุมเชียร์ที่คุมเข้มฝึกราวกับทหาร ก็เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ ให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัยซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อน การประชุมเชียร์ครั้งนี้ทำให้ฉันได้มิตรภาพที่ดีกลับมาด้วย
ฉันกลายเป็นดาวคณะ หรืออันที่จริงก็คือ ชื่อ ดาว แต่เพื่อนๆในคณะรวมไปถึงรุ่นพี่ เรียกฉันว่า ดาวคณะ และก็เวรของฉันทั้งคณะตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่ มีคนชื่อดาวอยู่แค่คนเดียว และก็เวรของฉันอีกล่ะ เรียกเฉพาะในคณะยังพอรับได้ ทุกคนรู้จัก แต่พอออกไปนอกคณะ หรือที่อื่น แล้วมีคนตะโกนเรียกฉันว่า
“เฮ.. สวัสดีดาวคณะ” คนอื่นที่ไม่รู้ต่างหันมามองเป็นตาเดียว และคงนึกสบถในใจว่า
“นี่หรือว่ะ ดาวคณะ หน้าอย่างกับปลวกปวดขี้เลยว่ะ” ถึงพวกเขามิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แต่ฉันก็พอจะดูออกอยู่หรอกน่า
เวรของฉันจริงๆ ไม่น่าชื่อ ดาว เลย…. ขอย้ำชื่อว่า ดาว นะคะ ไม่ใช่ ดาวคณะ แค่ชื่อ ดาว เฉยๆ
*****
กาลครั้งหนึ่งเมื่อหัวใจมีรัก
สิ้นสุดการประชุมเชียร์อันหฤโหด ฉันก็ได้เพื่อนมาหลายคน และกลายเป็นที่รู้จักของเพื่อนๆพี่ๆในคณะไปโดยปริยาย หัวของฉันกลายเป็นเป้าหมายของรุ่นพี่หลายคน บางคนเดินผ่านก็ตบหัวฉันเล่นราวกับเป็นลูกวอลเลย์บอล บางทีฉันนั่งเล่นใต้คณะก็เดินเข้ามาตบเล่นแล้วก็เดินจากไป
ฉันงงยิ่งกว่าหัดเล่นหมากรุกครั้งแรกเสียอีก ไม่เข้าใจทำแบบนี้กันทำไม นึกหมั่นไส้หรือว่าเอ็นดูกันแน่ เฮ้อ หลังๆมาเริ่มชิน เอาเถอะใครอยากตบก็ตบ ตามสบายเลย หัวฉันเริ่มด้านเสียแล้ว
ไม่นานก็เข้าสู่เทศกาลกีฬาเฟรชซี่ จัดขึ้นเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีของเหล่าน้องใหม่แต่ละคณะ น้องใหม่จะถูกจัดแบ่งให้เป็นนักกีฬา กองเชียร์ เชียร์ลีกเดอร์ คนถือป้าย อะไรอีกมากมายเยอะไปหมด ส่วนฉันไม่อยากเป็นอะไรเลยสักอย่าง เอาเป็นว่าของอยู่เฉยๆเป็นอันดีกว่า
แต่มันก็ย่อมมีอะไรที่คอยดัดไอ้พวกเด็กปีหนึ่งจอมขี้เกียจอย่างฉัน นั้นคือชั่วโมงกิจกรรม ใครไม่ทำอะไรเลยอดได้ชั่วโมงตรงนี้ และตลอดการศึกษาต้องมีชั่วกิจกรรมหนึ่งร้อยชั่วโมง เอาล่ะซิงานเข้าฉันแล้วไหมล่ะ คนยิ่งขี้เกียจฝังรากหยั่งลึกทะลุทะลวงเข้าไปจนถึงเส้นเลือด คงต้องหาอะไรทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาแล้วล่ะ
โชคยังดีที่มีที่ว่างสำหรับฉัน กองเชียร์ขาดคนไปหนึ่งคน เพื่อนฉันเลยมาชวนให้ไปเป็นกองเชียร์ให้ครบห้าสิบคนพอดี ในวันแรกที่ฉันเข้าร่วมฝึกเชียร์กับคนอื่นๆ ฉันออกจะประหม่าไปมากทีเดียวเพราะคนอื่นเขาฝึกมาสามวันแล้วแต่ฉันเพิ่งเข้ามาใหม่ เลยได้รับการต้อนรับจากเพื่อนๆและพี่ๆอย่างน่ารักอบอุ่น
