[CR] Espresso Gallery สาขาสุรวงศ์ : ร้านกาแฟที่เกือบจะแมสเกือบจะอินดี้

กระทู้รีวิว
สวัสดีครับ เนื่องจากว่าผมเป็นคนที่เข้าร้านกาแฟบ่อยมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเป้าหมายของผมคือการออกตามล่าหาร้านกาแฟในเมืองที่บรรยากาศดีงาม  สามารถนั่งชิลแบบใช้ชีวิตกินอยู่กันได้ทั้งวันทั้งคืน มีขนมอร่อยๆ กาแฟหอมๆฟรุ้งฟริ้งกิงก่องแก้ว ที่สำคัญต้องมีราคาที่สมเหตุสมผลพอที่มนุษย์มนาจะซื้อหามาทานได้ครับ ซึ่งจุดเริ่มต้นของผมในการตามล่าหาร้านในฝันนั้นเกิดขึ้นเพราะคุณแฟนของผมเขาอยู่ในช่วงที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ตลอดเวลา ตลอดชีวา ตลอดกาลนานเทอญ) ซึ่งครั้นจะให้นางอ่านหนังสือกินนอนอยู่กับบ้านนางก็จะว่าบ่นเบื่อ...ไม่ศิวิไล...ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างหนักหน่วงควงสว่าน ทั้งที่วันธรรมดาก็ต้องออกไปทำงาน เดินทางตลอด 5 วันเต็มอยู่แล้ว (ยังจะเบื่ออะไรอี๊ก) และด้วยความเห็นอกเห็นใจของสุภาพบุรุษผู้รักแฟน เราก็เลยต้องพาออกมาใช้ชีวิตชิคๆแบบคนกรุงฯกันบ้าง ซึ่งจุดหมายในการปักหลักอ่านหนังสือของนางก็คือร้านกาแฟนี่แหละครับ และหลังจากที่ออกลาดตระเวนตามหาร้านกาแฟมาสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะทำบันทึกไว้นะจึงได้เกิดมาเป็นกระทู้นี้นี่แหละครับ ...
เกริ่นที่มากันมาพอสังเขปแล้ว ผมขอเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ... การรีวิวของผมนั้นจะขอแบ่งเป็นหัวข้อๆ เพื่อง่ายต่อการสรุปความดีงามสามร้อยยอดของตัวร้านที่ผมไปนะครับ โดยร้านที่ผมจะขอทำรีวิววันนี้ก็คือร้าน Espresso Gallery สาขาสุรวงศ์ครับ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ผมขับรถผ่านอยู่บ่อยๆ เห็นว่าชื่อแปลกดี (คือแฟนผมแกโรคจิตหน่อยๆครับ นางจะไม่ค่อยชอบไปร้านที่ชื่อติดหูหรือติดตลาดระดับคนต่อคิวรอทานครับ เพราะนางคิดว่าร้านที่ดังมากๆ แล้วน่าจะรวยพอแล้วและด้วยความที่ึคนเยอะจะรู้สึกว่าเขาอาจจะรีบๆทำแบบไม่ตั้งใจเลยไม่อยากจะไปสนับสนุน อะไรมาก ขออุดหนุนร้าน stand alone ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจะดีกว่าครับ นอกจากว่าร้านนั้นจะดีเลิศประเสริฐศรีมณีฉายสกายแล็ป แป็ปๆอตอมมิกจริงๆ) แต่ไม่เคยได้แวะสักที พอได้โอกาสแล้วก็ต้องขอมาลองเทสดูหน่อย ซึ่งผมมาหาข้อมูลทีหลังก็พบว่าจริงๆร้านนี้ก็มีสาขานะจ๊ะ เหมือนจะอยู่แถวๆ MRT ลาดพร้าว ใครสนใจก็ลองไปดูที่แฟนเพจของร้านได้ครับ https://www.facebook.com/espgallery/timeline?ref=page_internal

