คนอกหัก คนผิดหวัง คนไม่สมหวัง คนรักคนอื่นข้างเดียว เมื่อถึงในที่สุดแล้ว ชีวิตอาจต้องเดินต่อไปเสมอ เพียงแต่ความรู้สึก ความมั่นใจมันไม่เหมือนเดิม บางคนก็คิดว่าอาจไม่กลับมาเป็นอย่างเดิมได้แล้ว บางคนก็คิดว่าเราควรลองพยายามอีกครั้ง ในหนังเรื่อง (500) Days of Summer (2009) การดูจบจะทำให้เราเข้าใจชีวิตคู่มากขึ้น เข้าใจความคิดของคนข้างมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือทำให้เรากล้าลุกขึ้นมาใช้ชีวิตโดยมองหาสิ่งใหม่ๆอีกครั้ง
หนังนั้นเรียกได้ว่าโดนใจอย่างแรงสำหรับผู้เขียน ทั้งเรื่องราว การแสดง และจุดจบที่น่าเห็นใจ ซึ่งหนังทำได้ดีมากและจุกในใจมากๆ หนังเล่าเรื่องของ ทอม (Joseph Gordon-Levitt) นักเขียนการ์ดอวยพรผู้เชื่อมั่นในรักแท้และพรหมลิขิต หลงรักเลขาสาวคนใหม่ของหัวหน้าชื่อซัมเมอร์ส (Zooey Deschanel) ทอมเชื่อว่าเธอนั้นคือรักแท้ที่เขาตามหามานานในขณะที่ซัมเมอร์สนั้นไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเท่าไหร่นัก ทำให้ภารกิจพิชิตหัวใจของทอมจึงเริ่มขึ้น ตัวหนังและเรื่องย่ออาจเหมือนหนังรักทั่วไปแต่นี่คือหนังที่มีความฉลาดในการเล่าเรื่อง มีการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆทั้งช่วงก่อน-หลังให้เห็น
และนี่คือ 8 เหตุผลที่อยากให้คนอกหักหามารับชมกันกับ (500) Days of Summer

1.นักแสดงนำทั้งสองคนเล่นได้น่ารัก มีเสน่ห์มากๆ ทอมนั้นดูยังไงก็คิดได้ว่านี่คือผู้ชายที่เชื่อในพรหมลิขิตอย่างแท้จริง และพร้อมทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่น ขณะที่ซัมเมอร์สนั้น น่ารัก มีเสน่ห์อย่างแท้จริง แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่เธอเป็นคนไม่เชื่อพรหมลิขิตทำให้ฉากสีหน้าเธอที่เฉยๆนั้น ดูร้ายกาจได้อย่างน่าประหลาด ขณะที่นักแสดงสมทบนั้นเล่นได้ดี มีบทบาทเด่นทุกคนโดยเฉพาะสาว Chloe Grace Morettz วัยเด็ก ต่อปากต่อคำกับพระเอกได้อย่างยอดเยี่ยม

2.ผู้กำกับ Marc Webb นั้นถนัดมากในการขับเสน่ห์นักแสดงนำทั้งสอง โดยเฉพาะคู่รักกันในหนังให้มีเสน่ห์ และน่าติดตามน่าเอาใจช่วยได้เสมอ ที่สำคัญไอเดียแต่ละอย่างในหนังของเขานั้นถือว่าไม่ธรรมดา (ใน Amazing Spider-Man ทั้งสองภาคยังคิดว่าหนังรักไม่ใช่หนังฮีโร่เลย)

