ผมอยากเขียนบันทึกเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ก็ประจำสัปดาห์มาแชร์กับเพื่อน ๆ นักอ่านด้วยกัน
เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ สต็อกงานที่เก็บไว้มีอยู่พอสมควร หาทางระบายออกไม่ได้ ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ ละ เขียนมันออกมาให้คนอ่านเลยละกัน
อีกสิ่งหนึ่ง คุณแฟนก็เชียร์ให้กล้าเขียนหน่อย ลองดูสิจะเป็นไรไป (นั่นสิเนาะ จะเป็นไรไป- ต้องขอบคุณคุณแฟนตรงนี้ด้วย)
โอเค เขียนเลย ลุยเลย สู้เลย ดีกว่าเก็บงานเขียนตัวเองไว้แล้วหมดอายุแล้วจะเน่าเสียก่อน (บ้า!!!!! ไม่ใช่อาหารกล่องนะ ถึงจะได้มีวันเน่า)
แต่ก็นะ ถ้าปล่อยไปก็อาจเน่าจริงก็ได้ ใครจะรู้
เริ่มเรื่องเลยละกัน วันนี้ขอเสนอ.....
บันทึกของบุตรแห่งพระศุกร์ (ตอนที่ 1-ไปเช่าชุดครุยที่ท่าพระจันทร์)
จุดหมายปลายทางจะมีประโยชน์อะไร หากมีแต่ความกระวนกระวายระหว่างทาง
นั่นสิ จะเกิดประโยชน์อะไร
วันก่อนผมไปเช่าชุดครุยที่ร้านเทพคลีนนิ่งที่ท่าพระจันทร์ ด้วยความหวังว่าจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ไม่ต้องคิดมากกับสิ่งใดทั้งสิ้นด้วยการขึ้นเรือโดยสารเจ้าพระยาชั้นหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนเรือนำเที่ยวแนะนำสถานที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีที่นั่งพร้อมสรรพสำหรับทุกคนและสะดวกสบาย
แต่เวรกรรมดันมาทำร้ายด้วยการให้ผมต้องขึ้นเรือธรรมดาที่แออัดยัดทะนานไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากสัญชาติยิ่งกว่าอะไรดี เสียงเจ้าหน้าที่เก็บเงินบนเรือ
ตะโกนสั่งไม่เป็นภาษาทั้งไทยปนอังกฤษบอกให้ชิดในและห้ามยืนบริเวณที่คนเดิน ส่วนตัวผมยืนตรงบันไดลงและพิงราวเหล็กด้านซ้ายของเรือหวังจะชมวิวทิวทัศน์ แต่สติก็สั่งการลงมาว่า ไม่ได้ เพราะเราจะไม่เห็นป้ายบอกท่าที่เรือดจอดซึ่งจะอยู่ทางด้านขวาของเรือ เอาล่ะเว้ย ในเมื่อมองป้ายท่าไม่เห็น ก็ดูแผนที่ที่ติดข้างเรือเลยสิ กลัวอะไร เคราะห์ยังไม่หมดแค่นั้น ดันมีคนยืนบังแผนที่นั่นอีก ไอ้ครั้นจะจ้องมองก็กลัวว่าคนที่ยืนจะตีความว่าเรามองหน้าหาเรื่องหรือพิศวาสอะไร แถมคนยืนคนนั่งเยอะขนาดนี้ ก้มลงมองผ่านช่อง พยายามปรับเลนส์โฟกัสสายตาให้มองทะลุราวเหยี่ยวเพื่อให้เห็นป้ายท่าก็ไร้ผล
“นี่มันคนหรือยักษ์วะ บังซะมิดจนไม่เห็นช่องเลย” ผมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว
สรุป ความคิดที่จะชมวิวริมกับแม่น้ำก็เอวังอันตรธานหายไปกับสายลม เพราะความกลัวว่าจะยืนเลยป้ายหรือหวาดวิตกว่าจะลงก่อนป้ายก็ลอยแล่นเข้ามาแทนที่ ท้ายเรือก็เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ แถมคนเก็บเงินก็เดินไปเดินมาอีกฝั่งหนึ่งและไม่บอกว่าถึงไหนด้วย แต่เป้าหมายของผม คือ ท่ามหาราช ทั้ง ๆ ที่มีคนที่จะขึ้นท่าเดียวกับผมถามเจ้าหน้าที่ว่าอีกไกลไหมกว่าจะถึงและได้คำตอบลอยเข้าหูมาว่าอีก 3 ป้าย แต่ใจผมก็ยังผวาเพราะสายตาเหลือบไปเห็นว่าสีธงเรือที่ผมนั่งนี้ไม่จอดท่ามหาราช เอาล่ะสิ ไอ้คนขายตั๋วมันหลอกขายตั๋วผมหรือไง เป็นไปไม่ได้หรอก ก็มันบอกเองว่าไปได้