“ปรบมือให้น้องดาวคณะหน่อย ครบจำนวนกองเชียร์ที่ต้องการพอดี” พี่นุร่างเป็นชาย ใจเป็นหญิงเอ่ยขึ้น แล้วเพื่อนๆที่นั่งอยู่บนพื้นในห้องประชุมใหญ่ของคณะก็ปรบมือกันสะนั่น ทุกคนส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร
ฉันได้ที่นั่ง A๓ ซึ่งเป็นการแบ่งที่นั่งตามลำดับความสูง ฉันแอบดีใจนิดๆมีคนเตี้ยกว่าฉันสองคน การจัดที่นั่งของกองเชียร์เพื่อแปลตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่างๆ จัดเป็นแนวตั้ง A B C D E และแนวนอน A๑ A๒ A๓ …. เรื่อยไปจนถึง A๑๐ จำนวนกองเชียร์ห้าสิบคน
การฝึกร้องเพลงและแปลอักษรเริ่มขึ้น แล้วฉันก็ทำไปอย่างมั่วๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“น้องเอสามผิดอีกแล้วนะคะ ไม่เป็นไรมาใหม่ค่อยๆเรียนรู้ไปนะ เพื่อนที่นั่งข้างๆช่วยบอกเพื่อนด้วย” พี่นุเอ่ยขึ้นเมื่อฉันยกตัวอักษรผิด(สัญลักษณ์สี ผิดเพียงตัวเดียวความหมายเปลี่ยนหมด)
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการประกอบการซ้อมเชียร์ ประกอบไปด้วยกลองชุดโดยมีพี่พลเป็นคนตี และมีกลองสันทนาการโดยมีพี่โน๊ตเป็นคนตี โอ๊ย ให้ตายเถอะค่ะ ฉันไม่เคยเลยรู้มาก่อนว่าพี่โน๊ตเป็นคนตีกลอง ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่มาเป็นกองเชียร์เด็ดขาด
พี่โน๊ตคือรุ่นพี่ที่ฉันแอบชอบค่ะ ตอนที่พี่โน๊ตเดินเข้ามาในห้องประชุมแล้วไปประจำที่ตรงกลองสัน ฉันล่ะอยากจะบ้าตาย ทำอะไรไม่ถูกเลยงานนี้ อะไรมันจะบังเอิญได้อย่างนี้ จะถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว
ฉันซ้อมแปลอักษรไปแบบผิดๆถูกๆ ปรบมือก็ผิดจังหวะ อะไรๆก็ผิดไปหมด ฉันรู้สึกกลายเป็นตัวถ่วงของเพื่อนอีกแล้วค่ะ หากผิดเพียงที่เดียวต้องมาเริ่มต้นใหม่หมด แรกๆพี่นุก็ให้อภัยค่ะ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องเอสามเอาใหม่” พี่นุพูดเสียงน่ารักให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร น้องใหม่ทำอะไรก็ไม่ผิด ลองใหม่อีกทีนะน้องเอสาม” พี่นุยังส่งเสียงใสแจ๋วให้กำลังใจฉันอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสามวันกับการฝึกซ้อมเชียร์ของฉัน
“ไหนใครทำผิดอีก” พี่นุส่งเสียงดังลั่นห้องประชุม สิ้นเสียงพี่นุ พี่พลก็ชี้ไม้กลองมาที่ฉันทันที
“นางเอสาม แกผิดอีกแล้วนะ เดี๋ยวๆ” พี่นุยืนเท้าสะเอวตะโกนเอ็ดตะโรฉัน ส่วนฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นการขอโทษ ก็แหมมีชายหนุ่มที่แอบชอบมายืนดูอยู่ตลอดเวลาใครจะมีสมาธิ ในการแปลอักษรล่ะ เฮ้อ ไม่มีใครเข้าใจดาวคณะเลย
“เอาล่ะๆ เริ่มใหม่ รุ่นพี่ช่วยกันดูด้วย คราวนี้ใครผิดจะลงโทษเลยนะ” พี่นุพูดขึ้น พร้อมกับปรบมือสามทีเป็นการเร้าอารมณ์เด็กปีหนึ่ง
