สิ่งที่เรียนรู้ 3
พอผมถึงออฟฟิศช่วงสายๆของวันจันทร์ ผมก็ถูกเชิญตัวเข้าพบคุณลุงเจ้าของออฟฟิศ
"ทำไมถึงไม่มาทำงาน"
คำถามต่อเนื่องจากหลายๆคำถามที่ถูกถาม
"ผมเซ็งครับ เลยไม่อยากมา"
"แล้วตอนนี้หายเซ็งหรือยัง"
"หายแล้วครับ"
…
"ต่อไปถ้าเซ็งก็บอกลุงล่วงหน้านะ ลุงจะได้รู้ไว้ ถ้าหายไปอีก"
"ครับ"
"มีปัญหาอะไรก็บอกลุงได้เลยนะ มีปัญหาเรื่องเงินหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ"
"เอางี้ เด๋วลุงจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกสิบห้าเปอร์เซ็น แต่ห้ามบอกใครนะ เพราะปกติแล้ว เขาไม่ขึ้นเงินเดือนกันเยอะขนาดนี้ อย่างมากสุดก็ไม่เกินสิบเปอร์เซ็น"
"ครับ"
"ตอนนี้เช่าห้องอยู่เท่าไหร่"
"พันเก้าครับ"
"เดี๋ยวลุงออกค่าเช่าห้องให้ แต่ต้องเป็นความลับนะ"
"ครับ ขอบคุณคุณลุงมากครับ"
พอออกมานั่งทำงาน ผมเริ่มสงสัยว่า คำว่า "ไม่มีครับ" ที่ผมตอบคุณลุงไปนั้น คุณลุงเข้าใจผิดว่าผมไม่มีตังหรือเปล่า เลยขึ้นเงินเดือนให้ แถมยังมาจ่ายค่าห้องให้อีก
พอถึงช่วงปลายสัปดาห์ ผมมักจะมีเพื่อนๆมาหาที่ห้อง แล้วก็ออกไปหาอะไรทำกัน ไปถ่ายรูป ไปเดินสวน แต่มาสัปดาห์นี้ เพื่อนอีกคนบอกว่า มีเพื่อนมาจากบ้านนอก มาอยู่แถวตลิ่งชัน มันชวนไปที่นั่น เลยตัดสินใจไปตลิ่งชันกัน
จากแจ้งวัฒนะ 14 ขึ้นรถเมล์ สายอะไรบ้างจำไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ทาง จากสิบโมงถึงบ่าย ยังไม่มีท่าทีว่าจะถึง
"กูหิวข้าวแล้วหวะ"
ท้องผมเริ่มร้องเรียกหาสารอาหาร ที่มันยังไม่มีมาถึงลำใส้เล็กเลยตั้งแต่ตื่นเช้ามา
"ไปถึงค่อยกินที่โน่นก็ได้"
"แล้วอีกนานมั้ย กว่าจะถึง"
"ก็มาครึ่งทางแล้ว"
นี่เพียงแค่ครึ่งทาง ปาไปสองสามชั่วโมง คงเหลืออีกสองสามชั่วโมงหละกว่าจะถึงตามหลักทางคณิตศาสตร์
"กูว่าลงไปหาไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปต่อดีกว่า เดี๋ยวค่ารถที่ต่อไปกูจ่ายเอง กูหิว"
ผมเริ่มไม่ไหว
หลังจากอิ่มกัน ก็เริ่มหารถที่จะไปต่อ รออีกสามสี่นานรถสายนั้นก็ยังไม่มา
"ขึ้นแท็กซี่ไปกันมั้ย กูจ่ายเอง ไม่ไหวหวะ ร้อน"
"จ่ายใช่ปะ"
พอมีคนออกตัง แถมยังนั่งสบาย ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนปฏิเสธผม
แท็กซี่เขียวเหลืองคันใหม่ เบาะผ้าอย่างดี ผมถือโอกาสนั่งหน้าเพราะอยากเห็นทาง ส่วนเพื่อนอีกสองคนนั่งเบาะหลัง
ในความคิดตอนนั้น ตอนที่ก้นและหลังได้สัมผัสกับเบาะรถ หลังจากนั่งหลังแข็งตูดด้านมาบนรถเมล์แบบหิวโหย
ตอนนี้อารมณ์ความรู้สึกมันคนละเรื่องเลย
ทำไมมันสบายอย่างนี้ สบายในแบบที่ไม่รู้สึกมาก่อน ทั้งๆที่เก้าที่ทำงานก็นั่งสบายที่สุดในออฟฟิศ แอร์ก็เย็นไม่ต่างกัน แต่ทำไมตอนนี้ ความรู้สึกสบายมันมีมากกว่า
ถ้าเราอยากจะสบายแบบนี้ไปตลอดเราควรทำยังไง ทำงานนี้ต่อไปหรอ แล้วเมื่อไหร่จะมีอะไรที่เหมือนชาวบ้านเขา อันจะกินก็พอมี แต่อันที่เกินจะกินยังน้อยอยู่ ความสะดวกสบายเรายังขาดมันในบางส่วน
ถ้าเราเรียนจบแค่ ม. 6 แล้วทำงานนี้ไปเรื่อยๆ ที่อื่นเขาจะรับเรามั้ย เขาจะขึ้นเงินเดือนให้เราเยอะกว่านี้หรือเปล่า คำตอบคือ ไม่น่าจะมีทาง อย่างมากก็ไม่กี่พัน แล้วจะต้องใช้เวลานานกี่ปี
"กูจะลาออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อหวะ"
ผมหันหน้าไปหาเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง
สองคนนั้นทำหน้างงๆ ไม่รู้ว่าผมมาอารมณ์ไหน คงติส-อีกตามเคย
พอถึงวันทำงาน ผมเริ่มหาข้อมูลว่าผมจะเรียนต่อที่ไหนดี
ผมเข้าไปคุยกับคุณลุงว่าอาจจะลาออกไปเรียนต่อ
แต่คุณลุงให้ข้อเสนอว่า ลองหาที่เรียนใกล้ๆสิ ภาคค่ำก็ได้ จะได้ทำงานไปด้วย
ตัวเลือกเริ่มเกิด
ระว่างราชภัฏพระนครภาคค่ำ สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ กับศรีปทุม สถาปัตย์...
สิ่งที่เรียนรู้ ตอนที่ 3/10 (กว่าจะเป็นช่างภาพมืออาชีพ)
พอผมถึงออฟฟิศช่วงสายๆของวันจันทร์ ผมก็ถูกเชิญตัวเข้าพบคุณลุงเจ้าของออฟฟิศ
"ทำไมถึงไม่มาทำงาน"
คำถามต่อเนื่องจากหลายๆคำถามที่ถูกถาม
"ผมเซ็งครับ เลยไม่อยากมา"
"แล้วตอนนี้หายเซ็งหรือยัง"
"หายแล้วครับ"
…
"ต่อไปถ้าเซ็งก็บอกลุงล่วงหน้านะ ลุงจะได้รู้ไว้ ถ้าหายไปอีก"
"ครับ"
"มีปัญหาอะไรก็บอกลุงได้เลยนะ มีปัญหาเรื่องเงินหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ"
"เอางี้ เด๋วลุงจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกสิบห้าเปอร์เซ็น แต่ห้ามบอกใครนะ เพราะปกติแล้ว เขาไม่ขึ้นเงินเดือนกันเยอะขนาดนี้ อย่างมากสุดก็ไม่เกินสิบเปอร์เซ็น"
"ครับ"
"ตอนนี้เช่าห้องอยู่เท่าไหร่"
"พันเก้าครับ"
"เดี๋ยวลุงออกค่าเช่าห้องให้ แต่ต้องเป็นความลับนะ"
"ครับ ขอบคุณคุณลุงมากครับ"
พอออกมานั่งทำงาน ผมเริ่มสงสัยว่า คำว่า "ไม่มีครับ" ที่ผมตอบคุณลุงไปนั้น คุณลุงเข้าใจผิดว่าผมไม่มีตังหรือเปล่า เลยขึ้นเงินเดือนให้ แถมยังมาจ่ายค่าห้องให้อีก
พอถึงช่วงปลายสัปดาห์ ผมมักจะมีเพื่อนๆมาหาที่ห้อง แล้วก็ออกไปหาอะไรทำกัน ไปถ่ายรูป ไปเดินสวน แต่มาสัปดาห์นี้ เพื่อนอีกคนบอกว่า มีเพื่อนมาจากบ้านนอก มาอยู่แถวตลิ่งชัน มันชวนไปที่นั่น เลยตัดสินใจไปตลิ่งชันกัน