การเดินทาง

สำหรับการเดินทางมาที่ร้าน Espresso Gallery สาขาสุรวงศ์นั้นถ้ามาด้วย MRT ให้ลงสถานีสีลม (ค่อนข้างไกลหน่อยนะครับ) ส่วน BTS ก็ลงสถานีช่องนนทรี จากนั้นถ้าไม่รีบผมแนะนำให้ขึ้นรถประจำทาง (เส้นทางอาจจะดูอ้อมหน่อยนะ) ไปลงแถวองค์การโทรศัพท์แล้วเดินย้อนไปทางถ.พระรามสี่ประมาณ500เมตรก็จะเห็นร้าน Expresso Gallery อยู่หัวมุมถนนติดกับร้าน Scoozi Pizza


แต่ถ้าใครขับรถมาก็มีที่จอดรถให้ด้านหลังภายในรั้วบ้านสุริยาศัย (แต่จอดได้ไม่ถึง10คันนะ)

โดยลูกค้าที่ประทับบัตรจอดรถจากร้าน Espresso Gallery จะสามารถจอดได้ 2 ชั่วโมงครับ (จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมเคยมาจอดที่นี่เพื่อไปกิน Scoozi ตอนประมาณ 2 ทุ่มนะ จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้มีการแจกบัตรจอดรถอะไรเลย ก็จอดฟรีไป) เกินจากนี้รปภ.แนะนำผมว่าให้ไปวนรถ ห๊ะ!!! ให้ผมไปวนรถเนี่ยนะ กลับมาคงจะมีที่ให้จอดแน่ๆ สำหรับใครที่จะมาจิบกาแฟสักแก้วแล้วนั่งชิลไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็น่าจะตอบโจทย์อยู่ แต่สำหรับผมที่มีเป้าหมายในการมาปักหลักรากงอกอ่านหนังสือสักครึ่งวันให้คุ้มกับค่ากาแฟแล้วผมว่ายังไม่ตอบโจทย์ ผมจึงขอแนะนำว่าใครที่กะจะมาปักหลักที่นี่แต่ไม่อยากเดินหรือพึ่งรถสาธารณะแล้วล่ะก็ควรปั่นจักรยานมาแบบฮิปสเตอร์น่าจะตอบโจทย์สุดๆครับ ...

บรรยากาศ
พื้นที่ของร้าน Espresso Gallery นั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆนะครับ คือด้านนอกกับด้านใน


ด้านนอกนั้นจะอยู่ภายในรั้วของบ้านสุริยาศัย จัดเป็นสวนเล็กๆเขียวๆ (อย่าคาดหวังเยอะนะครับ) ถ้ามานั่งช่วงเช้าๆก็น่าจะโอเคอยู่ แต่ผมไปตอนบ่ายก็คงจะสู้แดดไม่ไหว ขอหลบเข้าไปอยู่ด้านในดีกว่าครับ ...

ภายในร้านผมถือว่ากว้างขวางแอร์เย็นสบาย วันที่ผมไปคนค่อนข้างเยอะ

แต่ถ้าอยากได้มุมสงบเป็นพิเศษก็จะมีเคาน์เตอร์หลืบๆอยู่ด้านข้างครับ


ส่วนผมขอเลือกมุมโซฟาดีกว่า ซึ่งเบาะของโซฟาของที่นี่หนานุ่มนั่งสบายใช้ได้อยู่นะ ร้านโปร่งสบายตา โดยรวมแล้วบรรยากาศของที่นี่ก็เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว แต่ติดที่เพลงคลอที่ร้านเปิดนี่แหละ เรียกว่ายก Billboard Chart มากันเลย

ถ้าหลับตาอยู่ในร้านนี่นึกว่าจิบกาแฟอยู่ที่ McCafe ของ McDonald คนอื่นอาจจะชอบนะแต่สำหรับผมแล้วร้านกาแฟสไตล์นี้น่าจะเปิดพวกเพลงแจ๊สหรือเพลงคลาสสิคคลอเบาๆมากกว่า นี่เล่นเปิดแร็พสลับกับร็อค ผมนี่อ่านหนังสือไปโยกตามไปเลยเชียว ถ้าเกิดให้ผมนั่งอีกสักชั่วโมงอาจจะลุกขึ้นเต้นก็ได้นะ ...