เสียงกลองเสียงร้องเพลงดังขึ้นอีกครั้ง แล้วการแปลอักษร และแปลรูปสัญลักษณ์ต่างๆก็เริ่มขึ้นใหม่ ทุกอย่างดูไหลลื่นเป็นไปอย่างดี เกือบจะจบไม่มีใครทำผิด แต่โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งฉัน จุดใกล้จะจบต้องใส่ถุงมือและพลิกถุงมือด้านสีชมพูออกมา แต่ฉันดันพลิกด้านสีขาวออกมา จบกัน ขาวผ่องอยู่คนเดียว
“นางเอสาม แกตายยยย” เสียงพี่นุร้องตะโกนลั่น แกวิ่งไปเอาไม้กลองที่มือพี่โน๊ต แล้วเอามาเคาะหัวฉันหนึ่งที ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆอีกนั้นล่ะ แต่ที่ทำเอาฉันแทบจะลอยทะลุเพดานห้อง ก็ตอนที่พี่โน๊ตหันมาอมยิ้มให้ฉันนี้ล่ะ
คืนนี้เราซ้อมเชียร์กันจนถึงตีสองเพราะใกล้วันแข่งแล้ว ฉันเดินกลับหอพักกับเพื่อนๆแต่ก็ต้องแยกกันกลางทางเพราะอยู่กันคนละหอพัก ส่วนฉันก็ต้องเดินกลับหอพักคนเดียว เป็นหอพักในมอนะคะ แต่ในเวลานี้มันก็เริ่มเปลี่ยวไม่ค่อยจะมีคนเดิน และเส้นทางก็ออกจะมืดไปบางเป็นระยะทาง ฉันก็เดินอ้อยอิ่งไม่รีบเร่งเพราะเหนื่อยหมดแรงจากการซ้อมเชียร์ ซักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งแซงหน้าฉัน ฉันมองจากด้านหลังไม่รู้จะดีใจหรือตกใจ
เสียงกระซิบ ณ. วันวานที่ยังดังก้องในใจ
น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ (จริงเหรอ?)
ย้อนไปเมื่อแปดปีที่แล้วฉันเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ เทศกาลรับน้องย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉันออกจะตื่นเต้นเป็นที่สุดกับการจะได้เป็นนักศึกษา หัวใจพองโตเมื่อได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย กับชุดนักศึกษาที่เรียบร้อยที่สุดของน้องใหม่ เสื้อถูกเก็บไว้ในกระโปรงกลีบรอบที่มีความยาวถึงเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาว ใส่ถุงเท้าซะด้วย เรียบร้อยไร้ที่ติ แต่ต้องคอยดูต่อไปค่ะ วันเวลาล่วงเลยไปการแต่งกายย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาติแห่งความกร้านโลกที่มีมากขึ้น
กระโปรงเริ่มสั้นเลยเข่า เสื้อจากไซส์เอ็มเปลี่ยนเป็นไซส์เอส รองเท้าผ้าใบกลายเป็นรองเท้าส้นสูง ก็บอกแล้วเปลี่ยนไปตามสภาวะที่กร้านโลกขึ้น แต่ก็ไม่ได้จะใส่ไอ้แบบนี้ทุกวันแล้วแต่อารมณ์จริงๆ ฉันเป็นประเภทแต่งได้หลายสไตล์ ยามอยากเซ็กซี่ก็ตามนั้นล่ะ กระโปรงจะสั้นขึ้นตามระดับชั้นปีที่สูงขึ้น เอ๊ะ เกี่ยวกันไหมน่า
พออยากเรียบร้อยกระโปรงจัดเลยเข่าเกือบไปถึงตาตุ่มเลยค่ะ แต่พออยากเซอร์หหน่อย ใส่รองเท้าผ้าใบ แถมต้องเหยียบส้นรองเท้าด้วยไม่งั้นไม่เก๋ เสื้อนักศึกษาอยู่นอกกระโปรง ผมม้วนเกล้าเก็บแบบหลวมๆ สวมทับเสื้อแจ๊คเก็ตสไตล์เกาหลีอีกทีหนึ่ง กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ ใส่ทุกอย่างราวกับเป็นกระเป๋าโดราเอม่อนก็ไม่ปาน ในยามอยากเซ็กซี่จะแต่งเฉพาะไปเรื่องที่คณะอื่น พอมาเรียนคณะตัวเองกลับมาสู่โหมดเซอร์ตามเดิม เฮ้อ..มาตรฐานเด็กบ้านนอกดันอยากเป็นติ่งเกาหลี
