หลายๆท่านคงทราบดีว่า การเดินทางมาที่นี่อาจจะยากลำบาก
แต่การมาได้เห็นแสงอาทิตย์ที่นี่ มันยากที่สุด(ด. เด็ก ล้านตัว)

การเดินทางของผม มารอแสงอาทิตย์ที่นี่
ก็เพื่อที่จะเก็บภาพนาขั้นบันได นอนชิวๆ ดูนาขั้นบันไดสวยๆ
ไม่ต้องไปไกลถึง ซาปา มูกางจ๋ายที่เวียดนาม
หรือ ยูนาน หยวนหยางที่จีน(เพราะยังไม่มีปัญญาไปครับ)

แม้มันจะไม่ได้อลังการเหมือนเมืองนอก
แต่ที่นี่ "บ้านป่าบงเปียง" มันก็เป็นฝันเล็กๆของนักท่องเที่ยวและคนชอบถ่ายรูปตัวเล็กๆอย่างผม


หลายๆท่านที่เป็นนักท่องเที่ยว ช่างภาพ ต่างก็ปราถนาจะมาที่นี่ เพื่อทำในสิ่งที่ผมอยากทำ
สภาพในธรรมชาติที่นี่ และช่วงเวลาที่สวย ( ฤดูทำนา ) มันอยู่ในช่วงฤดูฝน


ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับช่างภาพ
การที่จะได้ภาพสวยๆ (นาขั้นบันได+แสงอาทิตย์ )
คงต้องอาศัยสภาพภูมิอากาศ + โชคดวง ในวันนั้น ซึ่งคาดเดาได้ยาก และต้อง
" รอ " เท่านั้น


เพื่อต่อความฝันให้เป็นจริง การเดินทางของผมจึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อให้ได้ภาพดังที่ต้องการ (ก็ไม่รู้ว่า จะได้หรือป่าว?)
ก็ต้องรอลุ้นเท่านั้นครับ


ผมจะค่อยๆบอกวิธีการเดินทาง ที่พัก ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และพยายามแทรกภาพสวยๆ(ถ้ามี)
ให้ทุกท่านได้ทราบ หากมีสิ่งใดสงสัยก็สอบถามกันมาได้ครับ ยินดีตอบทุกคำถามเท่าที่มีข้อมูลครับ
เพื่อไม่ให้พลาดแสงเย็น ผมตัดสินใจพักที่บ้านป่าบงเปียง 2 คืน เป็นโฮมสเตย์ชื่อ "มาฉิโพ"
เจ้าของคือ พี่วิชัย เป็นชาวปกากะญอ(กะเหรี่ยง) โทร. 0810201691 มี line ด้วยนะครับ แต่ตอบช้าหน่อย
“ บ้านป่าบงเปียง ” จาการสอบถามพี่วิชัย ทำให้ผมทราบว่า ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวปกากะญอ
ตั้งอยู่อ.แม่แจ่ม หลังดอยอินททนท์ ใกล้น้ำตกแม่ปาน (ห้วยทรายเหลือง) ก่อตั้งหมู่บ้านมา 50กว่าปีแล้ว
โดยคุณทวดของพี่วิชัย มีครอบครัวประมาณ7-8หลัง ประชากรประมาณ 30คน
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีอาชีพทำนา ปลูกพืชไร่ ชาวบ้านที่นี่นับถือศาสนาคริสต์
พี่วิชัยเริ่มทำโฮมสเตย์ มาฉิโพ มา5-6ปีแล้ว และเริ่มเป็นที่รู้จัก3 -4 ปีที่ผ่านมา
โดยในหมู่บ้านตกลงกันว่า ให้โควต้าทำโฮมสเตย์ครอบครัวละ1หลังเท่านั้น หลังนึงพักได้ 4-5 คน
โดยคิดค่าบริการ 500บาท/คืน/คน บริการอาหาร 3 มื้อ ไม่มีไฟฟ้านะครับ แต่มีสัญญาณมือถือ
ดังนั้นท่านที่มาพักที่นี่ต้องดำเนินชีวิตให้ได้ในสภาวะไม่มีไฟฟ้านะครับ
ห้องน้ำสะดวกสบายมาก อากาศเย็นสบายตลอดปีครับ
กลุ่มบ้านโฮมสเตย์ที่กระจายกันอยู่แถวนาขั้นบันได
แนะนำตัวละครกันก่อน คนตรงกลางคือพี่วิชัย เจ้าของโฮมสเตย์
ชูสองนิ้วทางขวามือคือ แฟนผมเอง
ส่วนหน้าบานๆทางซ้ายคือผมเองครับ
ถึงตรงนี้ ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลยครับ

ลืมบอกไปทริปนี้ผมพาแฟนไปด้วยครับ
เพราะเธอเองก็ชอบท่องเที่ยวแนวนี้เหมือนกัน “ ลางานได้ก็ตามมาเลยจ้า “
