สับสนเกี่ยวศาสดา ๓ จำพวก โดยเฉพาะ จำพวกสุดท้าย ขอความเห็นหน่อยครับ

ที่มาของเรื่องคือ การที่โลหิจจพราหมณ์ มีความเห็นผิดเกี่ยวกับ

สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม ครั้นบรรลุแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภ ว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้


.... ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสถึง ศาสดา ๓ จำพวก ที่ควรท้วงได้ในโลก และท้วงไม่ได้ในโลก

ประเด็นคือ สับสนระหว่างศาสดาพวกที่ ๓ กับศาสดาที่ท้วงไม่โดยกล่าวเริ่มด้วยพุทธคุณ ... ไปจนจบพรหมจรรย์ จะต่างกันตรงไหน

ย้อนกลับมาเข้าประเด็นคือ ศาสดาพวกที่ ๓ นั้น ว่า


ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาได้บรรลุแล้ว เขาได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้
เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย


ยกตัวอย่างคือ ถ้าสมณะพวกที่ ๓ นี้ได้บรรลุประโยชน์ของเขาแล้ว เช่น ได้ฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ หรือไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ( อย่างครู ๒ คนแรกของพระโพธิ์สัตว์ ) อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่พระพุทธเจ้าทรงยกมาเกี่ยวกับศาสดาที่ท้วงไม่ได้ ซึ่งก็มีการบรรลุฌาน หรือมีญานต่างๆ อยู่ในนั้นด้วย เพียงแต่ว่า ไปแสดงธรรมแล้วไม่มีใครรับฟังเท่านั้น  แล้วอย่างนี้จะมีอะไรที่ต่างกันอย่างไรครับ

ผมจึงสับสนว่า ผมไม่แจ่มตรงไหน ครับ ใครช่วยอธิบายให้หน่อยครับ

http://etipitaka.com/read/thai/9/335/
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ดูกรโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด
ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น เขาได้บรรลุแล้ว เขาได้บรรลุ ประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว

จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย
แต่สาวกของเขาไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา

เขาจะพึงถูกท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เป็นของสมณะนั้น ท่านได้บรรลุแล้ว
ท่านเองได้บรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย
แต่สาวกของท่านนั้นไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนของศาสดา
เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำ เก่าได้แล้ว ไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่ ฉันใด ข้ออุปมัยนี้ก็ฉันนั้น
เรากล่าวธรรมคือ ความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้



ศาสดาที่ควรท้วงในข้อนั้น เป็นเจ้าลัทธิ ปราศจากความกำหนัดในกาม
แต่ไม่ใช่ผู้ที่สิ้น โลภะ โทสะ โมหะ เหมือนอย่างพระศาสดาผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=2794&Z=2826
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่