เอาล่ะ ว่าด้วยเรื่องการแต่งการที่ไม่เรียบร้อย หรืออาจจะเรียบร้อยบางบ้างครั้ง กลับเข้ามาสู่การรับน้องกันดีกว่า
การรับน้องครั้งแรกเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรมาก แค่พี่ว้าก(*ไอ้พวกชอบใช้เสียงดัง ทำให้ดูน่าเกรงขาม ดุตะโกนโวกเวกใส่รุ่นน้องเป็นว่าเล่น ไม่รู้ไอ้พวกพี่ว้ากเป็นอะไร พูดเยี่ยงคนปกติไม่เป็นหรือไง..ด้วยความสงสัยและไม่ชอบเป็นการส่วนตัว)
พี่ว้ากบอกให้ไปหารายชื่อของรุ่นพี่ปีต่างๆให้ได้หนึ่งร้อยคน เห้อๆ ฉันแอบหัวเราะก้องในลำคอ นึกอย่างถามออกไป “จะหามาทำพระแสงวิมารอะไร?” “จำเป็นด้วยหรือที่ต้องทำ?” แต่ฉันก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเพียงแค่คิดในใจเฉยๆ และได้ให้เวลาห้าวัน ในการล่ารายชื่อ
หากใครได้ไม่ครบตามจำนวนจะถูกลงโทษ คงไม่ต้องให้บอกอะไรมากนะคะ ใช่แล้ว.. หนึ่งในนักศึกษาใหม่ที่ถูกลงโทษย่อมมีฉันอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉันไม่กระตือรือร้นที่จะหารายชื่ออะไรทั้งนั้น ห้าวันฉันได้รายชื่อรุ่นพี่ได้ห้าคน อย่าว่าแต่ร้อยคนเลย สิบคนยังไม่ถึงเลยค่ะ ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมค่ะว่า “ไม่รู้จะหามาทำพระแสงวิมารอะไร”
บทลงโทษคือการปั่นจิ้งหรีดยี่สิบครั้ง และที่ฉันจำได้ดี คือฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวที่โดนลงโทษ น่าภูมิใจมากเลยค่ะ เล่นเอาเดินกลับแถวแทบไม่ถูกเลย มึนหน่อยๆเซๆนิด เดินเหยียบขาเพื่อนที่นั่งอยู่ ใครหลบทันก็หลบ ใครหลบไม่ทันก็โดยฝ่าพระบาทของฉันไปเต็มๆ จะเอาอะไรมากกับคนเมา (เมาปั่นจิ้งหรีดนะคะ) แค่เดินกลับแถวไปนั่งในแถวของตัวถูกก็บุญแล้ว
แล้วเสียงพี่ว้ากก็ตะโกนดังขึ้นมา อบรมสั่งสอนพวกที่(เออ อย่างฉันกระมัง)
“ให้ทำแค่นี้ยังทำไม่ได้ แค่หารายชื่อรุ่นพี่ร้อยคน ยังหาไม่ครบ มันจะหายากอะไรหนักหนา รุ่นพี่ก็อยู่ในคณะเดินสวนกันไปมา ไม่คิดที่จะเข้าไปขอ ไปสวัสดีรุ่นพี่กันเลย ที่ทำแบบนี้เพื่อให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องได้ทำความรู้จักกัน สนิทสนมกัน ได้รู้ชื่อว่าใครเป็นใคร อ้าว..ทุกคนยืนขึ้น ยกเว้นคนที่โดนลงโทษไปเมื่อกี้”
ฉันกับคนอีกแปดคนยังนั่งอยู่ที่พื้นเหมือนเดิม เพื่อนๆปีหนึ่งต่างลุกขึ้นยืนกันหมดตามคำสั่งพี่ว้าก
“ปั่นจิ้งหรีดห้าสิบรอบ โทษฐานที่ไม่ช่วยเหลือเพื่อนหารายชื่อ หาแต่ของตัวเองไม่แนะนำเพื่อน ไม่ช่วยเหลือเพื่อน ปั่นจิ้งหรีดห้าสิบรอบปฏิบัติเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงพี่ว้ากฉันตกตะลึง นั่งตัวแข็งทื่อ ร่างกายชาไปทั้งตัว ดวงตาเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่นานน้ำตาก็คลอเบ้า