ผมจึงตัดสินใจดูวิวแม่น้ำเจ้าพระยาดีกว่า สัมผัสกับละอองน้ำที่ลอยมากระทบหน้า และเห็นเกลียวคลื่นอันเกิดจากการสัญจรของเรือหลากชนิดตีและสอดประสานกันเป็นรูปแบบคลื่นใหม่ที่ดูแปลกตาไปกว่าเคย จะว่าไปผมไม่เคยสังเกตเลยด้วยซ้ำเวลานั่งเรือว่าคลื่นน้ำก็มีความงามของมันไม่ต่างจากท่วงทำนองดนตรี บรรยากาศตึกสูงริมแม่น้ำ ทั้งคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้าราวหอคอยบาเบล สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ทั้งวัดไทยวัดจีน โปรเจ็กต์ใหม่ที่กำลังเติบโตและเร้นกายหลังป้ายโฆษณา รวมไปถึงเรือที่จอดเรียงราย สะพานและสีฟ้าแห่งนภากาศที่แทบไม่มีเมฆบดบังชวนใจลอยคิดไปว่ากรุงเทพมหานครนี่มันเป็นเมืองเอกแห่งความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและบรรยากาศของโลกจริง ๆ
แต่จินตาการอันบรรเจิดก็จบลง
เพราะผมดันตัดสินใจขึ้นที่ท่าช้าง ทั้ง ๆ ที่ใจก็นับอยู่ว่าเหลืออีก 1 สถานีถึงจะถึงท่ามหาราช
“โถ ไอ้บ้า นี่ฉันทำอะไรลงไปวะ นี่มันท่าช้าง ต้องอีกท่านึงถึงจะถึงท่ามหาราชต่างหาก” ผมนึกด่าตัวเอในใจ ขึ้นผิดท่าไม่เท่าไร ดันมาเจอคนที่รอลงเรือเป็นแสนอีก ทางเดินขึ้นท่ากจะไม่มีอยู่แล้ว แถมยังมีทัวร์จีนเป็นร้อยยืนสุมหัวกันบริเวณขายตั๋ว ส่งเสียงโขมงโฉงเฉงจนชวนเวียนหัวหาทางไปไม่เจอ สุดท้ายต้องแหวก ๆ ก้มหัวหลบธงนำขบวนของไกด์และฝ่าดงคนที่ออกมาขายของนักท่องเที่ยว จนเจอทางออกสู่ตลาดท่าช้าง
ออกมาถึงก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งผมรู้สึกว่าเหมือนโดนลักพาตัวย้อนยุคไปช่วงจักรวรรดิโบราณที่มีหลากชนเผ่าหลายเชื้อชาติเข้ามาอาศัยอยู่ ณ ศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของนครหลวง แข่งกันส่งเสียงเซ็งแซ่เรียกลูกค้าให้มาซื้อของร้านตน บ้างก็ตะโกนแซวคนอีกฟากของตลาด แม่ค้าส่งภาษาจีนเท่าที่ความรู้ของตนจะอำนวยให้นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักซื้อสับปะรดหวาน ๆ พ่อค้าร้านข้าง ๆ เฉาะมะพร้าวน้ำหอมให้กับแหม่มผมทองที่ดูจะตื่นตากับลีลาการลงมีดปังตอ เด็กสาวร้านถัดไปร้องว่า “วอเตอร์ ๆ เทนบาท ๆ” คนอินเดียพูดกับภรรยาและลูกๆ ที่มีสีหน้าสิ้นหวังไม่รู้จะเดินไปทางไหนและชี้นิ้วไปข้างหน้า ไอ้หนุ่มผมทองยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปราวกับเห็นอะไรที่สวยงามที่สุดในชีวิต สุดทางเดินตรงถนนมหาราชหญิงหน้าตาเหนื่อยอ่อนเข็นรถเข็นเข้าตลาดแต่เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนจากกรมไหนไม่ทราบเดินไม่มองและชนรถเข้าอย่างจัง ฝ่ายหญิงทำหน้านิ่วแต่ผู้ชายกลับไม่สนใจอะไรเลย นอกจากเสียงแล้วก็ยังมีสารพัดกลิ่น กลิ่นน้ำคลองที่โชยเข้าจมูกตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นฉี่เมื่อเดินเข้าตลาดและกลายเป็นกลิ่นอาหารสุดยั่วน้ำลายเมื่อเดินผ่านร้านผัดไทย จากถนนมหาราชจนถึงหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์มีแต่ร้านขายของริมทางเดิน สุดแท้แล้วแต่จะเลือกหา ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารฉบับเก่าและใหม่ หลวงพ่อสารพัดวัด สร้อยทอง จี้เงิน ฟันปลอม ธนบัตรรุ่นเก่าจากไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ รวมไปถึงไส้หมู ปูนึ่ง อาหารสารพันและขนมหลากชนิดบนเตาย่างและกระทะที่แข่งกันส่งกลิ่นราวกับว่าใครจะได้เตะจมูกคนเดินผ่านไปผ่านมาก่อน แถวนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากรด้วย ร้านขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะจึงมีนักศึกษาอาร์ติสต์เข้าไปเบียดเสียดซื้อของกันจนแน่ร้าน ผมพยายามอดทนกับความหิวและแหวกตัวไปจนถึงร้านข้าวหน้าเป็ดเจ้าประจำหน้ามหาวิทยาลัย และสั่งข้าวหน้าเป็ด เกี๊ยวน้ำกับน้ำตาลสดมาพิฆาตความหิว ความเป็นกันเองและรอยยิ้มต้อนรับที่ไม่เคยเปลี่ยนของเจ้าของร้านและลูกน้องที่ดูเหมือนจะจำผมได้ก็ยิ่งทำให้ผมอิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก สีสันของสินค้า อาหารแบบไทยปนจีน แสงแดดที่สว่างจ้าและอากาศที่ร้อนได้ที่ช่วยขับดันให้บรรยากาศรอบตัวเปล่งประกายราวกับเอาโลกตะวันออกยุคโบราณมาวางตั้งไว้ข้างหน้าเลยทีเดียว
สักพักนึง เพื่อนผมที่นัดกันไว้ว่าจะไปสั่งตัดชุดครุยด้วยกันก็มาถึง สนทนาปราศรัยกันพอเป็นพิธีแล้วออกเดินทางต่อไปที่ร้านครุยแห่งหนึ่งในตรอกมหาธาตุ เจ้าของร้านเป็นกันเองมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดการให้บริการ จะว่าไปแล้วเพื่อนผมมันเป็นคนคุยเก่งด้วยแหละ ถึงทำให้เจ้าของร้านดูจะเป็นกันเองกับเรามากขึ้นด้วย เพื่อนผมมันได้วัดตัวก่อนด้วยการสวมสูทสีกรมท่าและวัดรอบลำตัว ส่วนผมยืนดูมันด้วยความฉงนว่าทำไมสูทมันตัวใหญ่จัง
“โอเค วัดเสร็จแล้วจ้า” จากนั้นพนักงานก็เขียน ๆ อะไรลงไปในกระดาษ อ้อ รอบตัวเพื่อนผมนั่นเอง
เมื่อถึงคราวผมวัดบ้าง คนวัดตัวกลับทำหน้านิ่วราวกับว่าเห็นอะไรพิศดารที่สุดในชีวิต
“โอ้วว น้อง ทำไมช่วงแขนน้องไม่เท่ากัน”
“อะไรนะครับ” ผมก็ตอบกลับไปด้วยความสงสัยแบบไม่เคยสงสัยอะไรมาก่อนในชีวิต
แล้วพี่วัดตัวคนนั้นก็ให้ผมมองกระจกแล้วชี้ไปที่ภาพสะท้อน “ดูนะ เวลาน้องยืนตัวตรง ทำไมเหมือนช่วงแขนไม่เท่ากันอ่ะ”
“อ้อ ผมเห็นละ” พลางนึกในใจ เฮ้ย จริงเหรอเนี่ย ใจผมหล่นวูบ แต่ก็ปลอบใจตัวเอง ไม่น่ามีอะไรถึงตายหรอกน่า บางทีอาจเป็นภาพสะท้อนในกระจก บางทีอาจเป็นเพราะไหล่ผมไม่เท่ากันแต่เด็ก (ฟิตเนสเทรนเนอร์เคยสงสัยว่าทำไมเวลาผมบริหารหัวไหล่ด้วยดัมเบลแล้วมันดูขึ้นลงไม่ตรงหรือไม่พร้อมกันและก็สังเกตเห็นไหล่ตรงนี้) อีกใจก็คิด เอาน่ะ ขนาดเดวิด เบคแคม ยังเคยบอก (นานมาแล้ว เมื่อ 9 ปีก่อน) ว่าตัวเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาขวายาวกว่าขาซ้าย เอาน่ะ คนหน้าตาดีมักมีอะไรแปลก ๆ แบบนี้ (เข้าข้างตัวเองสุด ๆ)
พรึ่บ!!!!!!!!!!!!