จากแจ้งวัฒนะ 14 ขึ้นรถเมล์ สายอะไรบ้างจำไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ทาง จากสิบโมงถึงบ่าย ยังไม่มีท่าทีว่าจะถึง
"กูหิวข้าวแล้วหวะ"
ท้องผมเริ่มร้องเรียกหาสารอาหาร ที่มันยังไม่มีมาถึงลำใส้เล็กเลยตั้งแต่ตื่นเช้ามา
"ไปถึงค่อยกินที่โน่นก็ได้"
"แล้วอีกนานมั้ย กว่าจะถึง"
"ก็มาครึ่งทางแล้ว"
นี่เพียงแค่ครึ่งทาง ปาไปสองสามชั่วโมง คงเหลืออีกสองสามชั่วโมงหละกว่าจะถึงตามหลักทางคณิตศาสตร์
"กูว่าลงไปหาไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปต่อดีกว่า เดี๋ยวค่ารถที่ต่อไปกูจ่ายเอง กูหิว"
ผมเริ่มไม่ไหว
หลังจากอิ่มกัน ก็เริ่มหารถที่จะไปต่อ รออีกสามสี่นานรถสายนั้นก็ยังไม่มา
"ขึ้นแท็กซี่ไปกันมั้ย กูจ่ายเอง ไม่ไหวหวะ ร้อน"
"จ่ายใช่ปะ"
พอมีคนออกตัง แถมยังนั่งสบาย ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนปฏิเสธผม
แท็กซี่เขียวเหลืองคันใหม่ เบาะผ้าอย่างดี ผมถือโอกาสนั่งหน้าเพราะอยากเห็นทาง ส่วนเพื่อนอีกสองคนนั่งเบาะหลัง
ในความคิดตอนนั้น ตอนที่ก้นและหลังได้สัมผัสกับเบาะรถ หลังจากนั่งหลังแข็งตูดด้านมาบนรถเมล์แบบหิวโหย
ตอนนี้อารมณ์ความรู้สึกมันคนละเรื่องเลย
ทำไมมันสบายอย่างนี้ สบายในแบบที่ไม่รู้สึกมาก่อน ทั้งๆที่เก้าที่ทำงานก็นั่งสบายที่สุดในออฟฟิศ แอร์ก็เย็นไม่ต่างกัน แต่ทำไมตอนนี้ ความรู้สึกสบายมันมีมากกว่า
ถ้าเราอยากจะสบายแบบนี้ไปตลอดเราควรทำยังไง ทำงานนี้ต่อไปหรอ แล้วเมื่อไหร่จะมีอะไรที่เหมือนชาวบ้านเขา อันจะกินก็พอมี แต่อันที่เกินจะกินยังน้อยอยู่ ความสะดวกสบายเรายังขาดมันในบางส่วน
ถ้าเราเรียนจบแค่ ม. 6 แล้วทำงานนี้ไปเรื่อยๆ ที่อื่นเขาจะรับเรามั้ย เขาจะขึ้นเงินเดือนให้เราเยอะกว่านี้หรือเปล่า คำตอบคือ ไม่น่าจะมีทาง อย่างมากก็ไม่กี่พัน แล้วจะต้องใช้เวลานานกี่ปี
"กูจะลาออกจากงาน แล้วไปเรียนต่อหวะ"
ผมหันหน้าไปหาเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง
สองคนนั้นทำหน้างงๆ ไม่รู้ว่าผมมาอารมณ์ไหน คงติส-อีกตามเคย
พอถึงวันทำงาน ผมเริ่มหาข้อมูลว่าผมจะเรียนต่อที่ไหนดี
ผมเข้าไปคุยกับคุณลุงว่าอาจจะลาออกไปเรียนต่อ
แต่คุณลุงให้ข้อเสนอว่า ลองหาที่เรียนใกล้ๆสิ ภาคค่ำก็ได้ จะได้ทำงานไปด้วย
ตัวเลือกเริ่มเกิด
ระว่างราชภัฏพระนครภาคค่ำ สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ กับศรีปทุม สถาปัตย์...