“นับให้มันเสียงดังกว่านี้หน่อย ไม่ได้ยิน” เสียงพี่ว้ากตะโกนบอกเพื่อนๆปีหนึ่งร้อยกว่าชีวิตที่กำลังปั่นจิ้งหรีด เสียงนับรอบการปั่นจิ้งหรีดดังสะนั่นกึกก้องไปทั่วอาคารเรียน
ในขณะที่ฉันนั่งร้องห่มร้องไห้ รู้สึกผิดมากที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนๆโดนลงโทษ ไอ้พวกผู้ชายที่นั่งอยู่บางคนก็ร้องไห้เช่นกัน ไม่นานก็มีเพื่อนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นปั่นจิ้งหรีด และพวกเราที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็ลุกขึ้นปั่นจิ้งหรีดตามเพื่อนๆ ฉันทั้งร้องไห้ทั้งปั่นไปด้วย ขาก็จะหมดแรงแต่ก็พยายามปั่นให้ครบรอบตามเพื่อนๆ
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้ต่อต้านพวกพี่ว้ากอีก คราวนี้สั่งให้ล่ารายชื่อเพื่อนๆปีหนึ่ง ฉันหามาได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เพื่อนถูกลงโทษ เพราะถ้าใครทำผิดไม่ใช่แต่ตัวเองที่โดนแต่เพื่อนๆทั้งหมดก็ จะโดนลงโทษตามไปด้วย บทลงโทษที่โดนกันอาทิเช่น ปั่นจิ้งหรีด กระโดดตบ ลุกนั่ง หรือแม้แต่ที่หนักสุดคือพี่ว้ากจะหยุดว้ากแล้ว เดินหายไปเลย รุ่นพี่ทุกคนหายไป ไม่มีการประชุมเชียร์อีกและไม่อบรมสั่งสอนรุ่นน้องอีก พวกเด็กปีหนึ่งอย่างฉันก็นั่งรออย่างร้อนรน และทุกคนก็ตกใจไปตามๆกัน จนต้องประชุมกันแล้วส่งตัวแทนไปตามพวกพี่ๆว้ากกลับมา ถ้าไม่มาพวกเราก็ยกพลนักศึกษาปีหนึ่งร้อยกว่าชีวิตไปตามพี่ว้าก
เมื่อฉันเป็นรุ่นพี่บ้างฉันถึงได้รู้ว่าการรับน้อง การประชุมเชียร์ที่คุมเข้มฝึกราวกับทหาร ก็เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ ให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัยซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อน การประชุมเชียร์ครั้งนี้ทำให้ฉันได้มิตรภาพที่ดีกลับมาด้วย
ฉันกลายเป็นดาวคณะ หรืออันที่จริงก็คือ ชื่อ ดาว แต่เพื่อนๆในคณะรวมไปถึงรุ่นพี่ เรียกฉันว่า ดาวคณะ และก็เวรของฉันทั้งคณะตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่ มีคนชื่อดาวอยู่แค่คนเดียว และก็เวรของฉันอีกล่ะ เรียกเฉพาะในคณะยังพอรับได้ ทุกคนรู้จัก แต่พอออกไปนอกคณะ หรือที่อื่น แล้วมีคนตะโกนเรียกฉันว่า
“เฮ.. สวัสดีดาวคณะ” คนอื่นที่ไม่รู้ต่างหันมามองเป็นตาเดียว และคงนึกสบถในใจว่า
“นี่หรือว่ะ ดาวคณะ หน้าอย่างกับปลวกปวดขี้เลยว่ะ” ถึงพวกเขามิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แต่ฉันก็พอจะดูออกอยู่หรอกน่า
เวรของฉันจริงๆ ไม่น่าชื่อ ดาว เลย…. ขอย้ำชื่อว่า ดาว นะคะ ไม่ใช่ ดาวคณะ แค่ชื่อ ดาว เฉยๆ
กาลครั้งหนึ่งเมื่อหัวใจมีรัก
