สวัสดีค่ะพี่น้องชาวพันทิป นี่เป็นกระทู้แรกที่เขียนรีวิว เลยรู้สึกประดักประเดิดพิกล ที่อยากมารีวงรีวิวกับเค้าบ้างเนี่ยเพราะโดยส่วนตัวชอบประเทศนี้มาก เลยอยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ออกเดินทางไปประเทศนี้กันเยอะๆ ไม่ใช่ไปแบบไปหย่อนเท้าแล้วถึง แต่อยากให้ไปได้รู้จักกับบ้านเมือง ผู้คน ความคิด และวิถีชีวิตของคนเมียนมาร์จริงๆ
คำเตือนแรกเลยอยากเตือนว่า รีวิวนี้จะยาวมาก เพราะจะมีเนื้อหาตลอดการเดินทางทั้ง 10 วันไปไหน ไปยังไง เจอใครบ้าง คุยอะไรกัน ได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางบ้าง อิชั้นจะร่ายหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนคอเดียวกัน ซึ่งเดี๋ยวจะแบ่งให้เป็นตอนๆ ทั้งหมด 7 ตอนนะคะ งั้นไปกันเลยค่าาาาาาา
ปล. จขกท ยังไม่ได้ระบุเพศตัวเอง อาจมีคำลงท้ายค่ะ บ้าง ครับบ้าง ก็อย่างงนะคะ 5555
มิงกะลาบาเมียนมาร์1: 2 วันแรก ณ ย่างกุ้ง
สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปครั้งนี้ ถือว่าทำการบ้านน้อยมากเรามีหนังสือแค่สองเล่ม เล่มแรกเป็นหนังสือแนะนำท่องเที่ยว อีกเล่มเป็นหนังสือเกี่ยวกับประโยค คำศัพท์ภาษาพม่าพื้นฐาน พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆ หนังสือสองเล่มนี้ช่วยเราได้มาก นอกนั้นก็อาศัยการถามพนักงานที่พัก คนท้องถิ่น และเพื่อนนักเดินทางที่เจอ รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง ใครจะไปแนะนำหาหนังสือสักเล่มพกติดตัวไปจะเป็นประโยชน์และอุ่นใจ ช่วยได้หลายอย่างเลยครับ
นั่งเครื่องมาสักประมาณชั่วโมงเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง นางเป็นสนามบินเล็กๆ น่ารัก สะดวกสบายเชียวแหละ อยากบอกทุกคนว่า ตม.ที่นี่มีช่องค่อนข้างน้อย ดังนั้นใครไม่อยากต่อคิวนานก็รีบออกจากเครื่องเดินไปต่อคิวตม.เลยก็ดีนะ ในระหว่างต่อคิวทำอะไรไม่ได้เลย น้องจากยืนสลับขาเล่นไปมา ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือหาเพื่อนคุย พอดีข้างหลังเราเป็นพี่ผู้หญิงผู้ชายคนไทยสองคนที่เขาเป็นแฟนกัน เราก็เริ่มชวนคุยทักทายปกติ "มาเที่ยวกันเหรอครับ" ประโยคง่ายๆ ที่เริ่มสนทนา และทำให้เรารู้ว่าพี่เขามาเที่ยว 1 วัน และกำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน ดังนั้นเราก็เลยขออนุญาตไปแท็กซี่คันเดียวกับพี่เขาเพื่อที่จะได้หารค่าแท็กซี่กัน เพราะจากสนามบินไปในเมืองนี่ระยะทางค่อนข้างไกล และไม่มีรถโดยสารสาธารณะ การหาคนหารค่าแท็กซี่จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ดังนั้น ในระหว่างรอคิวตม. จงหาคนคุยนะครับ
เราได้ค่าแท็กซี่ราคาเหมา 8,000 จั๊ต 3 คนก็คนละประมาณ 2,700 จั๊ต แท็กซี่ที่นี่แปลกตรงที่พวกนางส่วนใหญจะไม่เปิดแอร์กันเลยครับ ถ้าใครจะเปิดแอร์ต้องจ่ายเพิ่ม วันนั้นร้อนมากเราก็เลยจ่ายค่าแอร์รวมไปใน 8,000 ถ้าไม่เปิดแอร์นางคิดแค่ 7,000 แต่เอาน่า แอร์หน่อยละกัน (บาท เป็น จั๊ต คิดง่ายๆ เอา 30 หารเงินจั๊ต ก็จะได้เป็นบามแบบหยาบๆ ครับ)
เมื่อรถออกสู่ท้องถนน เราก็ว้าววววว บ้านเมืองสะอาดสะอ้านดีจัง ถนนเลนกว้างใหญ่ ต้นไม้ร่มรื่นมากๆ นั่นเป็นความประทับใจแรกที่เราเห็น และเราชอบมาก รถราก็คับคั่ง นี่มันกรุงเทพฯ ย่อมๆ เลยนี่นา ซักพัก แท็กซี่ก็เปิดเพลงไทยเอาใจซะงั้น แอร์เย็นๆ ฟังเพลงไทย พูดคุยกับคนขับรถเมียนมาร์ ดูวิวเมียนมาร์ เป็นโมเม้นท์แรกที่อบอุ่นใจจริงๆ 55555