“อ้าว ชิหายแล้ว” เพื่อนผมอุทานแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะ
ไฟดับนั่นเอง
“เอาแล้วไง ฉันบอกแล้วว่าสูทตัวนี้มันมีอาถรรพ์ คนใส่สูทนี้แล้วโดนว่าว่าดูไม่ดี มันต้องเกิดเรื่องแบบนี้” เสียงเจ้าของร้านดังขึ้นแต่เป็นในเชิงตลก
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะจากลูกน้องดังขึ้นพร้อมกัน คนวัดตัวและเพื่อนผมหัวเราะตามมา ผมยืนตะลึงยิ้มแห้ง ๆ อยู่คนเดียว
“แล้วร้านฉันจะไฟไหม้หรือเปล่าเนี่ย” เรื่องของเรื่อง คือ เจ้าของร้านเล่าว่าสัปดาห์ก่อน ร้านอีกตรอกถัดไปไฟไหม้หลังจากไฟดับ
ผมสงสัยอย่างมาก เลยถามเจ้าของร้านว่า เกิดอะไรขึ้นกับสูทตัวนี้
“คือ อีสูทตัวนี้ เคยมีคนใส่แล้วแต่กลับโดนบอกว่ารูปร่างยังไม่โอเค ไฟมักจะดับแบบนี้”
“เหอ” ผมส่งเสียงออกไปแบบบอกไม่ถูก
ส่วนเพื่อนผมมันเป็นคนคุยเก่งด้วยและรั่วด้วย ชอบล้อเล่น มันก็ขำเงียบ ๆ ของมันคนเดียวแบบนั้น แล้วการวัดตัวเพื่อตัดครุยก็จบลงด้วยการจ่ายมัดจำและเอาบัตรนัดรับครุยมา เดินออกจากร้าน 2 คน
เรื่องวันนั้นก็จบลง ผมก็คิดได้ว่า เป้าหมายจะไม่มีค่าอะไรเลย หากเราไม่ได้ให้คุณค่ากับสิ่งรอบตัว ความสุขและความสำเร็จจะมีไว้เพื่อสิ่งใด เช่นเดียวกับการที่ผมมัวแต่กังวลว่าจะไปถึงท่ามหาราชหรือไม่จนลืมไปว่าผมต้องการชมทิวทัศน์ระหว่างนั่งเรือด้วย ทั้ง ๆ ที่การขึ้นที่ท่าช้างมันก็ทำให้ผมได้เห็นโลกที่ต่างออกไปจนนำมาสู่งานเขียนชิ้นนี้ หากผมขึ้นที่ท่ามหาราช ผมจะเห็นตลาดที่มีแสงสีเสียงแบบนี้หรือเปล่า ความสำเร็จอาจเป็นปลายทางที่หยุดนิ่ง แต่ความสุขนั้นคือการได้ดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าไฟไม่ดับ จะรู้ถึงตำนานไอ้สูทอาถรรพ์นี่หรือเปล่า ถ้าไม่มีการขึ้นท่าเรือผิดป้ายและการตัดครุยมันเรียบร้อยดีทุกอย่าง ชีวิตผมก็คงเหมือนวัน ๆ หนึ่ง ไปทำงาน ไปเรียน กินข้าว นอน และบางครั้งความสำเร็จอาจไม่ได้มีหนทางเดียวในการไปถึง สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้มาเช่าชุดครุยอยู่ดีและกินข้าวหน้าเป็ดอยู่ดี
บันทึกของบุตรแห่งพระศุกร์ (ตอนที่ 1-ไปเช่าชุดครุยที่ท่าพระจันทร์)
เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ สต็อกงานที่เก็บไว้มีอยู่พอสมควร หาทางระบายออกไม่ได้ ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ ละ เขียนมันออกมาให้คนอ่านเลยละกัน
อีกสิ่งหนึ่ง คุณแฟนก็เชียร์ให้กล้าเขียนหน่อย ลองดูสิจะเป็นไรไป (นั่นสิเนาะ จะเป็นไรไป- ต้องขอบคุณคุณแฟนตรงนี้ด้วย)
โอเค เขียนเลย ลุยเลย สู้เลย ดีกว่าเก็บงานเขียนตัวเองไว้แล้วหมดอายุแล้วจะเน่าเสียก่อน (บ้า!!!!! ไม่ใช่อาหารกล่องนะ ถึงจะได้มีวันเน่า)
แต่ก็นะ ถ้าปล่อยไปก็อาจเน่าจริงก็ได้ ใครจะรู้
เริ่มเรื่องเลยละกัน วันนี้ขอเสนอ.....
