คดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง ยกฟ้องคุณนพดล ปัทมะ ในเรื่องพระวิหาร นี่แหละความเป็นธรรม...

กระทู้คำถาม
* ก่อนอื่น ขอเอ่ยถึงสลิ่มก่อนนะครับ  ไม่อยากได้ยินคำว่า พอถูกใจก็ว่าศาลเป็นธรรม พอไม่ถูกใจก็ว่าศาลเอียง
(แต่ก็เชื่อว่า ถึงดักคอไว้ขนาดนี้ สลิ่มก็จะเข้าโพสต์แบบนั้นอยู่ดี เพราะไม่มีสติปัญญาพอที่จะโพสต์อะไรเกี่ยวกับเนื้อหาได้)

ทู้นี้ จะพิจารณาที่เนื้อหา  เหตุผล  ข้อมูล  หลักฐาน  และความเป็นมาแห่งคดีความ

คำพิพากษา กับ ความเป็นธรรมนั้น  เป็นของคู่กัน     นั่นแหละจึงเรียกว่า  ยุติธรรม   คือยุติลงด้วยความเป็นธรรม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

--------------------------------------------------------------



ปี 50  คุณนพดล  ปัทมะ  ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ   ได้ลงนามใน "แถลงการณ์ร่วม" (join communique) ไทย-กัมพูชา
ว่า ไทยสนับสนุนให้เขมรขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก  ส่วนพื้นที่โดยรอบพระวิหาร ไม่เกี่ยว ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท

เพราะตอนแรกนั้น  เขมรได้ทำเรื่องขึ้นทะเบียนแบบยกเข่ง  คือเอาพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รวมเข้าไปเป็นมรดกโลกของเขมรด้วย
คุณนพดลค้านต่อ UNESCO    จนสุดท้าย UNESCO กับ เขมร  ยอมรับ  ขึ้นทะเบียนแค่ตัวพระวิหารเป็นมรดกโลก
ส่วนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.  ยังให้เป็นพื้นที่ทับซ้อนเหมือนเดิม

เท่านั้นแหละ   พันธมิตรโดยแป๊ะลิ้ม  ก็สร้างลัทธิคลั่งชาติขึ้นมาทันที   ตามด้วย ปชป.
และลามมาถึงเหล่าคนดี   จนกระทั่งกลายมาเป็นสลิ่ม

อ้างว่า  ไทยเราเป็นเจ้าของพระวิหาร   ที่ศาลโลกพิพากษาให้พระวิหารเป็นของเขมรเมื่อปี พ.ศ. 2505  นั้น
จอมพลสฤษดิ์  ได้สงวนสิทธิ์ไว้   รอเวลาที่จะฟ้องเอาพระวิหารกลับคืน
เมื่อนายนพดลไปทำแถลงการณ์ร่วม  สนับสนุนให้เขมรขึ้นเป็นมรดกโลก  ก็เท่ากับยกพระวิหารให้เขมร

อ้างว่าคุณนพดลทำให้ไทยเสียดินแดน  เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ให้เขมร

ทั้งที่ความจริงแล้ว   เราไม่โดนฮุบพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไปด้วยต่างหาก

ส่วนตัวพระวิหารนั้น   ผ่านมากี่ปีแล้ว  จาก 2505 ถึง 2551   รวม 46 ปี
สงวนสิทธิ์อะไรหนาดน้าน

ผ่านมา 46 ปี  ไม่เคยแสดงสิทธิ์ที่สงวนไว้   มิดอิ่มสิ่ม  (และทุกวันนี้ก็เหมือนอมสาก  ไม่มีคำว่าเอาพระวิหารคืนสักแอะ)
แต่พอเขาจะขึ้นเป็นมรดกโลก

เท่านั้นแหละ  อ้างสิทธิ์ทันทีว่าสงวนที่จะทวงคืนไว้อยู่นะ
ไม่รู้จะเอาอะไรไปทวง

งึดคัก



พรรค ปชป. ยื่นคำร้องถึงลูกพี่ เอ๊ย ถึงศาลรัฐธรรมนูญ   ว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา นั้น
ขัดรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190

กรกฎาคม 2551   ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า   แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา  เป็นหนังสือสัญญา
ที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต   จึงวินิจฉัยว่า คุณนพดล  ทำผิดรัฐธรรมนูญ ไม่นำเรื่องเข้ารับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน

ทั้งที่ตัวบทรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า  "หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต"
แต่ศาลรัฐธรรมนูญใช้วิธีใส่คำว่า "ที่อาจ" เข้าไป   แล้วบอกว่าคุณนพดลผิด  
(ทำไมศาล รธน. ไม่บอกว่าแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญามีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไปเลยก็ไม่รู้
ผมคิดว่า ก็คงเพราะตัวแถลงการณ์ร่วมไม่มีบทอย่างนั้นนั่นเอง
เลยใช้วิธีเติมคำว่า "ที่อาจ" เพื่อโมเมวินิจฉัยเอาผิดคุณนพดลให้ได้)

ปชป. ได้คำวินิจฉัยมาแล้ว  ก็ยื่นเรื่องต่อคู่หู เอ๊ย ต่อ ป.ป.ช.  ให้ดำเนินคดีอาญากับคุณนพดล

ป.ป.ช. ก็ดำเนินการทันที

ว่าคุณนพดลกระทำผิดมาตรา 157  ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
มีพฤติกรรมไปพบปะกับทางฝ่ายกัมพูชาในวันนั้นวันนี้    นอกจากนายนพดลแล้ว  
นายสมัคร  สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ไปพบผู้นำเขมร  พบรองนายกฯ เขมร  
เพื่อพูดคุยในเรื่องนี้  โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เรื่องพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลให้คุณทักษิณ

คือ  ยกพระวิหารให้เขมร  เพื่อแลกกับสัมปทานน้ำมันบริเวณพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย  
(เหตุผลแค่นี้  เด็ก ป.3  ก็ดูออก  ว่าเขมรไม่น่าโง่ขนาดนั้น  ที่จะยกสัมปทานมหาศาลให้ทักษิณ แลกกับพระวิหาร
แต่สลิ่มก็เชื่อ  สื่อสลิ่มก็เล่นข่าวโจมตีไม่หยุด   แต่ตอนนี้ ไม่มีสื่อสลิ่มไหน แนวหน้า ไทยโพสต์ เอเอสทีวี  เอ่ยถึงพระวิหาร  เงียบกริ๊บ)

ป.ป.ช. ทำสำนวนฟ้องส่งอัยการ    อัยการเห็นควรไม่ฟ้อง
ก็มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการ-ป.ป.ช. เพื่อขัดเกลาสำนวน

ร่วมกันอยู่ 4 ปี  จนถึงปี 55   อัยการก็ยืนยันว่าไม่สั่งฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่พอ

แต่ ป.ป.ช. ยืนยันฟ้อง    เมื่ออัยการไม่ฟ้องให้
ป.ป.ช. จึงใช้เงินงบประมาณไปจ้างทนายจากสภาทนายความฟ้องให้ (ไม่รู้จ้างเท่าไร  มีแบ่งกันหรือเปล่าไม่รู้)

จนถึงวันพิพากษา  4 กันยายน 2558

ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯ  พิพากษาว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา   ไม่ใช่หนังสือสัญญา  (ศาลรัฐธรรมนูญรู้สึกอะไรไหมครับ)

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาว่า  คุณนพดลไม่ผิดมาตรา 157
คำกล่าวหาต่าง ๆ ของ ป.ป.ช. ฟังไม่ขึ้น

โดยเฉพาะกรณีที่กล่าวหาว่าคุณนพดล กับทักษิณ  ได้ประโยชน์ทางสัมปทานพลังงาน

ยกฟ้อง



น่าตลกนะครับ   มีพยานสองคนที่ ป.ป.ช. นำไปเป็นพยานในศาล
  
คือนายสมชาย  แสวงการ  และนางสาวรสนา  โตสิตระกูล  
ในเรื่องกล่าวหาว่าทักษิณมีหุ้นในบริษัทเอกชนที่จะได้เข้าไปขุดน้ำมันในอ่าวไทย

พยานทั้งสองคนนี้  ให้ปากคำในศาลว่า   ได้รับข้อมูลจากสื่อเท่านั้น   ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดทั้งสิ้น

ตลกผุด ๆ   จะเอาคนเข้าคุก   ก็จะอาศัยแต่ข่าว  กล่าวหา    ไม่รู้คิดได้ไง  ทำได้ไง

เหมือนฟ้องให้ได้   แบบมีธง   แต่บังเอิญศาลท่านไม่เล่นด้วย



คงจำได้นะครับ  เรื่องผลประโยชน์ทางพลังงานนี่    ปชป. กล่าวหาตลอด
จนคุณนพดลประกาศให้รางวัล 10 ล้าน  หากมีหลักฐานว่าคุณทักษิณมีหุ้น มีผลประโยชน์ใด ๆ
ไม่ว่ากับบริษัทต่างชาติ   หรือกับ ปตท.