ก่อนอื่นใด ท่านจะมาถึงบ้านป่าบงเปียงได้ ต้องพาตัวเองไปให้ถึง จ.เชียงใหม่ ก่อนนะครับ
จะด้วยวิธีใดก็ได้แล้วแต่สะดวกครับ จะบินหางแดง เจ๊นก สิงโตไทย นั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่
ปั่นจักรยานหรือเดินไปก็ได้ครับ แนะนำว่าพยายามไปให้ถึงช่วงเช้าๆนะ
เพราะท่านต้องต่อรถโดยสารระหว่างอำเภออีกหลายต่อ
ขืนไปสาย อาจต้องโบกรถข้างทาง ถึงจุดหมายมืดล่าช้า ไปไม่ทันแสงเย็นแน่ๆครับ
สำหรับท่านขับรถไปเอง ก็ข้ามคำเตือนนี้ไปได้ครับ แต่รถที่ท่านนำไปควรเป็น 4WD นะครับ
ถ่ายรูปหันหลังเท่ห์ๆซักใบ ก่อนออกเดินทาง

แต่สำหรับผมกับแฟน ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ต้องรถทัวร์เท่านั้นครับ ผมเลือกใช้ สยามเฟิรส์ททัวร์
ลงสถานีขนส่งเชียงใหม่(อาเขต3)รอบ20.30 น. จาก กทม. ถึงเชียงใหม่ ประมาณ 6.30 น.
- - - ค่ารถ 534 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
เบาะนวดไฟฟ้า จอทีวีส่วนตัว สบายจริงๆครับ เหมือนนั่งเครื่องบินเลย
… สองทุ่มครึ่งล้อหมุนแล้วครับ
.
.
.
.
.เสียงโฮสเตสสาว เรียนเชิญผู้โดยสารลงไปทานข้าวต้มมื้อดึก
อันป็นสัญญาณว่าเรามาถึงครึ่งทางแล้ว ผมรีบลงไปจัดข้าวต้ม อิ่มพุงปลิ้น

กลับขึ้นมาดูหนังตรงจอทีวีส่วนตัว เปิดสวิทซ์เบาะนวดไฟฟ้า
เผลอหลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

.
.
.
.
ถึงเชียงใหม่แล้วเจ้า......
ลงจารถทัวร์มา เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ต่อรถโดยสารกระบะแดง(จอดอยู่ข้างอาเขต3)
“ อีกสองที่ รถจะออกแล้ว ไปไหนเจ้า “ พี่คนขับรถตะโกนถามผม
ผมบอกพี่คนขับ ขอไปลงประตูเชียงใหม่ (ท่ารถไปอ.จอมทอง)
“ เหมารถไปมั๊ย 100 บาท “ พี่คนขับรถพยายามเสนอดีลอันสุดวิเศษให้กับผม
ผมหันไปมองหน้าแฟนผม นับกันได้สองคนพอดี ถ้าเราขึ้นรถตอนนี้
รถก็จะออกเลย ตามทฤษฎี “รถเต็มแล้วออกเลย”
ผมจึงปฏิเสธดีลอันหอมหวลอันนั้นไป ช่วยกันแบกของขึ้นรถ
หลังจากนั้นพี่คนขับรถก็ขึ้นรถ เหยียบคันเร่งออกจากอาเขต3ทันที
ทฤษฎีผมยังคงเป็นจริงเสมอ ... ผมไม่มึน ไม่อึนหรอกคร๊าบบบบบบ



- - - ค่ารถ 20 บาท/คน ไม่มีเวลาออก ผู้โดยสารเต็มก็ออกเลยครับ
สำหรับท่านที่บินมา จากสนามบินก็นั่งรถแดงไปลงที่ประตูเชียงใหม่(ท่ารถไปอ.จอมทอง)
.
.
.
นั่งรถแดงจากสถานีขนส่งมาไม่นาน ผ่านจุดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ ตัวเมืองสวยมาก
ผมเกือบเผลอลงรถไปหลายรอบ ผ่านกาด(ตลาด)หลายแห่ง ของกินมีขายเพียบ
เช้าๆแบบนี้ของกินที่เห็น เย้ายวนใจเหลือเกิน ในที่สุดก็มาถึงท่ารถประตูเชียงใหม่
พี่คนขับรถก็จอดรถ เดินมาบอกผมว่าถึงที่หมายแล้ว จ่ายค่าเสียหายกันไป
ถึงประตูเชียงใหม่แล้ว ท่านก็รู้สึกหิวใช่ม๊าย อยากหาอะไรรองท้องแล้วใช่ไหม ยังครับบบบ...ทานข้าวยังไม่ได้
รีบขึ้นรถเหลืองเลยครับ หนทางยังอีกไกล ต่อรถเหลืองไปลง อ.จอมทอง ลงตรงตัวอำเภอ(สุดสายเลยครับ)
- - - ค่ารถ 35 บาท/คน ไม่มีเวลาออก ผู้โดยสารเต็มก็ออกเลยครับ
.
