“อาตมาคิดเรื่องนี้มา 30 ปีแล้ว”: เมื่อวัดยานนาวาจะติดโซลาร์เซลล์
http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9580000103826
เอาเรื่องในสหรัฐอเมริกาก่อนดีกว่านะครับ
รายงานที่ผมอ้างถึงนี้ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาโดยกรมพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Department of Energy) ผมพยายามค้นหาวันที่พิมพ์ แต่หาไม่เจอครับ คาดว่าน่าเมื่อต้นเดือนมกราคม 2015) สองเมืองแรกที่น่าลงทุนติดตั้งมากที่สุดคือเมืองนิวยอร์ก (ซึ่งในปี 2012 ค่าไฟฟ้าแพงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ราคาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 เท่ากับ $0.181/kwh = 6.15 บาท) และเมืองบอสตันเพราะราคาค่าไฟฟ้าแพง
รายงานนี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ชาวอเมริกันไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องนี้ จากการศึกษาพบว่าการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ใน 46 เมืองจาก 50 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และใน 42 เมืองใหญ่ดังกล่าว ค่าไฟฟ้าที่ผลิตได้เองจากโซลาร์เซลล์มีราคาถูกกว่าค่าไฟฟ้าที่เจ้าของบ้านซื้อจากการไฟฟ้าฯ โดยที่การศึกษานี้อยู่บนข้อสมมติที่ว่า ลงทุนเอง 100% ด้วยเงินกู้อัตราดอกเบี้ย 5% (ย้ำ จ่ายดอกเบี้ยด้วย) ตลอด 25 ปีของอายุโซลาร์เซลล์ โดยที่ค่าไฟฟ้าในปีที่ 25 จะเพิ่มขึ้นอีก 33% ถึง 88%
ในปี 2014 มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 1 หลัง ขนาด 4.5 กิโลวัตต์ ในทุกๆ 2 นาที และมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกิจการนี้สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ทั้งหมดถึงเกือบ 20 เท่าตัว (
http://ecowatch.com/2015/01/15/solar-industry-jobs/)
อย่างไรก็ตาม ทำไมชาวอเมริกันจึงไม่ลงทุนติดตั้ง รายงานนี้ตั้งคำถาม พร้อมกับตอบเองว่า “มันเป็นความชัดเจนว่ามีช่องว่างทางสารสนเทศ (Information Gap) รายงานนี้จะเปิดตาเจ้าของบ้านโดยเฉลี่ยว่า ไฟฟ้าที่ผลิตได้เองนั้น เป็นทั้งเรื่องการประหยัดค่าไฟฟ้ารายเดือนอย่างมีนัยสำคัญและเป็นการลงทุนในระยะยาวด้วย ...มันเป็นความหวังของเราว่า ประชาชนจะกลับมารับรู้ความจริงว่า พลังงานแสงแดดในปัจจุบันไม่ใช่เป็นทางเลือกของคนร่ำรวยอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโอกาสที่เป็นจริงสำหรับทุกคนที่กำลังหาอำนาจที่มากขึ้นในการควบคุมบิลค่าไฟฟ้ารายเดือน และการลงทุนในระยะยาวซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ”
เท่าที่ผมสืบค้นพบว่า ต้นทุนในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านพักอาศัยในสหรัฐอเมริกาแพงมาก คือ $5.22 ต่อวัตต์ (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.83 แสนบาทต่อหนึ่งกิโลวัตต์ ในขณะที่ต้นทุนในประเทศไทยประมาณ 5-6 หมื่นบาท) ในจำนวนนี้เป็นค่าอุปกรณ์ (Hardware Costs) เพียง $1.90 เท่านั้น อีก $3.22 ที่เหลือหรือ 64% เป็นค่าดำเนินการ หรือ “Soft Costs” ซึ่งได้แก่ ค่าห่วงโซ่อุปทาน (61 เซ็นต์ต่อวัตต์)ค่าแรงงานติดตั้ง (55 เซ็นต์ต่อวัตต์) ค่าการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition)48 เซ็นต์ต่อวัตต์ รวมไปถึงค่าออกแบบและพัฒนา ค่าขออนุญาตและการตรวจสอบ 10 เซ็นต์ต่อวัตต์ เป็นต้น
ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถก็สามารถลดต้นทุนลงไปได้เยอะครับ ผมจึงเชื่อว่าท่านพระครูวิมลปัญญาคุณคงจะช่วยเหลือพระพรหมวชิรญาณได้มากสำหรับงานนี้