สิ้นสุดการประชุมเชียร์อันหฤโหด ฉันก็ได้เพื่อนมาหลายคน และกลายเป็นที่รู้จักของเพื่อนๆพี่ๆในคณะไปโดยปริยาย หัวของฉันกลายเป็นเป้าหมายของรุ่นพี่หลายคน บางคนเดินผ่านก็ตบหัวฉันเล่นราวกับเป็นลูกวอลเลย์บอล บางทีฉันนั่งเล่นใต้คณะก็เดินเข้ามาตบเล่นแล้วก็เดินจากไป
ฉันงงยิ่งกว่าหัดเล่นหมากรุกครั้งแรกเสียอีก ไม่เข้าใจทำแบบนี้กันทำไม นึกหมั่นไส้หรือว่าเอ็นดูกันแน่ เฮ้อ หลังๆมาเริ่มชิน เอาเถอะใครอยากตบก็ตบ ตามสบายเลย หัวฉันเริ่มด้านเสียแล้ว
ไม่นานก็เข้าสู่เทศกาลกีฬาเฟรชซี่ จัดขึ้นเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีของเหล่าน้องใหม่แต่ละคณะ น้องใหม่จะถูกจัดแบ่งให้เป็นนักกีฬา กองเชียร์ เชียร์ลีกเดอร์ คนถือป้าย อะไรอีกมากมายเยอะไปหมด ส่วนฉันไม่อยากเป็นอะไรเลยสักอย่าง เอาเป็นว่าของอยู่เฉยๆเป็นอันดีกว่า
แต่มันก็ย่อมมีอะไรที่คอยดัดไอ้พวกเด็กปีหนึ่งจอมขี้เกียจอย่างฉัน นั้นคือชั่วโมงกิจกรรม ใครไม่ทำอะไรเลยอดได้ชั่วโมงตรงนี้ และตลอดการศึกษาต้องมีชั่วกิจกรรมหนึ่งร้อยชั่วโมง เอาล่ะซิงานเข้าฉันแล้วไหมล่ะ คนยิ่งขี้เกียจฝังรากหยั่งลึกทะลุทะลวงเข้าไปจนถึงเส้นเลือด คงต้องหาอะไรทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาแล้วล่ะ
โชคยังดีที่มีที่ว่างสำหรับฉัน กองเชียร์ขาดคนไปหนึ่งคน เพื่อนฉันเลยมาชวนให้ไปเป็นกองเชียร์ให้ครบห้าสิบคนพอดี ในวันแรกที่ฉันเข้าร่วมฝึกเชียร์กับคนอื่นๆ ฉันออกจะประหม่าไปมากทีเดียวเพราะคนอื่นเขาฝึกมาสามวันแล้วแต่ฉันเพิ่งเข้ามาใหม่ เลยได้รับการต้อนรับจากเพื่อนๆและพี่ๆอย่างน่ารักอบอุ่น
“ปรบมือให้น้องดาวคณะหน่อย ครบจำนวนกองเชียร์ที่ต้องการพอดี” พี่นุร่างเป็นชาย ใจเป็นหญิงเอ่ยขึ้น แล้วเพื่อนๆที่นั่งอยู่บนพื้นในห้องประชุมใหญ่ของคณะก็ปรบมือกันสะนั่น ทุกคนส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร
ฉันได้ที่นั่ง A๓ ซึ่งเป็นการแบ่งที่นั่งตามลำดับความสูง ฉันแอบดีใจนิดๆมีคนเตี้ยกว่าฉันสองคน การจัดที่นั่งของกองเชียร์เพื่อแปลตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ต่างๆ จัดเป็นแนวตั้ง A B C D E และแนวนอน A๑ A๒ A๓ …. เรื่อยไปจนถึง A๑๐ จำนวนกองเชียร์ห้าสิบคน
การฝึกร้องเพลงและแปลอักษรเริ่มขึ้น แล้วฉันก็ทำไปอย่างมั่วๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“น้องเอสามผิดอีกแล้วนะคะ ไม่เป็นไรมาใหม่ค่อยๆเรียนรู้ไปนะ เพื่อนที่นั่งข้างๆช่วยบอกเพื่อนด้วย” พี่นุเอ่ยขึ้นเมื่อฉันยกตัวอักษรผิด(สัญลักษณ์สี ผิดเพียงตัวเดียวความหมายเปลี่ยนหมด)
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการประกอบการซ้อมเชียร์ ประกอบไปด้วยกลองชุดโดยมีพี่พลเป็นคนตี และมีกลองสันทนาการโดยมีพี่โน๊ตเป็นคนตี โอ๊ย ให้ตายเถอะค่ะ ฉันไม่เคยเลยรู้มาก่อนว่าพี่โน๊ตเป็นคนตีกลอง ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่มาเป็นกองเชียร์เด็ดขาด