.
.
หลับมาตลอดทาง Z z Z zzzzZ เริ่มตื่นก็เมื่อรู้สึกตัวว่า รถวิ่งช้าๆลง ใช่ครับ เรากำลังเข้าสู่ตัว อ.จอมทอง
.
.
.
ถึง อ.จอมทองแล้วคร้าบบบบบบ .....
จากนั้นก็ต้องต่อรถเหลืองไป อ.แม่แจ่ม คิวรถแม่แจ่มนี้จอดอยู่ตรงที่ผมลงครับ
ถึงตรงนี้สามารถไปเดินหาอะไรทานได้ครับ แต่ไปจองที่นั่งกับลุงคนขับก่อนนะครับ
เพราะถ้ากลับมาไม่ทัน หรือผู้โดยสารเต็มก่อน ก็ออกเลยนะครับ คิวแรกออก 9.30 น.
บอกลุงคนขับว่าจะไปบ้านป่าบงเปียง ขอลงตรง " แยกน้ำตกแม่ปาน" (จุดที่ผมนัดพี่วิชัย มารับเข้าหมู่บ้าน)
- - - ค่ารถ 70 บาท/คน คิวแรก 9.30 น.หรือจนกว่าผู้โดยสารเต็ม
.
.
.
.
จาก อ.จอมทองไปแม่แจ่ม ขอแนะนำว่าอย่าหลับนะครับ เพราะต้องขับขึ้นดอยอินทนนท์
วิวแจ่มมาก (อดเห็นวิวสวยๆไม่รู้ด้วยนะ)ผ่านบ้านแม่กลางหลวง วิวราคาหลักล้านครับ สวยจริงๆ
ลุงคนขับแวะส่งกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่บ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้ จากนั้นก็ไปกันต่อ
ผ่านจุดตรวจที่2ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ความสูงไม่รู้เท่าไหร่ ผมหูอื้อเป็นช่วงๆ
ถนนบางช่วงเป็นโค้งแคบหักศอก ผู้ที่ขับรถมาเองต้องระวังและปฏิบัติตามกฏด้วยนะครับ
และแล้วช่วงใกล้ถึงแยกน้ำตกแม่ปาน กลุ่มเมฆฝน ก็เผยโฉมออมาต้อนรับ
ในใจนึกว่า ไม่เป็นไร ! ผมมีเวลาสองคืน มันต้องได้ภาพสวยๆซักคืน แต่ในความเป็นจริง
ผมได้เสียโอกาสได้ภาพสวยๆไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ อ้าว.... พ่อหนุ่ม ถึงแยกน้ำตกแม่ปานแล้ว “ ลุงขับรถตะโกนบอกผม
ผมกับแฟนรีบสะพายเป้สัมภาระ ลงจากรถ เดินไปจ่ายค่าโดยสาร สอบถามเรื่องรถขากลับ
ลุงแจ้งว่ารถออกจากแม่แจ่ม 9.00น. มาถึงตรงแยกนี้น่าจะไม่เกิน 9.30น.
ถ้าจะกลับต้องมารอที่นี่ตามเวลาดังกล่าวนะ จากนั้นลุงก็ขับรถออกจากแยกนั้นไป เพื่อมุ่งหน้าไปต่อ อ.แม่แจ่ม
จุดที่ผมนัดพี่วิชัยมารับเข้าหมู่บ้าน แยกน้ำตกแม่ปาน (น้ำตกห้วยทรายเหลือง)
ผมกับแฟนเดินข้ามถนนมา พี่วิชัย มาจอดรถรอเราอยู่แล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอพี่วิชัยซักที
คุยกันแต่ในโทรศัพท์ คุยผ่าน line บ้าง แต่ไม่เคยเจอตัวจริงเลย และบ้านป่าบงเปียงในฝันของเรา
จริงๆแล้วหน้าตามันจะเป็นอย่างไร ?
ภาพถ่ายที่วาดหวังไว้ จะได้กลับมาไหม?
เงียบสงัดเหมือนเสียงธรรมชาติสองข้างทาง ไม่มีใครตอบผมได้


.
.
.
.