บันทึกของบุตรแห่งพระศุกร์ (ตอนที่ 1-ไปเช่าชุดครุยที่ท่าพระจันทร์)
จุดหมายปลายทางจะมีประโยชน์อะไร หากมีแต่ความกระวนกระวายระหว่างทาง
นั่นสิ จะเกิดประโยชน์อะไร
วันก่อนผมไปเช่าชุดครุยที่ร้านเทพคลีนนิ่งที่ท่าพระจันทร์ ด้วยความหวังว่าจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ไม่ต้องคิดมากกับสิ่งใดทั้งสิ้นด้วยการขึ้นเรือโดยสารเจ้าพระยาชั้นหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนเรือนำเที่ยวแนะนำสถานที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีที่นั่งพร้อมสรรพสำหรับทุกคนและสะดวกสบาย
แต่เวรกรรมดันมาทำร้ายด้วยการให้ผมต้องขึ้นเรือธรรมดาที่แออัดยัดทะนานไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากสัญชาติยิ่งกว่าอะไรดี เสียงเจ้าหน้าที่เก็บเงินบนเรือ
ตะโกนสั่งไม่เป็นภาษาทั้งไทยปนอังกฤษบอกให้ชิดในและห้ามยืนบริเวณที่คนเดิน ส่วนตัวผมยืนตรงบันไดลงและพิงราวเหล็กด้านซ้ายของเรือหวังจะชมวิวทิวทัศน์ แต่สติก็สั่งการลงมาว่า ไม่ได้ เพราะเราจะไม่เห็นป้ายบอกท่าที่เรือดจอดซึ่งจะอยู่ทางด้านขวาของเรือ เอาล่ะเว้ย ในเมื่อมองป้ายท่าไม่เห็น ก็ดูแผนที่ที่ติดข้างเรือเลยสิ กลัวอะไร เคราะห์ยังไม่หมดแค่นั้น ดันมีคนยืนบังแผนที่นั่นอีก ไอ้ครั้นจะจ้องมองก็กลัวว่าคนที่ยืนจะตีความว่าเรามองหน้าหาเรื่องหรือพิศวาสอะไร แถมคนยืนคนนั่งเยอะขนาดนี้ ก้มลงมองผ่านช่อง พยายามปรับเลนส์โฟกัสสายตาให้มองทะลุราวเหยี่ยวเพื่อให้เห็นป้ายท่าก็ไร้ผล
“นี่มันคนหรือยักษ์วะ บังซะมิดจนไม่เห็นช่องเลย” ผมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว
สรุป ความคิดที่จะชมวิวริมกับแม่น้ำก็เอวังอันตรธานหายไปกับสายลม เพราะความกลัวว่าจะยืนเลยป้ายหรือหวาดวิตกว่าจะลงก่อนป้ายก็ลอยแล่นเข้ามาแทนที่ ท้ายเรือก็เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ แถมคนเก็บเงินก็เดินไปเดินมาอีกฝั่งหนึ่งและไม่บอกว่าถึงไหนด้วย แต่เป้าหมายของผม คือ ท่ามหาราช ทั้ง ๆ ที่มีคนที่จะขึ้นท่าเดียวกับผมถามเจ้าหน้าที่ว่าอีกไกลไหมกว่าจะถึงและได้คำตอบลอยเข้าหูมาว่าอีก 3 ป้าย แต่ใจผมก็ยังผวาเพราะสายตาเหลือบไปเห็นว่าสีธงเรือที่ผมนั่งนี้ไม่จอดท่ามหาราช เอาล่ะสิ ไอ้คนขายตั๋วมันหลอกขายตั๋วผมหรือไง เป็นไปไม่ได้หรอก ก็มันบอกเองว่าไปได้