3.นี่เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่หนังรัก ตัวหนังมีความฉลาดในการเล่าเรื่อง โดยไม่เลือกเล่าเรื่องจากวัน 1 ไป 500 แต่เปิดเรื่องด้วยวันที่ 300 กว่าๆ แล้วกลับไปวันที่ 2 บ้าง 10 บ้าง 1 บ้างทำให้เราเห้นทั้งวันที่เจอกันครั้งแรก วันที่ไปออกเดทครั้งแรก หรือวันที่ทะเลาะกันครั้งแรก ตัวอย่างที่เห็นชัดคือวันที่ท้องสองไปเดินซื้อของด้วยกันอย่างสนุกสนาน และกรอไปวันที่ 300 กว่าๆที่ทั้งสองไปช็อปปิ้งที่เดิม แต่ความสนุกหายไปแล้ว

4.เนื่องด้วยนางเอกนั้นไม่เชื่อในพรหมลิขิตอยู่แล้ว การที่นางยอมคบกับพระเอกโดยได้บอกไว้ว่าไม่อยากผูกมัด ไม่อยากเรียกแฟนอยากคบไปเรื่อยๆนั้นตอกย้ำความคิดเธอได้อย่างดี เทียบกับพระเอกที่เชื่อในพรหมลิขิต ดูจากพระเอกที่เรียนจบสถาปนิกแต่มาทำงานอาชีพคนเขียนการ์ดอวยพรว่าเป็นคนที่ช่างฝัน มองโลกไว้ราวกับแบบเทพนิยาย การที่ซัมเมอร์สยอมคบนั้นย่อมย่อมทำให้พระเอกคิดไปไกลได้ไม่ยากโดยเป็นการคิดคนเดียว คิดไปเองล้วนๆ ถือว่าทำให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างคู่รักได้อย่างดี กับความคิดที่แตกต่างกันแต่กลับยอมคบได้ แม้ไม่ใช่แฟน แต่ตัวพระเอกนั้นเชื่อว่าซักวันเธอจะเปลี่ยนใจได้

5.การที่คนๆหนึ่งชอบอะไรแปลกๆเหมือนกับเราไม่ได้ทำให้เขาคนนั้นเป็นเนื้อคู่เรา คือคำพูดของสาวน้อยที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับพระเอก ซึ่งน่าเสียดายที่พระเอกดันไม่เชื่อคำพูดที่ว่านี้ เนื่องด้วยเป็นคนโรแมนติก จึงไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น ซึ่งน่าจะเตือนใจได้ดีกับคนที่ชอบคิดว่าคนที่เราชอบคิดเหมือนกับเรา หรือทำอะไรเหมือนเราแค่นั้น ไม่ได้ทำให้เป็นเนื้อคู่กับเราหรอก

6.หนังตอกย้ำการคิดไปเองของพระเอกอีกครั้งแบบเห็นได้ชัดจากการที่พระเอกไปงานปาร์ตี้ที่บ้านนางเอก พร้อมคาดหวังสิ่งต่างๆไว้มากมายในหัวสมอง แต่น่าเสียดายที่ความโรแมนติกนั้นเป็นแค่ความละเมอเพ้อพกของพระเอกเอง (ใครที่แอบรักคนอื่นดูฉากนี้แล้ว น้ำตาไหลได้ง่ายๆ) ซึ่งซูฮกในไอเดียเลยว่าเปรียบเทียบแต่ละอย่างได้อย่างเจ็บแสบ และสะเทือนใจมาก

7.ฉากเก้าอี้สาธารณะในตอนที่ยังคบกันอยู่นั้น ถือได้ว่าน่ารัก ดูมีความสุขไปกับทั้งคู่ แต่ในตอนจบของเรื่องนั้น ฉากนี้น่าสงสาร น่าเห็นใจ และเข้าใจในความคิดของทั้งคู่ได้มากขึ้นโดยเฉพาะที่นางเอกบอกกับพระเอกว่า'อยู่ๆวันหนึ่งชั้นตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบว่า คุณไม่ใช่' เมื่อพระเอกอกหักจากเธอทำให้การมองโลกของเขาเปลี่ยนไป ไม่เชื่อพรหมลิขิตอีกต่อไป ในขณะที่นางเอกนั้นแต่งงานกับผู้ชายที่พบกันในห้องสมุด นางเอกกล่าวกับพระเอกว่า หากวันนั้นเธอไม่ได้อยู่ร้านกาแฟ เธอคงไม่เจอกับคู่หมั้นเธอ ทำให้พระเอกเข้าใจได้ว่าทั้งหมดล้วนเกิดจากความบังเอิญทั้งนั้น ไม่ใช่พรหมลิขิต