วันแรก ... บ้านป่าบงเปียง “มหัศจรรย์ นาขั้นบันได “ เกิดมาไม่เคยเห็น
“ สวัสดีครับ พี่วิชัย ยินดีที่ได้รู้จักครับ .” ผมกล่าวทักทาย หน้าตาพี่วิชัยดูใจดีมาก
รูปร่างเล็กผอม คล้ายชาวกะเหรี่ยง แกเชื้อเชิญเราขึ้นรถ เพื่อขับเข้าหมู่บ้าน
เส้นทางจากแยกน้ำตกแม่ปานไปจนถึง ที่ทำการน้ำตกนั้น ทางยังโอเคดีอยู่
ลาดยางเรียบร้อย แต่หลังจากนั้นไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน สภาพ ออฟโรด จริงๆ
รถ 4 WD เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไป
ระยะทางแสนโหดกว่า3-4 กม. ที่ผ่านมานั้น ทำให้อาหารเช้าของผมย่อยหมดพอดี
ขับมาเรื่อยๆก็ถึงหมู่บ้านครับ พี่วิชัยให้เราพักบ้านโฮมสเตย์ของครอบครัวน้องชาย
ซึ่งอยู่ด้านบนสุด หลังใหญ่มาก ห้องน้ำแยกอยู่ด้านล่าง ตัวบ้านยกพื้นสูง ปลูกด้วยไม้ไผ่
อากาศดีมาก เย็นๆสบายๆไม่ร้อนเลยครับ วิวเบื้องล่าง คือทุ่งนาขั้นบันไดอันเขียวขจี
สลับกับพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกกันไว้ สวรรค์แท้ๆ อยู่ กทม. คงไม่มีแบบนี้ให้เห็น
ถ้าเราไม่มาให้เห็นกับตา มันก็คงเป็นแค่ความฝันต่อไป
.... แต่ภารกิจความฝันผมยังไม่จบแค่นี้ ทานข้าวกลางวันแล้ว
ผมต้องเดินหามุมถ่ายรูป ของเหล่าบรรดาช่างภาพมือทอง ผมเดินหามุมในฝันของผมต่อไป
กลุ่มเมฆฝนดำๆก็ลอยมาเขย่าขวัญผมอยู่เป็นเนืองๆตลอดช่วงบ่าย
เมฆดำๆ ตามหลอกหลอน

ช่วงบ่ายมีโอกาสได้คุยกับน้องของคุณวิชัย แกบอกว่าช่วงนี้ฝนตกทุกวัน
ดูจากเมฆฝนและอากาศวันนี้ คงจะยากที่จะได้แสงเย็น
.... ได้ยินดังนี้ ผมเลยพับกล้อง ขอตัวไปนอนหลับฝันกลางวันต่อ


สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอน 4โมงเย็น
เพราะได้ยินเสียงกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เดินผ่านโฮมสเตย์ผมไป
ลงไปเดินถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน บางคนดีใจวิ่งลงไป ไม่ทันระวัง
ล้มเกลือกกลิ้ง ตกคันนา เดินขโยกเขยกออกจากสนามไป
ผมอยากเตือนว่า ท่านใดที่มาเที่ยวที่นี่ให้ระมัดระวังด้วยนะครับ
การเดินผ่านคันนาขั้นบันได ให้เดินระมัดระวัง
มากัน 3คนผมเห็นต้องมีอย่างน้อย1 คน เดินตกคันนา
มันสูงชันนะครับ!!!! เพราะมันอยู่แนวดิ่ง คันนาเหล่านั้น
ชาวบ้านเขาปั้นมาจากดินเหนียว
ช่วงต้นของฤดูทำนาอาจจะไม่แข็งแรง เหยียบแล้วอาจยวบได้
นอกจากท่านจะบาดเจ็บแล้ว ยังอาจจะทำให้ต้นข้าวเสียหายได้
ตกเย็นแล้ว กลุ่มเมฆฝนม้วนตัว ไม่ขยับเคลื่อนไหว
ผมเดินไปถ่ายภาพตามมุมต่างๆที่วางไว้ในใจ ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย
คิดว่าวันนี้ฟ้าคงไม่เข้าข้างผมแล้วล่ะ
เสียงแฟนผมตะโกนเรียกให้มากินข้าวเย็น
อาหารมาส่งแล้ว เทียนทุกเล่มตามโฮมสเตย์ทุกหลังถูกจุดขึ้น
เป็นสัญญาณบอกผมว่า “ ปิ๊กบ้านเต๊อะ “ ผมเดินกลับที่พัก
ข้ามคันนาจากหุบเขาด้านล่าง ในใจก็คอยนึกว่า
“ แสงเย็นจ๊ะ .... พรุ่งนี้มาหาพี่หน่อยนะ ”
จะครบ 10,000 ตัวอักษรแล้ว เดี๋ยวมาต่อครับ