บทความนี้เขากล่าวถึงโซล่าเซลว่าคุ้มค่าและประหยัดจริงตามที่เขากล่าวหรือเปล่าครับ
http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9580000103826
เอาเรื่องในสหรัฐอเมริกาก่อนดีกว่านะครับ
รายงานที่ผมอ้างถึงนี้ได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาโดยกรมพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Department of Energy) ผมพยายามค้นหาวันที่พิมพ์ แต่หาไม่เจอครับ คาดว่าน่าเมื่อต้นเดือนมกราคม 2015) สองเมืองแรกที่น่าลงทุนติดตั้งมากที่สุดคือเมืองนิวยอร์ก (ซึ่งในปี 2012 ค่าไฟฟ้าแพงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ราคาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 เท่ากับ $0.181/kwh = 6.15 บาท) และเมืองบอสตันเพราะราคาค่าไฟฟ้าแพง
รายงานนี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ชาวอเมริกันไม่ค่อยได้สนใจในเรื่องนี้ จากการศึกษาพบว่าการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ใน 46 เมืองจาก 50 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และใน 42 เมืองใหญ่ดังกล่าว ค่าไฟฟ้าที่ผลิตได้เองจากโซลาร์เซลล์มีราคาถูกกว่าค่าไฟฟ้าที่เจ้าของบ้านซื้อจากการไฟฟ้าฯ โดยที่การศึกษานี้อยู่บนข้อสมมติที่ว่า ลงทุนเอง 100% ด้วยเงินกู้อัตราดอกเบี้ย 5% (ย้ำ จ่ายดอกเบี้ยด้วย) ตลอด 25 ปีของอายุโซลาร์เซลล์ โดยที่ค่าไฟฟ้าในปีที่ 25 จะเพิ่มขึ้นอีก 33% ถึง 88%
ในปี 2014 มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 1 หลัง ขนาด 4.5 กิโลวัตต์ ในทุกๆ 2 นาที และมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกิจการนี้สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ทั้งหมดถึงเกือบ 20 เท่าตัว (http://ecowatch.com/2015/01/15/solar-industry-jobs/)
อย่างไรก็ตาม ทำไมชาวอเมริกันจึงไม่ลงทุนติดตั้ง รายงานนี้ตั้งคำถาม พร้อมกับตอบเองว่า “มันเป็นความชัดเจนว่ามีช่องว่างทางสารสนเทศ (Information Gap) รายงานนี้จะเปิดตาเจ้าของบ้านโดยเฉลี่ยว่า ไฟฟ้าที่ผลิตได้เองนั้น เป็นทั้งเรื่องการประหยัดค่าไฟฟ้ารายเดือนอย่างมีนัยสำคัญและเป็นการลงทุนในระยะยาวด้วย ...มันเป็นความหวังของเราว่า ประชาชนจะกลับมารับรู้ความจริงว่า พลังงานแสงแดดในปัจจุบันไม่ใช่เป็นทางเลือกของคนร่ำรวยอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโอกาสที่เป็นจริงสำหรับทุกคนที่กำลังหาอำนาจที่มากขึ้นในการควบคุมบิลค่าไฟฟ้ารายเดือน และการลงทุนในระยะยาวซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ”
เท่าที่ผมสืบค้นพบว่า ต้นทุนในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านพักอาศัยในสหรัฐอเมริกาแพงมาก คือ $5.22 ต่อวัตต์ (คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.83 แสนบาทต่อหนึ่งกิโลวัตต์ ในขณะที่ต้นทุนในประเทศไทยประมาณ 5-6 หมื่นบาท) ในจำนวนนี้เป็นค่าอุปกรณ์ (Hardware Costs) เพียง $1.90 เท่านั้น อีก $3.22 ที่เหลือหรือ 64% เป็นค่าดำเนินการ หรือ “Soft Costs” ซึ่งได้แก่ ค่าห่วงโซ่อุปทาน (61 เซ็นต์ต่อวัตต์)ค่าแรงงานติดตั้ง (55 เซ็นต์ต่อวัตต์) ค่าการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition)48 เซ็นต์ต่อวัตต์ รวมไปถึงค่าออกแบบและพัฒนา ค่าขออนุญาตและการตรวจสอบ 10 เซ็นต์ต่อวัตต์ เป็นต้น
ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถก็สามารถลดต้นทุนลงไปได้เยอะครับ ผมจึงเชื่อว่าท่านพระครูวิมลปัญญาคุณคงจะช่วยเหลือพระพรหมวชิรญาณได้มากสำหรับงานนี้