8.ข้อสุดท้ายที่ชอบที่สุดคือตอนจบของหนัง เมื่อพระเอกตัดสินใจก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีนางเอกในชีวิต แม้จะอดคิดถึงไม่ได้ พระเอกไปสมัครงานสถาปนิกที่เรียนจบมา ระหว่างนั่งรอสัมภาษณ์เขาได้พบกับสาวคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก แต่เธอกลับรู้จักเขาโดยบอกพระเอกว่าเธอไปนั่งเล่นตรงสวนสาธารณะบ่อยๆและเห็นเขาบ่อยครั้ง แต่พระเอกกลับบอกว่าเขาไม่เคยเห็นเธอ เธอก็บอกคำพูดง่ายๆแค่ว่า 'คุณคงไม่ได้สังเกตุ' ปังครับ !!!!! พระเอกรู้สึกตัวในทันทีว่าบางทีคนที่เขาตามหาอาจเป็นคนที่เขาเคยเจอแล้ว หรืออาจคลาดกันแค่เสี้ยววินาทีมาโดยตลอด เพียงแค่เขาเองไม่รู้ตัวเท่านั้น นั้นทำให้ 500 days of Summers สิ้นสุดลง และเริ่มวันที่ 1 ใหม่กับคนใหม่

แค่เล่าเรื่องอาจไม่ซาบซึ้งเท่าไหร่นัก แต่นี่คือหนังที่เหมาะสำหรับคนอกหักอย่างแท้จริงๆ ดูแล้วจะเข้าใจคนรัก เข้าใจตนเอง เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น และจุดจบที่สะเทือนใจกับความจริงที่เจ็บปวด และตอนต่อไปที่พร้อมจะเริ่มเพียงแค่เรากวาดตามองให้กว้างขึ้นเท่านั้น
ref:
http://moviereviewnonranger.blogspot.com/
500 Days of Summer หนังที่คนอกหักควรรับชมอย่างแท้จริง
หนังนั้นเรียกได้ว่าโดนใจอย่างแรงสำหรับผู้เขียน ทั้งเรื่องราว การแสดง และจุดจบที่น่าเห็นใจ ซึ่งหนังทำได้ดีมากและจุกในใจมากๆ หนังเล่าเรื่องของ ทอม (Joseph Gordon-Levitt) นักเขียนการ์ดอวยพรผู้เชื่อมั่นในรักแท้และพรหมลิขิต หลงรักเลขาสาวคนใหม่ของหัวหน้าชื่อซัมเมอร์ส (Zooey Deschanel) ทอมเชื่อว่าเธอนั้นคือรักแท้ที่เขาตามหามานานในขณะที่ซัมเมอร์สนั้นไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเท่าไหร่นัก ทำให้ภารกิจพิชิตหัวใจของทอมจึงเริ่มขึ้น ตัวหนังและเรื่องย่ออาจเหมือนหนังรักทั่วไปแต่นี่คือหนังที่มีความฉลาดในการเล่าเรื่อง มีการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆทั้งช่วงก่อน-หลังให้เห็น
และนี่คือ 8 เหตุผลที่อยากให้คนอกหักหามารับชมกันกับ (500) Days of Summer