[CR] " ผ ม ม า ร อ แ ส ง อ า ทิ ต ย์ ณ . บ้ า น ป่ า บ ง เ ปี ย ง "
แต่การมาได้เห็นแสงอาทิตย์ที่นี่ มันยากที่สุด(ด. เด็ก ล้านตัว)
การเดินทางของผม มารอแสงอาทิตย์ที่นี่
ก็เพื่อที่จะเก็บภาพนาขั้นบันได นอนชิวๆ ดูนาขั้นบันไดสวยๆ
ไม่ต้องไปไกลถึง ซาปา มูกางจ๋ายที่เวียดนาม
หรือ ยูนาน หยวนหยางที่จีน(เพราะยังไม่มีปัญญาไปครับ)
แม้มันจะไม่ได้อลังการเหมือนเมืองนอก
แต่ที่นี่ "บ้านป่าบงเปียง" มันก็เป็นฝันเล็กๆของนักท่องเที่ยวและคนชอบถ่ายรูปตัวเล็กๆอย่างผม
หลายๆท่านที่เป็นนักท่องเที่ยว ช่างภาพ ต่างก็ปราถนาจะมาที่นี่ เพื่อทำในสิ่งที่ผมอยากทำ
สภาพในธรรมชาติที่นี่ และช่วงเวลาที่สวย ( ฤดูทำนา ) มันอยู่ในช่วงฤดูฝน
ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับช่างภาพ
การที่จะได้ภาพสวยๆ (นาขั้นบันได+แสงอาทิตย์ )
คงต้องอาศัยสภาพภูมิอากาศ + โชคดวง ในวันนั้น ซึ่งคาดเดาได้ยาก และต้อง " รอ " เท่านั้น
เพื่อต่อความฝันให้เป็นจริง การเดินทางของผมจึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อให้ได้ภาพดังที่ต้องการ (ก็ไม่รู้ว่า จะได้หรือป่าว?)
ก็ต้องรอลุ้นเท่านั้นครับ
ผมจะค่อยๆบอกวิธีการเดินทาง ที่พัก ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และพยายามแทรกภาพสวยๆ(ถ้ามี)
ให้ทุกท่านได้ทราบ หากมีสิ่งใดสงสัยก็สอบถามกันมาได้ครับ ยินดีตอบทุกคำถามเท่าที่มีข้อมูลครับ
เพื่อไม่ให้พลาดแสงเย็น ผมตัดสินใจพักที่บ้านป่าบงเปียง 2 คืน เป็นโฮมสเตย์ชื่อ "มาฉิโพ"
เจ้าของคือ พี่วิชัย เป็นชาวปกากะญอ(กะเหรี่ยง) โทร. 0810201691 มี line ด้วยนะครับ แต่ตอบช้าหน่อย
“ บ้านป่าบงเปียง ” จาการสอบถามพี่วิชัย ทำให้ผมทราบว่า ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวปกากะญอ
ตั้งอยู่อ.แม่แจ่ม หลังดอยอินททนท์ ใกล้น้ำตกแม่ปาน (ห้วยทรายเหลือง) ก่อตั้งหมู่บ้านมา 50กว่าปีแล้ว
โดยคุณทวดของพี่วิชัย มีครอบครัวประมาณ7-8หลัง ประชากรประมาณ 30คน
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีอาชีพทำนา ปลูกพืชไร่ ชาวบ้านที่นี่นับถือศาสนาคริสต์
พี่วิชัยเริ่มทำโฮมสเตย์ มาฉิโพ มา5-6ปีแล้ว และเริ่มเป็นที่รู้จัก3 -4 ปีที่ผ่านมา
โดยในหมู่บ้านตกลงกันว่า ให้โควต้าทำโฮมสเตย์ครอบครัวละ1หลังเท่านั้น หลังนึงพักได้ 4-5 คน
โดยคิดค่าบริการ 500บาท/คืน/คน บริการอาหาร 3 มื้อ ไม่มีไฟฟ้านะครับ แต่มีสัญญาณมือถือ
ดังนั้นท่านที่มาพักที่นี่ต้องดำเนินชีวิตให้ได้ในสภาวะไม่มีไฟฟ้านะครับ
ห้องน้ำสะดวกสบายมาก อากาศเย็นสบายตลอดปีครับ
กลุ่มบ้านโฮมสเตย์ที่กระจายกันอยู่แถวนาขั้นบันได
แนะนำตัวละครกันก่อน คนตรงกลางคือพี่วิชัย เจ้าของโฮมสเตย์
ชูสองนิ้วทางขวามือคือ แฟนผมเอง
ส่วนหน้าบานๆทางซ้ายคือผมเองครับ
ถึงตรงนี้ ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลยครับ
เพราะเธอเองก็ชอบท่องเที่ยวแนวนี้เหมือนกัน “ ลางานได้ก็ตามมาเลยจ้า “
ก่อนอื่นใด ท่านจะมาถึงบ้านป่าบงเปียงได้ ต้องพาตัวเองไปให้ถึง จ.เชียงใหม่ ก่อนนะครับ
จะด้วยวิธีใดก็ได้แล้วแต่สะดวกครับ จะบินหางแดง เจ๊นก สิงโตไทย นั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่
ปั่นจักรยานหรือเดินไปก็ได้ครับ แนะนำว่าพยายามไปให้ถึงช่วงเช้าๆนะ
เพราะท่านต้องต่อรถโดยสารระหว่างอำเภออีกหลายต่อ
ขืนไปสาย อาจต้องโบกรถข้างทาง ถึงจุดหมายมืดล่าช้า ไปไม่ทันแสงเย็นแน่ๆครับ
สำหรับท่านขับรถไปเอง ก็ข้ามคำเตือนนี้ไปได้ครับ แต่รถที่ท่านนำไปควรเป็น 4WD นะครับ
ถ่ายรูปหันหลังเท่ห์ๆซักใบ ก่อนออกเดินทาง
แต่สำหรับผมกับแฟน ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ต้องรถทัวร์เท่านั้นครับ ผมเลือกใช้ สยามเฟิรส์ททัวร์
ลงสถานีขนส่งเชียงใหม่(อาเขต3)รอบ20.30 น. จาก กทม. ถึงเชียงใหม่ ประมาณ 6.30 น.
- - - ค่ารถ 534 บาท (โปรโมชั่นลด 10%)
เบาะนวดไฟฟ้า จอทีวีส่วนตัว สบายจริงๆครับ เหมือนนั่งเครื่องบินเลย
… สองทุ่มครึ่งล้อหมุนแล้วครับ
.
.
.
.
.เสียงโฮสเตสสาว เรียนเชิญผู้โดยสารลงไปทานข้าวต้มมื้อดึก
อันป็นสัญญาณว่าเรามาถึงครึ่งทางแล้ว ผมรีบลงไปจัดข้าวต้ม อิ่มพุงปลิ้น
กลับขึ้นมาดูหนังตรงจอทีวีส่วนตัว เปิดสวิทซ์เบาะนวดไฟฟ้า
เผลอหลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
.
.
.
.
ถึงเชียงใหม่แล้วเจ้า......
ลงจารถทัวร์มา เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ต่อรถโดยสารกระบะแดง(จอดอยู่ข้างอาเขต3)
“ อีกสองที่ รถจะออกแล้ว ไปไหนเจ้า “ พี่คนขับรถตะโกนถามผม
ผมบอกพี่คนขับ ขอไปลงประตูเชียงใหม่ (ท่ารถไปอ.จอมทอง)
“ เหมารถไปมั๊ย 100 บาท “ พี่คนขับรถพยายามเสนอดีลอันสุดวิเศษให้กับผม
ผมหันไปมองหน้าแฟนผม นับกันได้สองคนพอดี ถ้าเราขึ้นรถตอนนี้
รถก็จะออกเลย ตามทฤษฎี “รถเต็มแล้วออกเลย”
ผมจึงปฏิเสธดีลอันหอมหวลอันนั้นไป ช่วยกันแบกของขึ้นรถ
หลังจากนั้นพี่คนขับรถก็ขึ้นรถ เหยียบคันเร่งออกจากอาเขต3ทันที
ทฤษฎีผมยังคงเป็นจริงเสมอ ... ผมไม่มึน ไม่อึนหรอกคร๊าบบบบบบ
- - - ค่ารถ 20 บาท/คน ไม่มีเวลาออก ผู้โดยสารเต็มก็ออกเลยครับ
สำหรับท่านที่บินมา จากสนามบินก็นั่งรถแดงไปลงที่ประตูเชียงใหม่(ท่ารถไปอ.จอมทอง)
.
.
.
นั่งรถแดงจากสถานีขนส่งมาไม่นาน ผ่านจุดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ ตัวเมืองสวยมาก
ผมเกือบเผลอลงรถไปหลายรอบ ผ่านกาด(ตลาด)หลายแห่ง ของกินมีขายเพียบ
เช้าๆแบบนี้ของกินที่เห็น เย้ายวนใจเหลือเกิน ในที่สุดก็มาถึงท่ารถประตูเชียงใหม่
พี่คนขับรถก็จอดรถ เดินมาบอกผมว่าถึงที่หมายแล้ว จ่ายค่าเสียหายกันไป
ถึงประตูเชียงใหม่แล้ว ท่านก็รู้สึกหิวใช่ม๊าย อยากหาอะไรรองท้องแล้วใช่ไหม ยังครับบบบ...ทานข้าวยังไม่ได้
รีบขึ้นรถเหลืองเลยครับ หนทางยังอีกไกล ต่อรถเหลืองไปลง อ.จอมทอง ลงตรงตัวอำเภอ(สุดสายเลยครับ)
- - - ค่ารถ 35 บาท/คน ไม่มีเวลาออก ผู้โดยสารเต็มก็ออกเลยครับ
.