อาหารและเครื่องดื่ม
รีวิวผมอาจจะแปลกๆหน่อยนะครับ ที่ไม่เอารูปขนมมารีวิวก่อน (คือผมอยากจะลำดับไปตามสิ่งที่ผมเจอนะครับ) อ่านมาถึงตรงนี้ถ้าไม่ข้ามกันมาก่อนก็คงอยากจะรู้กันแล้วว่ารสชาติกาแฟของที่นี่จะเป็นอย่างไร



ซึ่งเมนูที่ผมสั่งมาก็คือ ม็อคค่าร้อน (จริงๆแล้วเวลาผมไปกินที่ไหนก็จะสั่งแต่ม็อคค่าร้อนนี่แหละ ถือเป็นสแตนดาร์ทของผมละกัน) ม็อคค่าของที่นี่มาเป็นลาเต้อาร์ทสวยงามฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกรุ้งกริ้ง สีกาแฟออกน้ำตาลอ่อนๆไม่เข้ม กลิ่นกำลังดี รสชาตินุ่มละมุ่นลิ้น ไม่แหลมบาดคอ มาพร้อมกับถ้วยสเตนเลสเล็กๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นผงโกโก้เผื่ออยากปรุงเพิ่ม (เอ๊ะ นี่มันกาแฟหรือเส้นเล็กต้มยำ) แต่พอเปิดฝาออกมา อ้าวไม่ใช่โกโก้แฮะ แต่เป็นน้ำตาลทรายแดง ก่อนจะเติมน้ำตาลเลยลองชิมดูก่อน ซึ่งผมเป็นคนที่ชอบทานกาแฟหวานพอสมควร สัมผัสแรกจากกาแฟถ้วยนี้จึงทำให้ผมรู้สึกขมไปหน่อย ผมขอเทียบกับกาแฟของ Starbuck ซึ่งม็อคค่า Starbuck แบบปรกติจะหวานกว่าแก้วนี้ประมาณ 5 เท่า ผมเลยขอเติมน้ำตาลสัก 3 ช้อนก็ดีขึ้นมาหน่อย หวานกลางๆประมาณครึ่งนึงของ Starbuck ครับ


ส่วนขนมตอนแรกว่าจะสั่งบราวนี่จากในตู้แต่เหลือบไปเห็นเมนูพอดี



เลยเปลี่ยนใจไปสั่งวาฟเฟิล คาราเมลแทน ซึ่งเมนูนี้เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมรสวนิลาโปะวิปครีมและเชอร์รี่ ราดซอสคาราเมลเป็นลายตาข่ายทั่วจาน ที่ขอชมเลยคือเนื้อวาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มใน ทำได้ไงอะ! แบบผิวสัมผัสพองามมาก รสชาติไม่หวานเกินไป เอาเข้าปากปุ๊บก็ได้กลิ่นหอมๆของเบเกอร์รี่ลอยฟุ้งขึ้นจมูก เรียกว่าเอามาแค่วาฟเฟิลเปล่าๆ 10 ชิ้นผมก็กินหมดอะ

แต่ความสุขมันมาสะดุดตรงไอศกรีมที่เสิร์ฟมาคู่กันในจานนี่แหละ คือเป็นไอศกรีมที่เหมือนถูกเอาไปอัดบล็อกทรงกระบอกมาก่อน ผมไม่แน่ใจว่าเป็นไอศกรีมโฮมเมดที่ร้านทำเองหรือเปล่า แต่เนื้อไอศกรีมมันมีเกล็ดน้ำแข็งแทรกอยู่ และไม่แน่นไม่เหนียวแบบที่ควรจะเป็น ปัญหาของไอศกรีมจานนี้มันอยู่ที่เนื้อไอศกรีมล้วนๆเลยนะครับ เพราะรสชาติมันโอเคอยู่นะให้ความรู้สึกว่ามาจากครีมจริงๆ (อารมณ์ว่าเอาครีมผสมนมแล้วไปปั่นให้ฟูจากนั้นก็แช่แข็งอะ) ติดอยู่นิดเดียวจริงๆอยากให้ลองปรับสูตรไอศกรีมดู แต่ถ้าไม่สามารถจริงๆก็ลองเป็นไอศกรีมดัดแปลงมาใช้แก้ขัดไปก่อนอาจจะดีกว่า หรือถ้าอยากจะทานจานนี้ให้อร่อยจริงๆเลยนะผมว่าก่อนจะปั่นจักรยานมาที่ร้านก็แวะ Villa Market ซื้อไอศกรีม Ben & Jerry's หรือ Häagen-Dazs มาด้วย จะได้กินวาฟเฟิลจานนี้แบบฟินๆนะครับ
ส่วนเรื่องราคาค่าเสียหายมื้อนี้แบ่งเป็น ม็อคค่าแก้วกลาง 85 บาท และวาฟเฟิลจานละ 130 บาท รวมก็ 215 บาท ถือว่ามาตราฐานของร้านประมาณนี้ไม่ถูกไม่แพง ถ้าจะเทียบราคากาแฟก็ถูกกว่า Starbuck อยู่หน่อย และแพงกว่า Amazon นิดๆ เรียกว่าอยู่ตรงกลางจ้า