1.นักแสดงนำทั้งสองคนเล่นได้น่ารัก มีเสน่ห์มากๆ ทอมนั้นดูยังไงก็คิดได้ว่านี่คือผู้ชายที่เชื่อในพรหมลิขิตอย่างแท้จริง และพร้อมทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่น ขณะที่ซัมเมอร์สนั้น น่ารัก มีเสน่ห์อย่างแท้จริง แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่เธอเป็นคนไม่เชื่อพรหมลิขิตทำให้ฉากสีหน้าเธอที่เฉยๆนั้น ดูร้ายกาจได้อย่างน่าประหลาด ขณะที่นักแสดงสมทบนั้นเล่นได้ดี มีบทบาทเด่นทุกคนโดยเฉพาะสาว Chloe Grace Morettz วัยเด็ก ต่อปากต่อคำกับพระเอกได้อย่างยอดเยี่ยม
2.ผู้กำกับ Marc Webb นั้นถนัดมากในการขับเสน่ห์นักแสดงนำทั้งสอง โดยเฉพาะคู่รักกันในหนังให้มีเสน่ห์ และน่าติดตามน่าเอาใจช่วยได้เสมอ ที่สำคัญไอเดียแต่ละอย่างในหนังของเขานั้นถือว่าไม่ธรรมดา (ใน Amazing Spider-Man ทั้งสองภาคยังคิดว่าหนังรักไม่ใช่หนังฮีโร่เลย)
3.นี่เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่หนังรัก ตัวหนังมีความฉลาดในการเล่าเรื่อง โดยไม่เลือกเล่าเรื่องจากวัน 1 ไป 500 แต่เปิดเรื่องด้วยวันที่ 300 กว่าๆ แล้วกลับไปวันที่ 2 บ้าง 10 บ้าง 1 บ้างทำให้เราเห้นทั้งวันที่เจอกันครั้งแรก วันที่ไปออกเดทครั้งแรก หรือวันที่ทะเลาะกันครั้งแรก ตัวอย่างที่เห็นชัดคือวันที่ท้องสองไปเดินซื้อของด้วยกันอย่างสนุกสนาน และกรอไปวันที่ 300 กว่าๆที่ทั้งสองไปช็อปปิ้งที่เดิม แต่ความสนุกหายไปแล้ว
4.เนื่องด้วยนางเอกนั้นไม่เชื่อในพรหมลิขิตอยู่แล้ว การที่นางยอมคบกับพระเอกโดยได้บอกไว้ว่าไม่อยากผูกมัด ไม่อยากเรียกแฟนอยากคบไปเรื่อยๆนั้นตอกย้ำความคิดเธอได้อย่างดี เทียบกับพระเอกที่เชื่อในพรหมลิขิต ดูจากพระเอกที่เรียนจบสถาปนิกแต่มาทำงานอาชีพคนเขียนการ์ดอวยพรว่าเป็นคนที่ช่างฝัน มองโลกไว้ราวกับแบบเทพนิยาย การที่ซัมเมอร์สยอมคบนั้นย่อมย่อมทำให้พระเอกคิดไปไกลได้ไม่ยากโดยเป็นการคิดคนเดียว คิดไปเองล้วนๆ ถือว่าทำให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างคู่รักได้อย่างดี กับความคิดที่แตกต่างกันแต่กลับยอมคบได้ แม้ไม่ใช่แฟน แต่ตัวพระเอกนั้นเชื่อว่าซักวันเธอจะเปลี่ยนใจได้
5.การที่คนๆหนึ่งชอบอะไรแปลกๆเหมือนกับเราไม่ได้ทำให้เขาคนนั้นเป็นเนื้อคู่เรา คือคำพูดของสาวน้อยที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับพระเอก ซึ่งน่าเสียดายที่พระเอกดันไม่เชื่อคำพูดที่ว่านี้ เนื่องด้วยเป็นคนโรแมนติก จึงไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น ซึ่งน่าจะเตือนใจได้ดีกับคนที่ชอบคิดว่าคนที่เราชอบคิดเหมือนกับเรา หรือทำอะไรเหมือนเราแค่นั้น ไม่ได้ทำให้เป็นเนื้อคู่กับเราหรอก
