สิ่งที่เรียนรู้ ตอนที่ 4/10 (กว่าจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ)

กระทู้สนทนา
สิ่งที่เรียนรู้ 4

ผมตัดสินใจไปสมัครเรียนที่____(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ)___ แต่นั่นก็เป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ ผมใช้เวลาทบทวนนานมาก ผมเคยเรียนสถาปัตย์มาแล้วหนึ่งครั้ง แล้วผมจะกลับไปเรียนมันอีกหรอ แต่เพื่อคุณวุฒิ เพื่อปริญญา เพื่อหน้าตา และเพื่ออนาคต และที่สำคัญ มันไม่ต้องสอบ

เช้าวันนั้นผมลางานเพื่อไปสมัครเรียน รีบไปซื้อใบสมัคร รีบไปหาร้านถ่ายรูป รีบกรอก แล้วก็เอาใบสมัครไปส่ง พร้อมด้วยค่าเทอม

    "คุณคะ คุณต้องไปตัดผมมาก่อนนะคะ ก่อนที่จะมาสมัครเรียนต้องเรียบร้อย ผมยาวแบบนี้เราไม่รับเข้ามาเรียนที่นี่หรอกนะคะ"

น้ำเสียง-ดันและดูถูกกันมาก ประมาณว่าผมคงจะมาเกเรและทำให้สถาบันเสียหาย ถ้าเขาใช้วิธีการพูดที่ดีกว่านี้ก็คงดี มันคงทำให้ผมรู้สึกได้ว่าที่นี่เขาดีจริง เหมาะแก่การศึกษาหาความรู้ แต่จากคำพูดของพนักงานคนนี้ที่ดูราวกับมีการศึกษาน้อยนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่

    "เมื่อกี้ที่ผมเเดินผ่านชั้นล่างมา ทำไมนักศึกษาที่นั่งอยู่ ผมก็เห็นว่ามีผู้ชายที่ไว้ผมยาว แล้วทำไม    เรียนที่นี่ได้"
    "พวกนั้นเขาปีสองปีสามกันแล้ว ไม่เป็นไร"
    "แล้วปีหนึ่งเป็นหรอครับ"
    "คะ ต้องไปตัดผมมาก่อน ไม่งั้นฉันก็ไม่รับใบสมัคร"
    "แล้วการที่ผมของผมยาวนี่มันหนักหัวคนอื่นหรอครับ ผมคิดว่ามันอยู่บนหัวของผมคนเดียวซะ    อีก"

เขานิ่งเงียบ

    "นี่ครับใบสมัคร และนี่คู่มือนักศึกษา ราคาเท่าไหร่นะ ห้าร้อย และนี่รูปผมโหลละร้อยยี่สิบ อันนี้ผมให้พี่หมดเลยเพราะผมคงไม่ต้องใช้ และนี่เงินค่าเทอม สองหมื่นกว่าบาท ผมคิดว่าผมเก็บเอาไว้ใช้เองน่าจะดีกว่า ขอบคุณที่ทำให้ผมรีบและเสียเวลามานะครับ"

ผมคิดว่าสถาบันนี้ก็ดีนะ ผมชอบ ผมอยากเรียน ติดเพียงอย่างเดียว ผมเกลียดคนพูดไม่ดี ที่ไม่มีความเคารพต่อคนอื่น แค่นั้นเอง

สุดท้าย ผมก็การศึกษาน้อยพอๆกับผู้หญิงคนนั้น นี่สินะ ที่เขาพูดกันว่า อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ อย่าลดตัวลงไปเกลือกลั้วกับคนแบบนั้น สุดท้าย เราเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสีย

อยู่มาวันนึง พี่เหมยฝ่ายบัญชี ขอให้พี่ป๊อปโฟแมนขับรถพาไปธนาคาร ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนจะบ่ายสาม พี่ป๊อบยังไม่ขยับตัว จนผมทนไม่ไหว ผมจึงอาสาพาพี่เหมยออกไปธนาคารเอง

ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ยังขับรถไม่ค่อยเก่ง และรถคันที่จะขับก็ดันมีอายุแก่รุ่นป้า

สตาร์ต เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง ปล่อยคาร์ท รถดับ ผมพยามอยู่ห้าครั้งก็ไม่ได้ผล สรุปคือ ไม่ได้ออกไปธนาคารเพราะหมดเวลาทำการไปแล้ว

