ที่จริงแล้วหลายคนเคยถอดกายทิพย์กันมาแล้วแต่ทำไมจึงเข้าใจว่าเป็นเพียงฝันไป!? ก็เพราะอัตตาเป็นอีกอย่างสัญญาก็เป็นอีกอย่าง!

กระทู้สนทนา
ผมหายไประยะหนึ่งกลับมาคราวนี้อยากมาอธิบายพระสูตรอัตตาสามเพิ่มเติมเพราะผมถือว่าเป็นพระสูตรที่สำคัญมากไม่เข้าใจไม่ได้ครับ
สัญญาไม่ใช่อัตตาแต่เจ้าพราหมไม่สามารถเข้าใจคำอธิบายเรื่องอัตตาสามได้ยังทึกทักเอาว่าอัตตากับสัญญาเป็นเรื่องเดียวกัน
ในพระสูตรบรรยายไว้ว่ากายทั้งสามของมนุษย์มีกายหยาบกายละเอียดและกายอรูปส่วนสัญญานั้นไม่ใช่กายไม่ใช่อัตตา
เพราะว่าขณะที่เราครองกายหยาบอยู่นี้สัญญาหรือสำนึกของเราอาจจะไม่ใช่สำนึกหรือสัญญาของมนุษย์ก็ได้เช่นผู้เจริญพรหมวิหารจนได้นิสัย
มีสัญญาของพรหมวิหารสี่มากกว่านิสัยหรือสัญญาของมนุษย์เขาก็เป็นพรหมแล้วด้วยสัญญาคือมีสำนึกเป็นพรหมนั้นเองแม้ยังมีนิสัยมนุษย์เหลืออยู่ก็ตาม
บางคนมีศีลบริสุทธิ์เป็นนิจเป็นปกติก็จัดว่ามีสัญญาเป็นเทวดาได้แล้วอาจจะมีใจบริสุทธืกว่าเทวดาข้างบนเสียอีกที่มีแต่กายเป็นเทวดาแต่มีสัญญาเป็นมาร
ในเรื่องของสัญญาทรงหมายถึงสำนึกของมนุษย์ของเทวดาของพรหมซึ่งสามารถอยู่ได้ในกายมนุษย์ได้

ในพระสูตรได้บรรยายว่าเมื่อได้กายอย่างหนึ่งอีกสองอย่างจะเป็นโมฆะเช่นเมื่อเราครองกายหยาบอยู่กายเทวดาและกายพรหมก็จะเป็นโมฆะ
แต่เมื่อนิทราสัญญาเข้าครอบงำเราในรัตติกาลกายเทวดาพร้อมกับสัญญาเทวดาหรือสำนึกชั้นสูงของเราก็ตื่นขึ้นแต่สำนึกหรือสัญญาของมนุษย์ดับไป
อาการดับของสัญยามนุษย์ไม่ใช่อาการหายไปหมดแต่เหลือไว้น้อยมากสำนึกของมนุษย์เราจึงมีสภาพอยู่ในความฝันในขณะที่สัญญาหรือสำนึกชั้นสูง
ของเรากำลังมีชีวิตโลดแล่นไปในภพภูมิต่างๆ คำอธิบายเหล่านี้ต้องเกิดจากการมีประสบการณ์จริงในการถอดกายทิพย์จึงจะเข้าใจได้

ในพระสูตรทรงบรรยายว่าได้กายหนึ่งอีกสองกายเป็นโมฆะแต่สัญญาไม่ได้มีสภาพอย่างอัตตาเช่นเมื่อกายทิพย์ถอดออกเราสามารถมีสำนึกหรือสัญญาของมนุษย์ติดไปได้อย่างนี้ท่านเรียกว่าถอดกายทิพย์แบบมโนยิตธิคือตั้งใจถอดกายทิพย์ด้วยสำนึกมนุษย์ต่างจากการถอดกายทิพย์ไปในขณะหลับส่วนใหญ่จะเป็นสำนึกชั้นสูงกว่ามนุษย์ไปแทน อย่ายึดมั่นในสำนึกของมนุษย์ปุถุชนที่มีอายุบนโลกเพียงสั้นๆว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราจนละเลยต่อสำนึกชั้นสูง
ที่เกิดจากการเจริญศีลสมาธิปัญญามาแล้ว  สำนึกหรือสัญญาชั้นสูงมักจะติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดจะเห็นได้ว่าเด็กๆมักมีจิตใจที่ดีงาม
สังคมต่างหากที่เร่งสำนึกชั้นต่ำที่มีมาตั้งแต่เกิดเหมือนกันให้เจริญรุดหน้ากว่าสำนึกชั้นสูงสังคมเราจึงเดือดร้อนกันด้วยสำนึกชั้นต่ำ

ในสมัยพระพุทธกาลพระอรหันต์หลายรูปเมื่อกำจัดสำนึกของปุถุชนได้หมดสิ้นแล้วแต่คงเหลือสัญญาของมนุษย์ไว้น้อยมาก
ท่านยังถูกรบกวนด้วยกามฉันทะอยู่เพราะสัญญามนุษย์นี้มีชีพเป็นปัจจัยพระอรหันต์หลายองค์จึงดับขันธ์เข้านิพพานละกามฉันทะ
ที่มีชีพเป็นปัจจัยไปอย่างไม่เสียดายเพราะท่านได้สัญญาอริยะมากจนเห็นสัญญาของมนุษย์เป็นภาระส่วนพุทธองค์ทรงอยู่สอนมนุษย์
เพราะมีพระเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย บางท่านสงสัยเรื่องกามฉันทะของพระอรหันต์ให้เข้าไปดูในสุญกถาว่ากามฉันทะต้องใช้อะไรข่มจึงสูญไป

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=6431&w=%CD%D1%B5%B5%D2
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่