6.หนังตอกย้ำการคิดไปเองของพระเอกอีกครั้งแบบเห็นได้ชัดจากการที่พระเอกไปงานปาร์ตี้ที่บ้านนางเอก พร้อมคาดหวังสิ่งต่างๆไว้มากมายในหัวสมอง แต่น่าเสียดายที่ความโรแมนติกนั้นเป็นแค่ความละเมอเพ้อพกของพระเอกเอง (ใครที่แอบรักคนอื่นดูฉากนี้แล้ว น้ำตาไหลได้ง่ายๆ) ซึ่งซูฮกในไอเดียเลยว่าเปรียบเทียบแต่ละอย่างได้อย่างเจ็บแสบ และสะเทือนใจมาก
7.ฉากเก้าอี้สาธารณะในตอนที่ยังคบกันอยู่นั้น ถือได้ว่าน่ารัก ดูมีความสุขไปกับทั้งคู่ แต่ในตอนจบของเรื่องนั้น ฉากนี้น่าสงสาร น่าเห็นใจ และเข้าใจในความคิดของทั้งคู่ได้มากขึ้นโดยเฉพาะที่นางเอกบอกกับพระเอกว่า'อยู่ๆวันหนึ่งชั้นตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบว่า คุณไม่ใช่' เมื่อพระเอกอกหักจากเธอทำให้การมองโลกของเขาเปลี่ยนไป ไม่เชื่อพรหมลิขิตอีกต่อไป ในขณะที่นางเอกนั้นแต่งงานกับผู้ชายที่พบกันในห้องสมุด นางเอกกล่าวกับพระเอกว่า หากวันนั้นเธอไม่ได้อยู่ร้านกาแฟ เธอคงไม่เจอกับคู่หมั้นเธอ ทำให้พระเอกเข้าใจได้ว่าทั้งหมดล้วนเกิดจากความบังเอิญทั้งนั้น ไม่ใช่พรหมลิขิต
8.ข้อสุดท้ายที่ชอบที่สุดคือตอนจบของหนัง เมื่อพระเอกตัดสินใจก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีนางเอกในชีวิต แม้จะอดคิดถึงไม่ได้ พระเอกไปสมัครงานสถาปนิกที่เรียนจบมา ระหว่างนั่งรอสัมภาษณ์เขาได้พบกับสาวคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก แต่เธอกลับรู้จักเขาโดยบอกพระเอกว่าเธอไปนั่งเล่นตรงสวนสาธารณะบ่อยๆและเห็นเขาบ่อยครั้ง แต่พระเอกกลับบอกว่าเขาไม่เคยเห็นเธอ เธอก็บอกคำพูดง่ายๆแค่ว่า 'คุณคงไม่ได้สังเกตุ' ปังครับ !!!!! พระเอกรู้สึกตัวในทันทีว่าบางทีคนที่เขาตามหาอาจเป็นคนที่เขาเคยเจอแล้ว หรืออาจคลาดกันแค่เสี้ยววินาทีมาโดยตลอด เพียงแค่เขาเองไม่รู้ตัวเท่านั้น นั้นทำให้ 500 days of Summers สิ้นสุดลง และเริ่มวันที่ 1 ใหม่กับคนใหม่
แค่เล่าเรื่องอาจไม่ซาบซึ้งเท่าไหร่นัก แต่นี่คือหนังที่เหมาะสำหรับคนอกหักอย่างแท้จริงๆ ดูแล้วจะเข้าใจคนรัก เข้าใจตนเอง เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น และจุดจบที่สะเทือนใจกับความจริงที่เจ็บปวด และตอนต่อไปที่พร้อมจะเริ่มเพียงแค่เรากวาดตามองให้กว้างขึ้นเท่านั้น
ref:http://moviereviewnonranger.blogspot.com/