สถานที่ปลายทางในการลงแท็กซี่คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง 1 ใน 5 มหาบูชาสภานของประเทศเมียนมาร์ ถือว่าเป็นแลนมาร์คสำคัญของกรุงย่างกุ้งแห่งนี้ เรามาถึงก็สวัสดีของคุณพี่คนไทยทั้งสองและแยกกัน เราจัดแจงนุ่งโสร่ง และขึ้นไปยังเจดีชเวดากอง ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน เราต้องขึ้นบันไดไป ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าผ่านประตูด้วย แต่เรานุ่งโสร่งและมีเหง้าหน้าคล้ายคนท้องถิ่นเลยผ่านด่านจ่ายเงินไปอย่างง่ายดาย แม้จะมีกระเป๋าแบ็กแพ็คใบโตอยู่บนหลัง และนักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมกล้องถ่ายรูปด้วย แต่เราก็ยังไม่เอากล้องถ่ายรูปออกมา เอาออกมาอีกทีก็ตอนขึ้นไปถึงข้างบนก็เลยรอดไปอีกตามเดิม พอขึ้นไปถึงก็ต้องตะลึงกับความสวยงามของมหาบูชาสถานแห่งนี้ เจ้าพระคุณรุนช่อง มันใหญ่โต โออ่ามากจริงๆ และทุกอานาบริเวณวัด จะมีแต่สีทอง ทอง และทอง และคุณคะ ที่เห็นสีทองขององค์เจดีย์นั้น อยากบอกว่านางคือทองจริงทั้งหมดค่ะ เพราะชาวเมียนมาร์นี่เขาเอาจริงเอาจังเรื่องทำบุญกันมากๆ
ภายในมหาเจดีย์ชเวดากองจะมีพื้นที่บริเวณกว้างมาก เดินดูกันเพลิน เพราะมีแต่ของสวยๆ งามๆ แต่สำหรับเราแล้วสถาปัตยกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องร้องว้าว แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้จักคนเมียนมาร์มากขึ้นคือ ภาพความศรัทธา ของชาวเมียนมาร์ที่มีต่อพระพุทธศาสนา ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของมหาเจดีย์แห่งนี้ เพราะจากการเดินสำรวจดูแล้ว ทุกซอกทุกมุมของมหาเจดีย์จะมีประชาชนทุกเพศ ทุกวัย รวมทั้งพระ จะนั่งสมาธิ สวดมนต์ กันอย่างเอาจริงเอาจรัง ในทุกๆ ที่
เนื่องด้วยวันนั้นเป็นวันที่ร้อนระอุ และพื้นของบริเวณมหาเจดีย์ที่ปูด้วยพื้นกระเบื้องที่มีคุณสมบัติดูดความร้อนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ บวกกับกระเป๋าแบ๊กแพ๊คใบโตที่อยู่บนหลัง เราเลยไม่สามารถจะนั่งซึมซับที่นี่ได้นาน เราเลยตัดสินใจเดินไปหาที่พัก ซึ่งเราไม่ได้จองอะไรมาเลย มาตายเอาดาบหน้าล่วนๆ เราแค่มองหาโฮสเทลใน www.hostelworld.com อย่างที่เคยทำ หาโฮสเทลที่ราคาถูกๆ และทำเลดีๆ และแคปหน้าจอมือถือดูว่ามันไปยังไง แล้วก็ตัดสินใจเลือกที่จะเดินไปที่ Chinatown เพราะมี Hostel 2 แห่งที่อยู่บริเวณเดียวกัน เราก็ถามคนแถวนั้นเอาว่าเดินไปทางไหน ประกอบกับแผนที่ในหนังสือที่เตรียมมา แล้วก็เดินไปอย่างงงๆ
ในระหว่างทางเดินเราก็ได้ชื่นชมบรรยากาศสองข้างทางของเมียนมาร์ ซึ่งร่มรื่นมากๆ มีต้นไม้ตลอดสองข้างทาง แต่รถที่นี่ บีบแตรกันมันส์มาก จะเดินจะข้ามถนนทีรู้สึกผิดตลอด ว่ามันบีบบแตรใส่เราไม๊น้าาา เราทำไรผิดหรือเปล่า และคนขับรถที่นี่นะจ๊ะ นางจะไม่มีวันชะลอหรือหยุดให้คนข้ามถนนในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ริจะข้ามถนนที่นี่ ต้องเตรียมใจ และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จะมาพิทักษ์สิทธิ์คนข้ามไรอย่างนี้ มีหวังตายเปล่า 5555 เราเดินมาเรื่อยