ในบานะสิายืเก่า ในวันที่เพิ่ง ลงดอยมาเสร็จ ผมกลับบ้าน มารูปที่ถ่ายกับเพื่อนๆ จู่ๆน้ำตามันก้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ว่ากันว่าคนแก่ชอบพูดถึงเรื่องเก่าๆ ความจริงวันนี้เป็นวันที่ขึ้นดอยครบรอบ10ปีของรุ่นผม ซึ่งเพื่อนก็มาเยอะเป็นพิเศษ เอาจริงๆมันก็ประมาณ5-6ปีหลังจากเรียนจบและรับปริญญา แต่วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกตัวเองว่าโชคดีจริงๆที่ได้เรียน มช.
ตามประสาปีแก่ เวลาไซโครุ่นน้องมักจะพูดว่า รุ่นพี่หนักกว่านี้นะครับน้อง ซึ่งมันก้เป็นแบบนั้นจริงๆ สมัยผมขึ้นดอยตอนปี1 มันเหนื่อยมาก ลงดอยมามันก้ไม่ใด้มีแรงเดินเล่นตอนเย็นๆเหมือนเด็กเดี๋ยวนี้ เพราะขึ้นดอยมันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งโชว์สปิริต หรือการประสานงานที่ไม่เป็นระบบต้องรอรถลงจนเย็น ถึงมันจะเหนื่อยในวันนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ถ้าเป็นไปได้ผมอยากย้อนเวลากลับไปอีก
ผมว่ามันก็ถูกนะสำหรับคำพูดที่ว่า คนเราเรียนปี1ได้หลายครั้ง แต่เราเป็นเฟรชชี่ได้แค่ครั้งเดียว ประสบการณ์ปี1ในสมัยนั้น ถ้าเทียบกับตอนนี้มันสุดแสนจะละเมิดสิทธิ์กันมากที่เดียว ทั้งการรับน้อง การว๊าก ห้องเชียร์ โดนบังคับ ขู่เข็ญ เสียสละอะไรหลายๆอย่างเพื่อทำกิจกรรมเพราะมันไม่มีใครทำ และพอตัวเองกลับมาขึ้นดอยอีกที ก็มาลองนึกๆดูนะว่า เด็กสมัยนี้สบายนะ แต่ก็อดคิดได้ได้ว่า วันที่เค้ามายืนในจุดเดียวกับเรามันจะมีค่าหรือเปล่า
และสำหรับเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน บางทีเราก็รู้สึกดีใจนะ ที่เค้าดูไม่เปลี่ยนไปจากวันที่เราเรียนด้วยกันเลย และสำหรับตัวผมเองแม้จะมีแฟนแล้ว แต่ก็รู้สึกใจหายไม่ได้ ว่าคนที่เราเคยแอบชอบในตอนนั้น ในวันนี้เค้ากำลังจะแต่งงาน แต่ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้ชอบเค้าแบบนั้นแล้วก้ตาม เห็นเพื่อนบางคนที่เงียบๆติ๋มๆ แต่ก็พาลูกมาขึ้นดอยด้วย และแม้เค้าจะเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าเค้าจะเปลี่ยนไปเลย
สำหรับใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเป้นลูกช้าง มช.หรือไม่ หรือแม้แต่เด็กน้อยที่เรียนหรือกำลังจะเรียนมหาวิทยาลัย หรือไม่ว่าใครที่แอนตี้ระบบรับน้องหรือไม่ก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากบอกว่าใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่าที่สุด เพราะสิ่งที่หนักหนาสาหัสในรั้วมหาวิทยาลัย มันอาจจะเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดในอนาคตก็ได้
ขึ้นดอย มช. บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมต้องร้องไห้
ว่ากันว่าคนแก่ชอบพูดถึงเรื่องเก่าๆ ความจริงวันนี้เป็นวันที่ขึ้นดอยครบรอบ10ปีของรุ่นผม ซึ่งเพื่อนก็มาเยอะเป็นพิเศษ เอาจริงๆมันก็ประมาณ5-6ปีหลังจากเรียนจบและรับปริญญา แต่วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกตัวเองว่าโชคดีจริงๆที่ได้เรียน มช.
ตามประสาปีแก่ เวลาไซโครุ่นน้องมักจะพูดว่า รุ่นพี่หนักกว่านี้นะครับน้อง ซึ่งมันก้เป็นแบบนั้นจริงๆ สมัยผมขึ้นดอยตอนปี1 มันเหนื่อยมาก ลงดอยมามันก้ไม่ใด้มีแรงเดินเล่นตอนเย็นๆเหมือนเด็กเดี๋ยวนี้ เพราะขึ้นดอยมันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งโชว์สปิริต หรือการประสานงานที่ไม่เป็นระบบต้องรอรถลงจนเย็น ถึงมันจะเหนื่อยในวันนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ถ้าเป็นไปได้ผมอยากย้อนเวลากลับไปอีก
ผมว่ามันก็ถูกนะสำหรับคำพูดที่ว่า คนเราเรียนปี1ได้หลายครั้ง แต่เราเป็นเฟรชชี่ได้แค่ครั้งเดียว ประสบการณ์ปี1ในสมัยนั้น ถ้าเทียบกับตอนนี้มันสุดแสนจะละเมิดสิทธิ์กันมากที่เดียว ทั้งการรับน้อง การว๊าก ห้องเชียร์ โดนบังคับ ขู่เข็ญ เสียสละอะไรหลายๆอย่างเพื่อทำกิจกรรมเพราะมันไม่มีใครทำ และพอตัวเองกลับมาขึ้นดอยอีกที ก็มาลองนึกๆดูนะว่า เด็กสมัยนี้สบายนะ แต่ก็อดคิดได้ได้ว่า วันที่เค้ามายืนในจุดเดียวกับเรามันจะมีค่าหรือเปล่า
และสำหรับเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน บางทีเราก็รู้สึกดีใจนะ ที่เค้าดูไม่เปลี่ยนไปจากวันที่เราเรียนด้วยกันเลย และสำหรับตัวผมเองแม้จะมีแฟนแล้ว แต่ก็รู้สึกใจหายไม่ได้ ว่าคนที่เราเคยแอบชอบในตอนนั้น ในวันนี้เค้ากำลังจะแต่งงาน แต่ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้ชอบเค้าแบบนั้นแล้วก้ตาม เห็นเพื่อนบางคนที่เงียบๆติ๋มๆ แต่ก็พาลูกมาขึ้นดอยด้วย และแม้เค้าจะเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าเค้าจะเปลี่ยนไปเลย
สำหรับใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเป้นลูกช้าง มช.หรือไม่ หรือแม้แต่เด็กน้อยที่เรียนหรือกำลังจะเรียนมหาวิทยาลัย หรือไม่ว่าใครที่แอนตี้ระบบรับน้องหรือไม่ก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากบอกว่าใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่าที่สุด เพราะสิ่งที่หนักหนาสาหัสในรั้วมหาวิทยาลัย มันอาจจะเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดในอนาคตก็ได้