พอโดนคุณนพดลท้า    ปชป. ก็เงียบกริ๊บ

และคงจำได้นะครับ   ว่าไอ้ตัวกินไก่ที่แอบไปคุยกับเขมรสองสามครั้งเรื่องพลังงานในอ่าวไทยน่ะ
คือเทพเทือก

โดนเขมรเขาแฉซะอย่างน่าอาย    
ไปขอพบฮุนเซน  ฮุนเซนบอกไม่ยุ่ง  เป็นเรื่องของซกอานรองนายกฯโน่น
เทพเทือกก็ตื้อไปขอพบซกอาน  ทั้งที่จีน ทั้งที่ฮ่องกง

พอเรื่องแดงออกมา   ก็แถว่า ครม.มีมติให้ไปคุย  ไม่ได้มีการทำสัญญาใด ๆ

หึหึ  หวังแหลกเปอร์เซนต์หากคุยได้เรื่อง   แหลกเปอร์เซนต์จากบริษัทน้ำมันนั่นแหละ
งานถนัด   ทางทำมาหากินมาตลอด



ถึงวันนี้   เมื่อไล่เรียงดูเรื่องราว  ดูข้อมูล  ดูเหตุผล  ดูหลักฐาน
จึงสมควรแล้วที่คุณนพดลจะพ้นมลทินที่โดนกล่าวหามาตลอด 7 ปี

ปี 56  ที่ไทยกับเขมรขึ้นศาลโลกอีกครั้งในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นั้น
หากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา  ที่คุณนพดลทำ   ไม่โดนยัดผิดให้  และยังมีผล

จะเป็นหลักฐานชั้นดีเลยครับ  ว่าเขมรยอมรับพื้นที่ 4.6 ตร.กม. นั้น  ไม่ใช่ของเขมร
เพราะเขมรได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับคุณนพดลไว้แล้ว

แต่เพราะศาล รธน. ได้บอกว่าคุณนพดลไม่นำเข้ารับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน  
จึงทำให้แถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นมีผลเป็นโมฆะ   ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้

นี่คือความจริงครับ   ว่าใครกันแน่   ที่(เกือบ)ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน

เป็น ปชป.   ศาลรัฐธรรมนูญ  หรือคุณนพดล  ปัทมะ



เพราะเล่นเกมการเมือง   เพราะมุ่งทำลายล้างทางการเมือง
หลักกฎหมายจึงไม่เป็นกฎหมาย   สังคมจึงวุ่นวาย   ความขัดแย้งแตกแยกจึงขยายกว้าง

หวังว่า   คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ในคดีนี้   จะเป็นบทเรียนให้สลิ่มได้คิด

จะเห็นว่า  ข้อเท็จจริง  ข้อกฎหมาย  เหตุผล  ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ท่านยกมาอธิบายและยกฟ้องนั้น
ชัดเจน  ไม่คลุมเครือ  ไม่มีข้อโต้แย้ง

ความเป็นธรรม  คือเครื่องมือที่จะขจัดความข้ดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองครับ   ไม่ใช่อำนาจ






ถึงวันนี้   ชาว อ.กันทรลักษณ์  จ.ศรีสะเกษ   อันเป็นเมืองหน้าด่านสำหรับผู้ที่จะไปขึ้นชมพระวิหาร
ยังพูดกันไม่เลิกว่า   พวกตูอยู่ดี ๆ  ทำมาหากินอยู่ดี ๆ มาเกือบห้าสิบปี
แล้วทำไมพวกพันธมิตร  พวกคลั่งชาติ  มันถึงมาสร้างความเดือดร้อนให้

ค้าขายไม่ได้   ต้องวิ่งหลบลูกปืน  เจ็บ  ตาย
เคยมีรายได้วันละห้าหกพัน   ช่วงนั้นได้วันละห้าร้อย  

มีหน้าไหนรับผิดชอบ ?




คุณนพดลใจกว้าง  ที่ไม่ฟ้องใครกลับ
อยากบอกคุณนพดลว่า  เสียเวลาโดนด่า โดนประจาน  ญาติพี่น้องเดือดร้อนไปหมดตั้ง 7 ปี
น่าจะเสียเวลาเล่น ๆ อีกสักห้าปีเจ็ดปี  ฟ้องกลับซะให้เข็ด

โดยเฉพาะพวก ป.ป.ช.    ที่ชัดเหลือเกินว่าน่าจะเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

แต่ก็ดีแล้วครับ
กับคนบางพวกนั้น   แผ่เมตตาไปเถอะ    สบายใจกว่า

เก็บไม้สั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า
อมยิ้ม01


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่