ผมรู้สึกแย่มากๆ กับการกระทำของโฟแมนคนนั้นที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของตัวเอง ที่ทุกสิ้นเดือนจะต้องพาพี่เหมยไปธนาคาร

พอวันถัดมา เราทุกคนต้องรอเกือบเย็น กว่าจะได้เงินเดือน
และนั่นคือวันสุดท้ายของการทำงานที่นั่นของผม

ผมรับไม่ได้กับคนที่ขาดความรับผิดชอบ และทำให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะความบกพร่องในหน้าที่ของตน ผมไม่ขอทำงานกับคนแบบนี้อีก

ทั้งที่เมื่อก่อน โฟแมนคนนี้คือคนที่ผมชอบมาก ทำหน้าที่ดี ขยัน เชื่อฟัง ดูแลงานที่ผมออกแบบได้ดีดั่งใจ แต่วันนี้มันไม่ได้ดั่งใจผมเลยจริงๆ แต่ผมไม่ได้พูดอะไร ผมทำให้ดู ทำให้เขาดูว่าขนาดไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมเองยังพยายามที่จะพาพี่เหมยไปธนาคาร แม้ว่ารถโบราณคันนั้นคันที่จะขับออกไปผมจะไม่ถนัดและเคยชินกับมัน

แต่เขาก็ไม่รู้สึก แค่มายืนดู แล้วก็หัวเราะ ที่ผมเอารถออกไปไม่ได้

พอกันแค่นี้…

คืนวันต่อมา ผมดูรายการทีวี เป็นทอล์คโชว์ สัมภาษณ์พี่เสือ ธนพล ที่ขณะนั้นดังมาก

เขาเป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง ออกแบบและถ่ายปกเทปเอง และวันนี้เขาออกมาร้องเพลงมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง

    "ทีของเสือ"

พี่เสือเรียนจบรามคำแหง เอกโสตทัศนศึกษา และนั่นคือสิ่งที่ผมมองหา

เอกโสตทัศนศึกษาเขาเรียนอะไรกัน ทำไมแต่งเพลงได้ ทำไมมาเขียนเพลง ทำไมมาออกแบบปกเทป และทำไมถึงมาถ่ายรูปได้

ช่วงนั้นพอดีเป็นช่วงรับสมัครนักศึกษาของราม ซึ่งในคู่มือการสมัครจะมีรายละเอียดของแต่ละคณะ ผมอ่านตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย จนรู้ว่า วิชาที่สอนของแต่ละคณะมีอะไรบ้าง

เอกโฆษณาก็น่าสนใจ แต่ไม่มีวิชาถ่ายภาพ
เอกสื่อสารมวลชนก็ดี ซึ่งก็เน้นทฤษฎีไม่ค่อยมีปฏิบัติ
ส่วนเอกโสตทัศนศึกษา มีวิชาถ่ายภาพสองตัวที่เป็นวิชาเอกบังคับ และที่เป็นวิชาเลือกก็มี มีวิชาภาพยนตร์ 8 16 และ 35 มิล วิชาวิจารณ์ วิชาออกแบบ และอีกหลายวิชามากๆที่มันใช่ทั้งหมดกับความสนใจของผมที่มีในตอนนั้น

ผมไปอยู่ไหนมานี่ ทำไมไม่เคยรู้ว่ามีวิชาเหล่านี้สอนที่นี่

ผมตัดสินใจไปสมัครเรียนที่นี่ ด้วยความหวังและความฝัน จะเป็นช่างภาพ จะเป็นผู้กำกับหนัง จะทำหนังสือ จะออกแบบสิ่งพิมพ์...

เยอะแยะไปหมด ความฝันเวลานั้นช่างพรั่งพรู

ผมรีบนับเงินเก็บที่มี ว่าผมต้องใช้ทำอะไรบ้าง ขั้นแรกผมต้องไปซื้อกล้อง สองคือลงทะเบียนเรียน สามหาหอพักที่ใกล้กับมหาลัย สี่บริหารเงินเก็บให้ได้หนึ่งเทอม ห้าขอให้ที่บ้านให้ส่งผมเรียน

ข้อหนึ่งถึงข้อสี่ผ่านไปได้แบบสบายๆ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ผมคนเดียว

แต่ข้อห้า พี่สาวสี่คน พี่เขยสามคน คือคนตัดสิน ว่าจะส่งหรือไม่ส่ง แต่ผมไม่สน เพราะผมออกจากงานเรียบร้อยแล้ว จ่ายค่ามัดจำห้อง ลงทะเบียนเรียน และซื้อกล้อง ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว

K 1000 กล้องแมนนวลตัวฮิต ที่ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือกล้องที่ทุกคนในสมัยนั้นเขาใช้ฝึกเรียนกัน แต่ที่รู้ก็เพราะหลักสี่พลาซ่า ห้างที่ผมเคยไปเดินดูร้าน ตอนที่ผมออกแบบงานชิ้นแรกก่อนการเข้าทำงาน ซึ่งที่นั่นจะมีแผงขายกล้องอยู่หนึ่งแผง สงสัยผมจะใช้คำผิดไปหรือเปล่าไม่รู้ กับคำว่าแผงขายกล้อง แต่ร้านนี้มันก็มีเพียงตู้กระจกสองตู้ที่ต่อกันเป็นรูปตัวเอล มีถ่าน มีฟิล์ม มีอุปกรณ์ทำความสะอาดกล้อง และมีกล้องในตู้เพียงไม่กี่ตัว

Photo Hut ร้านแรกที่ผมเลือกซื้อ เพราะราคา PENTAX K1000 ของร้านนี้ถูกที่สุดแล้ว ซึ่งถูกว่าร้านอื่นๆที่ดูมาถึงสี่ร้อยบาท

K1000 เลนส์ 50 F1.4 กับTeleconverter 2X อีกหนึ่งตัว ซึ่งเท่ากับว่าผมได้เลนส์ 100 F2.8 มาอีกตัว พร้อมด้วยกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งใบ กับหัวใจที่พองโต ว่านี่คือกล้องถ่ายรูปตัวแรก ที่หาเงินซื้อเอง และเริ่มต้นชีวิตการเรียนมหาลัยด้วยเงินก้อนแรกที่หาเอง แม้ว่าอาจจะไม่สามารถส่งตัวเองเรียนจนจบได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทุกอย่างด้วยตัวเอง

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น แม้วาดฝันไว้ว่าชีวิตต่อไปนี้คงจะเหมือนกับกลีบกุหลาบ แต่มันกลับเป็นได้แค่เพียงก้านกุหลาบที่เต็มไปด้วยหนาม เมื่อที่บ้านบอกว่าจะไม่ส่งผมเรียน ด้วยเหตผลที่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนที่บ้านนอกที่ผมเคยอยู่ มาเรียนที่รามแล้วจะมีใครจบ ทุกคนคัดค้าน แต่ไม่มีใครห้ามผมได้ นี่คือทางที่ผมเลือกแล้ว

จากนั้นอีกหนึ่งเทอม ผมจะตั้งใจเรียน และทำให้ทุกคนเห็นว่าผมทำจริง

    "ถ้าที่บ้านไม่ส่งก็ไม่เป็นไร ผมเป็นเพียงลูกชายคนเล็ก เป็นลูกชายคนสุดท้องคนเดียวของครอบครัว ถ้าที่บ้านยังอยากจะมีลูกชาย และน้องชายอยู่ ผมขอแค่ส่งเงินมา แล้วผมจะตั้งใจ    ทำให้ดู ว่าสิ่งที่ผมคิด ผมทำมันได้จริง แต่ถ้าคิดว่าลูกชายคนเดียว กับน้องชายคนนี้ ไม่จำเป็นจะต้องมี ก็ไม่ต้องส่งเงินมา ผมมีโอกาสแค่เทอมเดียว กับเงินก้อนสุดท้ายที่เก็บออมมา และผมจะไม่พยายามที่จะหางานทำ เพราะผมจะพยายามเรียนให้จบ สุดท้าย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับที่บ้านว่าจะเลือกเชื่อคนอื่นที่ล้มเหลว หรือจะเชื่อลูกชายและน้องชายคนนี้ ที่ทุกคนรู้จักผมดีตั้งแต่ผมเกิดมา    ว่าผมเป็นคนยังไง"

นี่คือคำขาด ว่ายังไงผมก็จะเรียนให้ได้ ทุกๆเดือนหลังจากจ่ายค่าห้อง ผมจะเขียนจดหมายกลับไปเล่าเรื่องราวการเรียนของผม และจำนวนเงินที่ผมเหลืออยู่ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับอะไรมาเลย

ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาวัดใจ ว่าใครจะชนะ ระหว่างความดื้อรั้นของผม กับความนิ่งเฉยของที่บ้าน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่