สิ่งอำนวยความสะดวก
สำหรับคนที่จะมาปักหลักอย่างผมแล้ว สิ่งที่ผมมองหาก็คือเรื่องความสะดวกสบายที่ร้านมีให้นี่แหละครับ

ซึ่งที่นี่ก็มี Free Copy ให้หยิบอ่านได้ตามใจเลยครับ หรือถ้าอยากจะอ่านพวกนิตยาสารที่นี่ก็มีนะครับ พออ่านแก้เบื่อได้อยู่

ด้านข้างเคาน์เตอร์มีน้ำเปล่าเย็นฟรีไว้ให้บริการตัวเองครับ ซึ่งเป็นมาตราฐานอยู่แล้ว

แต่ถ้าแอบดื่มเยอะเกินจนปวดฉี่แล้ว จะต้องข้ามไปเข้าห้องน้ำที่ฝั่ง Scoozi นะครับอยู่หลังร้าน ส่วน Wi-Fi ของที่นี่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มถึงจะเข้าได้ครับ อันนี้แอบขัดใจนิดๆแต่เห็นว่านั่งแค่ 2 ชั่วโมงไม่ต่อ Wi-Fi ก็ได้

สรุป : ร้านกาแฟที่เกือบจะแมสเกือบจะอินดี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เป็นอารมณ์ที่เกือบจะฟินอยู่แล้วเชียว แต่ก็ไปไม่สุด ด้วยบรรยากาศที่เกือบจะดีแต่ติดที่เพลงคลอในร้านไม่อำนวยเอาเลย จะให้ดีลองพก Headphone ส่วนตัวมาด้วยจะได้เลือกเพลงที่เหมาะกับบรรยากาศหน่อย วาฟเฟิลรสเลิศที่มาคู่ไอศกรีมเนื้อประหลาดที่ไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นไอศกรีม ยิ่งทำให้รู้สึกไม่สุดเข้าไปใหญ่ อารมณ์เหมือนเอารถสปอร์ทมาติดแก๊ส ไหนจะให้นั่งเสพบรรยากาศจนเกือบเคลิ้มแต่ดันต้องมาพะวงกับที่จอดรถอีก มันไม่ใช่อะกิ๊ฟ!?
สรุปแล้วร้าน Espresso Gallery ในนิยามของผมคือร้านที่มีความดีและความขัดใจในระดับคู่คี่กันไป แต่โดยรวมแล้วก็เป็นร้านที่น่าจะลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเองสักครั้งนะครับ เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ผมกับคุณอาจจะมีรสนิยมไม่เหมือนกันก็ได้ อีกอย่างที่ร้านก็มีเมนูให้เลือกอีกเยอะ ไม่แน่ผมอาจจะพลาดอะไรเด็ดๆโดนๆของร้านไปก็ได้
สุดท้ายผมขอตัดจบที่การให้คะแนนร้าน Espresso Gallery ที่ 62.5 จาก 100 คะแนนครับ แล้วพบกันใหม่กระทู้หน้าครับ
ชื่อสินค้า:   Espresso Gallery
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่