.
.
หลับมาตลอดทาง Z z Z zzzzZ เริ่มตื่นก็เมื่อรู้สึกตัวว่า รถวิ่งช้าๆลง ใช่ครับ เรากำลังเข้าสู่ตัว อ.จอมทอง
.
.
.
ถึง อ.จอมทองแล้วคร้าบบบบบบ .....
จากนั้นก็ต้องต่อรถเหลืองไป อ.แม่แจ่ม คิวรถแม่แจ่มนี้จอดอยู่ตรงที่ผมลงครับ
ถึงตรงนี้สามารถไปเดินหาอะไรทานได้ครับ แต่ไปจองที่นั่งกับลุงคนขับก่อนนะครับ
เพราะถ้ากลับมาไม่ทัน หรือผู้โดยสารเต็มก่อน ก็ออกเลยนะครับ คิวแรกออก 9.30 น.
บอกลุงคนขับว่าจะไปบ้านป่าบงเปียง ขอลงตรง " แยกน้ำตกแม่ปาน" (จุดที่ผมนัดพี่วิชัย มารับเข้าหมู่บ้าน)
- - - ค่ารถ 70 บาท/คน คิวแรก 9.30 น.หรือจนกว่าผู้โดยสารเต็ม
.
.
.
.
จาก อ.จอมทองไปแม่แจ่ม ขอแนะนำว่าอย่าหลับนะครับ เพราะต้องขับขึ้นดอยอินทนนท์
วิวแจ่มมาก (อดเห็นวิวสวยๆไม่รู้ด้วยนะ)ผ่านบ้านแม่กลางหลวง วิวราคาหลักล้านครับ สวยจริงๆ
ลุงคนขับแวะส่งกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่บ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้ จากนั้นก็ไปกันต่อ
ผ่านจุดตรวจที่2ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ความสูงไม่รู้เท่าไหร่ ผมหูอื้อเป็นช่วงๆ
ถนนบางช่วงเป็นโค้งแคบหักศอก ผู้ที่ขับรถมาเองต้องระวังและปฏิบัติตามกฏด้วยนะครับ
และแล้วช่วงใกล้ถึงแยกน้ำตกแม่ปาน กลุ่มเมฆฝน ก็เผยโฉมออมาต้อนรับ
ในใจนึกว่า ไม่เป็นไร ! ผมมีเวลาสองคืน มันต้องได้ภาพสวยๆซักคืน แต่ในความเป็นจริง
ผมได้เสียโอกาสได้ภาพสวยๆไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ อ้าว.... พ่อหนุ่ม ถึงแยกน้ำตกแม่ปานแล้ว “ ลุงขับรถตะโกนบอกผม
ผมกับแฟนรีบสะพายเป้สัมภาระ ลงจากรถ เดินไปจ่ายค่าโดยสาร สอบถามเรื่องรถขากลับ
ลุงแจ้งว่ารถออกจากแม่แจ่ม 9.00น. มาถึงตรงแยกนี้น่าจะไม่เกิน 9.30น.
ถ้าจะกลับต้องมารอที่นี่ตามเวลาดังกล่าวนะ จากนั้นลุงก็ขับรถออกจากแยกนั้นไป เพื่อมุ่งหน้าไปต่อ อ.แม่แจ่ม
จุดที่ผมนัดพี่วิชัยมารับเข้าหมู่บ้าน แยกน้ำตกแม่ปาน (น้ำตกห้วยทรายเหลือง)
ผมกับแฟนเดินข้ามถนนมา พี่วิชัย มาจอดรถรอเราอยู่แล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอพี่วิชัยซักที
คุยกันแต่ในโทรศัพท์ คุยผ่าน line บ้าง แต่ไม่เคยเจอตัวจริงเลย และบ้านป่าบงเปียงในฝันของเรา
จริงๆแล้วหน้าตามันจะเป็นอย่างไร ?
ภาพถ่ายที่วาดหวังไว้ จะได้กลับมาไหม?
เงียบสงัดเหมือนเสียงธรรมชาติสองข้างทาง ไม่มีใครตอบผมได้
.
.
.
.