พี่โน๊ตคือรุ่นพี่ที่ฉันแอบชอบค่ะ ตอนที่พี่โน๊ตเดินเข้ามาในห้องประชุมแล้วไปประจำที่ตรงกลองสัน ฉันล่ะอยากจะบ้าตาย ทำอะไรไม่ถูกเลยงานนี้ อะไรมันจะบังเอิญได้อย่างนี้ จะถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว
ฉันซ้อมแปลอักษรไปแบบผิดๆถูกๆ ปรบมือก็ผิดจังหวะ อะไรๆก็ผิดไปหมด ฉันรู้สึกกลายเป็นตัวถ่วงของเพื่อนอีกแล้วค่ะ หากผิดเพียงที่เดียวต้องมาเริ่มต้นใหม่หมด แรกๆพี่นุก็ให้อภัยค่ะ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องเอสามเอาใหม่” พี่นุพูดเสียงน่ารักให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร น้องใหม่ทำอะไรก็ไม่ผิด ลองใหม่อีกทีนะน้องเอสาม” พี่นุยังส่งเสียงใสแจ๋วให้กำลังใจฉันอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสามวันกับการฝึกซ้อมเชียร์ของฉัน
“ไหนใครทำผิดอีก” พี่นุส่งเสียงดังลั่นห้องประชุม สิ้นเสียงพี่นุ พี่พลก็ชี้ไม้กลองมาที่ฉันทันที
“นางเอสาม แกผิดอีกแล้วนะ เดี๋ยวๆ” พี่นุยืนเท้าสะเอวตะโกนเอ็ดตะโรฉัน ส่วนฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆเป็นการขอโทษ ก็แหมมีชายหนุ่มที่แอบชอบมายืนดูอยู่ตลอดเวลาใครจะมีสมาธิ ในการแปลอักษรล่ะ เฮ้อ ไม่มีใครเข้าใจดาวคณะเลย
“เอาล่ะๆ เริ่มใหม่ รุ่นพี่ช่วยกันดูด้วย คราวนี้ใครผิดจะลงโทษเลยนะ” พี่นุพูดขึ้น พร้อมกับปรบมือสามทีเป็นการเร้าอารมณ์เด็กปีหนึ่ง
เสียงกลองเสียงร้องเพลงดังขึ้นอีกครั้ง แล้วการแปลอักษร และแปลรูปสัญลักษณ์ต่างๆก็เริ่มขึ้นใหม่ ทุกอย่างดูไหลลื่นเป็นไปอย่างดี เกือบจะจบไม่มีใครทำผิด แต่โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งฉัน จุดใกล้จะจบต้องใส่ถุงมือและพลิกถุงมือด้านสีชมพูออกมา แต่ฉันดันพลิกด้านสีขาวออกมา จบกัน ขาวผ่องอยู่คนเดียว
“นางเอสาม แกตายยยย” เสียงพี่นุร้องตะโกนลั่น แกวิ่งไปเอาไม้กลองที่มือพี่โน๊ต แล้วเอามาเคาะหัวฉันหนึ่งที ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆอีกนั้นล่ะ แต่ที่ทำเอาฉันแทบจะลอยทะลุเพดานห้อง ก็ตอนที่พี่โน๊ตหันมาอมยิ้มให้ฉันนี้ล่ะ
คืนนี้เราซ้อมเชียร์กันจนถึงตีสองเพราะใกล้วันแข่งแล้ว ฉันเดินกลับหอพักกับเพื่อนๆแต่ก็ต้องแยกกันกลางทางเพราะอยู่กันคนละหอพัก ส่วนฉันก็ต้องเดินกลับหอพักคนเดียว เป็นหอพักในมอนะคะ แต่ในเวลานี้มันก็เริ่มเปลี่ยวไม่ค่อยจะมีคนเดิน และเส้นทางก็ออกจะมืดไปบางเป็นระยะทาง ฉันก็เดินอ้อยอิ่งไม่รีบเร่งเพราะเหนื่อยหมดแรงจากการซ้อมเชียร์ ซักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งแซงหน้าฉัน ฉันมองจากด้านหลังไม่รู้จะดีใจหรือตกใจ