ข่าวเก่าแล้วนะครับ
เห็นว่าจะพา CPF ไปเทรดในดาวน์โจน จะมีผลอะไรกับผู้ถือหุ้น CPF ในไทยไหมครับ
แล้วปัจจุบันยังจะเข้าหรือเข้าไปแล้วหรือยังไงครับ ไม่ทราบข่าวเลย
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000121051
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ “ซีพีเอฟ” เล็งเข้า DJSI ภายใน 2-4 ปี หวังสร้างความเชื่อถือจากตลาดทุนทั่วโลก พร้อมยกระดับเป็นแบรนด์ดังระดับโลก เผย 4 ปัจจัยกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหารในศตวรรษที่ 21 ชิงใช้กลยุทธ์เชิงรุกดำเนินธุรกิจก่อนมีการกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ทางการค้า ส่งผลยอดรายได้ทะลุ 3.5 แสนล้านบาท
ดร.ปิยะนุช มาลากุล ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการ ด้านกฎระเบียบการค้า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารของไทยในศตวรรษที่ 21 ว่า สิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหารไทยขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยคือ เทรนด์การบริโภค อำนาจการซื้อของผู้บริโภค พฤติกรรมของผู้บริโภค และกระบวนการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าในระยะเวลาประมาณ 30-40 ปีข้างหน้า หรือประมาณปีพ.ศ.2593 จำนวนประชากรทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 หมื่นล้านคน ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น แต่พื้นที่การเกษตรจะลดน้อยลง เพราะเกษตรกรทั่วโลกหันมาปลูกพืชพลังงานทดแทนมากขึ้น
ในอนาคตอันใกล้ผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้วจะคำนึงและให้ความสำคัญในเรื่องของ Safety, Security และ Sustainable หรือความมั่นคง ความปลอดภัย และความยั่งยืนเป็นหลักว่าผู้ผลิตสินค้าอาหารเหล่านั้นให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ซึ่งในที่สุดแล้วกลุ่มผู้ผลิต กลุ่มผู้ค้าปลีก ตลอดจน องค์การค้าระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเอเปค (APEC) จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานสินค้าอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการผลิตอาหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยลดการสูญเสียระหว่างผลิตให้น้อยที่สุด
“เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจึงทำให้เรื่องราคาไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ แต่จะคำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานมากกว่า ในขณะที่ผู้ผลิตและส่งออกอาหารไทยส่วนใหญ่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานอยู่แล้ว แต่ยังจำเป็นต้องมีการติดตามความเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้นเพื่อเตรียมตัวรองรับกับมาตรการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะภายหลังจากการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558”
ทางด้าน ดร.สมบัติ ธีระตระกูลชัย รองกรรมการผู้จัดการ ด้านคุณภาพและมาตรฐานสากล บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 10 ปีของซีพีเอฟเน้นกลยุทธ์เชิงรุกเป็นสำคัญโดยไม่ต้องรอให้มีกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศมากำหนด จึงทำให้สามารถเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานของบริษัทซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนใน 11 ประเทศทั่วโลก พร้อมตั้งสำนักงานในประเทศต่างๆ อีก 16 ประเทศ เพื่อทำการส่งออกไปยัง 42 ประเทศทั่วโลก ทำให้มียอดขายในปี 2555 ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 55% และจำหน่ายภายในประเทศ 45% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 10-15%
กฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศและมาตรฐานสินค้าโลกถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกระดับจำเป็นต้องให้ความสำคัญ ซึ่งซีพีเอฟสามารถดำเนินการได้อย่างไม่มีปัญหาเนื่องจากมีการลงทุนก่อนที่จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ หรือมาตรฐานต่างๆ ดังกรณีการใช้ฉลากลดคาร์บอน (Carbon Food Print) ซึ่งซีพีเอฟเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบันสามารถเพิ่มจำนวนสินค้าได้เกือบ 200 ชนิดตามเป้าหมาย หรือในกรณีการได้รับมาตรฐาน ProSustain Standard จากบริษัท DNV ประเทศนอร์เวย์ในสินค้าประเภทไก่สดที่จำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
“ล่าสุด ซีพีเอฟ ยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ให้ติดอันดับที่ 914 จาก 2,000 บริษัทระดับโลกที่สามารถทำรายได้สูงสุดและมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมายสำคัญของซีพีเอฟในระยะเวลา 2-4 ปีคือการผลักดันบริษัทให้เป็นบริษัทของคนไทยรายที่สองต่อจากกลุ่มบริษัทเอสซีจีที่สามารถเข้าสู่ดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainable Index - DJSI ได้เป็นผลสำเร็จ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการได้รับความเชื่อถือจากตลาดทุนทั่วโลกที่ครอบคลุมทุกมิติและสื่อให้เห็นว่าบริษัทว่าดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ทั้งยังถือเป็นยกระดับแบรนด์ซีพีเอฟให้เป็นแบรนด์ระดับโลกอีกทางหนึ่งด้วย”
ดร.สมบัติ กล่าวด้วยว่า กฎระเบียบทางการค้าและมาตรฐานต่างๆ อาจจะมีผลกระทบทางด้านลบต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางในแง่การส่งออก แต่ในอีกมุมหนึ่งผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือผู้บริโภคที่จะได้รับสินค้าดีมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการทุกระดับจึงควรมีการปรับตัวและยกระดับโดยอาจรวมตัวกันเป็นลักษณะคลัสเตอร์เพื่อร่วมมือกันพัฒนาในทุกๆ ด้านเพื่อให้เข้าสู่มาตรฐานซึ่งในที่สุดแล้วก็ย่อมทำให้มีขีดความสามารถพร้อมที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้
CPF เคยบอกจะพาตัวเงเทรดในดาวน์โจน ปัจจุบันไปยังครับ
เห็นว่าจะพา CPF ไปเทรดในดาวน์โจน จะมีผลอะไรกับผู้ถือหุ้น CPF ในไทยไหมครับ
แล้วปัจจุบันยังจะเข้าหรือเข้าไปแล้วหรือยังไงครับ ไม่ทราบข่าวเลย
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000121051
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้