ผมจึงตัดสินใจดูวิวแม่น้ำเจ้าพระยาดีกว่า สัมผัสกับละอองน้ำที่ลอยมากระทบหน้า และเห็นเกลียวคลื่นอันเกิดจากการสัญจรของเรือหลากชนิดตีและสอดประสานกันเป็นรูปแบบคลื่นใหม่ที่ดูแปลกตาไปกว่าเคย จะว่าไปผมไม่เคยสังเกตเลยด้วยซ้ำเวลานั่งเรือว่าคลื่นน้ำก็มีความงามของมันไม่ต่างจากท่วงทำนองดนตรี บรรยากาศตึกสูงริมแม่น้ำ ทั้งคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้าราวหอคอยบาเบล สิ่งก่อสร้างเก่าแก่ทั้งวัดไทยวัดจีน โปรเจ็กต์ใหม่ที่กำลังเติบโตและเร้นกายหลังป้ายโฆษณา รวมไปถึงเรือที่จอดเรียงราย สะพานและสีฟ้าแห่งนภากาศที่แทบไม่มีเมฆบดบังชวนใจลอยคิดไปว่ากรุงเทพมหานครนี่มันเป็นเมืองเอกแห่งความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและบรรยากาศของโลกจริง ๆ
แต่จินตาการอันบรรเจิดก็จบลง
เพราะผมดันตัดสินใจขึ้นที่ท่าช้าง ทั้ง ๆ ที่ใจก็นับอยู่ว่าเหลืออีก 1 สถานีถึงจะถึงท่ามหาราช
“โถ ไอ้บ้า นี่ฉันทำอะไรลงไปวะ นี่มันท่าช้าง ต้องอีกท่านึงถึงจะถึงท่ามหาราชต่างหาก” ผมนึกด่าตัวเอในใจ ขึ้นผิดท่าไม่เท่าไร ดันมาเจอคนที่รอลงเรือเป็นแสนอีก ทางเดินขึ้นท่ากจะไม่มีอยู่แล้ว แถมยังมีทัวร์จีนเป็นร้อยยืนสุมหัวกันบริเวณขายตั๋ว ส่งเสียงโขมงโฉงเฉงจนชวนเวียนหัวหาทางไปไม่เจอ สุดท้ายต้องแหวก ๆ ก้มหัวหลบธงนำขบวนของไกด์และฝ่าดงคนที่ออกมาขายของนักท่องเที่ยว จนเจอทางออกสู่ตลาดท่าช้าง
ออกมาถึงก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งผมรู้สึกว่าเหมือนโดนลักพาตัวย้อนยุคไปช่วงจักรวรรดิโบราณที่มีหลากชนเผ่าหลายเชื้อชาติเข้ามาอาศัยอยู่ ณ ศูนย์กลางความศิวิไลซ์ของนครหลวง แข่งกันส่งเสียงเซ็งแซ่เรียกลูกค้าให้มาซื้อของร้านตน บ้างก็ตะโกนแซวคนอีกฟากของตลาด แม่ค้าส่งภาษาจีนเท่าที่ความรู้ของตนจะอำนวยให้นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักซื้อสับปะรดหวาน ๆ พ่อค้าร้านข้าง ๆ เฉาะมะพร้าวน้ำหอมให้กับแหม่มผมทองที่ดูจะตื่นตากับลีลาการลงมีดปังตอ เด็กสาวร้านถัดไปร้องว่า “วอเตอร์ ๆ เทนบาท ๆ” คนอินเดียพูดกับภรรยาและลูกๆ ที่มีสีหน้าสิ้นหวังไม่รู้จะเดินไปทางไหนและชี้นิ้วไปข้างหน้า ไอ้หนุ่มผมทองยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปราวกับเห็นอะไรที่สวยงามที่สุดในชีวิต สุดทางเดินตรงถนนมหาราชหญิงหน้าตาเหนื่อยอ่อนเข็นรถเข็นเข้าตลาดแต่เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนจากกรมไหนไม่ทราบเดินไม่มองและชนรถเข้าอย่างจัง ฝ่ายหญิงทำหน้านิ่วแต่ผู้ชายกลับไม่สนใจอะไรเลย นอกจากเสียงแล้วก็ยังมีสารพัดกลิ่น กลิ่นน้ำคลองที่โชยเข้าจมูกตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นฉี่เมื่อเดินเข้าตลาดและกลายเป็นกลิ่นอาหารสุดยั่วน้ำลายเมื่อเดินผ่านร้านผัดไทย จากถนนมหาราชจนถึงหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์มีแต่ร้านขายของริมทางเดิน สุดแท้แล้วแต่จะเลือกหา ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารฉบับเก่าและใหม่ หลวงพ่อสารพัดวัด สร้อยทอง จี้เงิน ฟันปลอม ธนบัตรรุ่นเก่าจากไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ รวมไปถึงไส้หมู ปูนึ่ง อาหารสารพันและขนมหลากชนิดบนเตาย่างและกระทะที่แข่งกันส่งกลิ่นราวกับว่าใครจะได้เตะจมูกคนเดินผ่านไปผ่านมาก่อน แถวนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากรด้วย ร้านขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะจึงมีนักศึกษาอาร์ติสต์เข้าไปเบียดเสียดซื้อของกันจนแน่ร้าน ผมพยายามอดทนกับความหิวและแหวกตัวไปจนถึงร้านข้าวหน้าเป็ดเจ้าประจำหน้ามหาวิทยาลัย และสั่งข้าวหน้าเป็ด เกี๊ยวน้ำกับน้ำตาลสดมาพิฆาตความหิว ความเป็นกันเองและรอยยิ้มต้อนรับที่ไม่เคยเปลี่ยนของเจ้าของร้านและลูกน้องที่ดูเหมือนจะจำผมได้ก็ยิ่งทำให้ผมอิ่มมากขึ้นเข้าไปอีก สีสันของสินค้า อาหารแบบไทยปนจีน แสงแดดที่สว่างจ้าและอากาศที่ร้อนได้ที่ช่วยขับดันให้บรรยากาศรอบตัวเปล่งประกายราวกับเอาโลกตะวันออกยุคโบราณมาวางตั้งไว้ข้างหน้าเลยทีเดียว
สักพักนึง เพื่อนผมที่นัดกันไว้ว่าจะไปสั่งตัดชุดครุยด้วยกันก็มาถึง สนทนาปราศรัยกันพอเป็นพิธีแล้วออกเดินทางต่อไปที่ร้านครุยแห่งหนึ่งในตรอกมหาธาตุ เจ้าของร้านเป็นกันเองมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดการให้บริการ จะว่าไปแล้วเพื่อนผมมันเป็นคนคุยเก่งด้วยแหละ ถึงทำให้เจ้าของร้านดูจะเป็นกันเองกับเรามากขึ้นด้วย เพื่อนผมมันได้วัดตัวก่อนด้วยการสวมสูทสีกรมท่าและวัดรอบลำตัว ส่วนผมยืนดูมันด้วยความฉงนว่าทำไมสูทมันตัวใหญ่จัง
“โอเค วัดเสร็จแล้วจ้า” จากนั้นพนักงานก็เขียน ๆ อะไรลงไปในกระดาษ อ้อ รอบตัวเพื่อนผมนั่นเอง
เมื่อถึงคราวผมวัดบ้าง คนวัดตัวกลับทำหน้านิ่วราวกับว่าเห็นอะไรพิศดารที่สุดในชีวิต
“โอ้วว น้อง ทำไมช่วงแขนน้องไม่เท่ากัน”
“อะไรนะครับ” ผมก็ตอบกลับไปด้วยความสงสัยแบบไม่เคยสงสัยอะไรมาก่อนในชีวิต
แล้วพี่วัดตัวคนนั้นก็ให้ผมมองกระจกแล้วชี้ไปที่ภาพสะท้อน “ดูนะ เวลาน้องยืนตัวตรง ทำไมเหมือนช่วงแขนไม่เท่ากันอ่ะ”
“อ้อ ผมเห็นละ” พลางนึกในใจ เฮ้ย จริงเหรอเนี่ย ใจผมหล่นวูบ แต่ก็ปลอบใจตัวเอง ไม่น่ามีอะไรถึงตายหรอกน่า บางทีอาจเป็นภาพสะท้อนในกระจก บางทีอาจเป็นเพราะไหล่ผมไม่เท่ากันแต่เด็ก (ฟิตเนสเทรนเนอร์เคยสงสัยว่าทำไมเวลาผมบริหารหัวไหล่ด้วยดัมเบลแล้วมันดูขึ้นลงไม่ตรงหรือไม่พร้อมกันและก็สังเกตเห็นไหล่ตรงนี้) อีกใจก็คิด เอาน่ะ ขนาดเดวิด เบคแคม ยังเคยบอก (นานมาแล้ว เมื่อ 9 ปีก่อน) ว่าตัวเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาขวายาวกว่าขาซ้าย เอาน่ะ คนหน้าตาดีมักมีอะไรแปลก ๆ แบบนี้ (เข้าข้างตัวเองสุด ๆ)
พรึ่บ!!!!!!!!!!!!