วันแรก ... บ้านป่าบงเปียง “มหัศจรรย์ นาขั้นบันได “ เกิดมาไม่เคยเห็น
“ สวัสดีครับ พี่วิชัย ยินดีที่ได้รู้จักครับ .” ผมกล่าวทักทาย หน้าตาพี่วิชัยดูใจดีมาก
รูปร่างเล็กผอม คล้ายชาวกะเหรี่ยง แกเชื้อเชิญเราขึ้นรถ เพื่อขับเข้าหมู่บ้าน
เส้นทางจากแยกน้ำตกแม่ปานไปจนถึง ที่ทำการน้ำตกนั้น ทางยังโอเคดีอยู่
ลาดยางเรียบร้อย แต่หลังจากนั้นไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน สภาพ ออฟโรด จริงๆ
รถ 4 WD เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไป
ระยะทางแสนโหดกว่า3-4 กม. ที่ผ่านมานั้น ทำให้อาหารเช้าของผมย่อยหมดพอดี
ขับมาเรื่อยๆก็ถึงหมู่บ้านครับ พี่วิชัยให้เราพักบ้านโฮมสเตย์ของครอบครัวน้องชาย
ซึ่งอยู่ด้านบนสุด หลังใหญ่มาก ห้องน้ำแยกอยู่ด้านล่าง ตัวบ้านยกพื้นสูง ปลูกด้วยไม้ไผ่
อากาศดีมาก เย็นๆสบายๆไม่ร้อนเลยครับ วิวเบื้องล่าง คือทุ่งนาขั้นบันไดอันเขียวขจี
สลับกับพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกกันไว้ สวรรค์แท้ๆ อยู่ กทม. คงไม่มีแบบนี้ให้เห็น
ถ้าเราไม่มาให้เห็นกับตา มันก็คงเป็นแค่ความฝันต่อไป
.... แต่ภารกิจความฝันผมยังไม่จบแค่นี้ ทานข้าวกลางวันแล้ว
ผมต้องเดินหามุมถ่ายรูป ของเหล่าบรรดาช่างภาพมือทอง ผมเดินหามุมในฝันของผมต่อไป
กลุ่มเมฆฝนดำๆก็ลอยมาเขย่าขวัญผมอยู่เป็นเนืองๆตลอดช่วงบ่าย
เมฆดำๆ ตามหลอกหลอน
ช่วงบ่ายมีโอกาสได้คุยกับน้องของคุณวิชัย แกบอกว่าช่วงนี้ฝนตกทุกวัน
ดูจากเมฆฝนและอากาศวันนี้ คงจะยากที่จะได้แสงเย็น
.... ได้ยินดังนี้ ผมเลยพับกล้อง ขอตัวไปนอนหลับฝันกลางวันต่อ
สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอน 4โมงเย็น
เพราะได้ยินเสียงกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เดินผ่านโฮมสเตย์ผมไป
ลงไปเดินถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน บางคนดีใจวิ่งลงไป ไม่ทันระวัง
ล้มเกลือกกลิ้ง ตกคันนา เดินขโยกเขยกออกจากสนามไป
ผมอยากเตือนว่า ท่านใดที่มาเที่ยวที่นี่ให้ระมัดระวังด้วยนะครับ
การเดินผ่านคันนาขั้นบันได ให้เดินระมัดระวัง
มากัน 3คนผมเห็นต้องมีอย่างน้อย1 คน เดินตกคันนา
มันสูงชันนะครับ!!!! เพราะมันอยู่แนวดิ่ง คันนาเหล่านั้น
ชาวบ้านเขาปั้นมาจากดินเหนียว
ช่วงต้นของฤดูทำนาอาจจะไม่แข็งแรง เหยียบแล้วอาจยวบได้
นอกจากท่านจะบาดเจ็บแล้ว ยังอาจจะทำให้ต้นข้าวเสียหายได้
ตกเย็นแล้ว กลุ่มเมฆฝนม้วนตัว ไม่ขยับเคลื่อนไหว
ผมเดินไปถ่ายภาพตามมุมต่างๆที่วางไว้ในใจ ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย
คิดว่าวันนี้ฟ้าคงไม่เข้าข้างผมแล้วล่ะ
เสียงแฟนผมตะโกนเรียกให้มากินข้าวเย็น
อาหารมาส่งแล้ว เทียนทุกเล่มตามโฮมสเตย์ทุกหลังถูกจุดขึ้น
เป็นสัญญาณบอกผมว่า “ ปิ๊กบ้านเต๊อะ “ ผมเดินกลับที่พัก
ข้ามคันนาจากหุบเขาด้านล่าง ในใจก็คอยนึกว่า
“ แสงเย็นจ๊ะ .... พรุ่งนี้มาหาพี่หน่อยนะ ”
จะครบ 10,000 ตัวอักษรแล้ว เดี๋ยวมาต่อครับ