“อ้าว ชิหายแล้ว” เพื่อนผมอุทานแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะ
ไฟดับนั่นเอง
“เอาแล้วไง ฉันบอกแล้วว่าสูทตัวนี้มันมีอาถรรพ์ คนใส่สูทนี้แล้วโดนว่าว่าดูไม่ดี มันต้องเกิดเรื่องแบบนี้” เสียงเจ้าของร้านดังขึ้นแต่เป็นในเชิงตลก
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะจากลูกน้องดังขึ้นพร้อมกัน คนวัดตัวและเพื่อนผมหัวเราะตามมา ผมยืนตะลึงยิ้มแห้ง ๆ อยู่คนเดียว
“แล้วร้านฉันจะไฟไหม้หรือเปล่าเนี่ย” เรื่องของเรื่อง คือ เจ้าของร้านเล่าว่าสัปดาห์ก่อน ร้านอีกตรอกถัดไปไฟไหม้หลังจากไฟดับ
ผมสงสัยอย่างมาก เลยถามเจ้าของร้านว่า เกิดอะไรขึ้นกับสูทตัวนี้
“คือ อีสูทตัวนี้ เคยมีคนใส่แล้วแต่กลับโดนบอกว่ารูปร่างยังไม่โอเค ไฟมักจะดับแบบนี้”
“เหอ” ผมส่งเสียงออกไปแบบบอกไม่ถูก
ส่วนเพื่อนผมมันเป็นคนคุยเก่งด้วยและรั่วด้วย ชอบล้อเล่น มันก็ขำเงียบ ๆ ของมันคนเดียวแบบนั้น แล้วการวัดตัวเพื่อตัดครุยก็จบลงด้วยการจ่ายมัดจำและเอาบัตรนัดรับครุยมา เดินออกจากร้าน 2 คน
เรื่องวันนั้นก็จบลง ผมก็คิดได้ว่า เป้าหมายจะไม่มีค่าอะไรเลย หากเราไม่ได้ให้คุณค่ากับสิ่งรอบตัว ความสุขและความสำเร็จจะมีไว้เพื่อสิ่งใด เช่นเดียวกับการที่ผมมัวแต่กังวลว่าจะไปถึงท่ามหาราชหรือไม่จนลืมไปว่าผมต้องการชมทิวทัศน์ระหว่างนั่งเรือด้วย ทั้ง ๆ ที่การขึ้นที่ท่าช้างมันก็ทำให้ผมได้เห็นโลกที่ต่างออกไปจนนำมาสู่งานเขียนชิ้นนี้ หากผมขึ้นที่ท่ามหาราช ผมจะเห็นตลาดที่มีแสงสีเสียงแบบนี้หรือเปล่า ความสำเร็จอาจเป็นปลายทางที่หยุดนิ่ง แต่ความสุขนั้นคือการได้ดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าไฟไม่ดับ จะรู้ถึงตำนานไอ้สูทอาถรรพ์นี่หรือเปล่า ถ้าไม่มีการขึ้นท่าเรือผิดป้ายและการตัดครุยมันเรียบร้อยดีทุกอย่าง ชีวิตผมก็คงเหมือนวัน ๆ หนึ่ง ไปทำงาน ไปเรียน กินข้าว นอน และบางครั้งความสำเร็จอาจไม่ได้มีหนทางเดียวในการไปถึง สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้มาเช่าชุดครุยอยู่ดีและกินข้าวหน้าเป็ดอยู่ดี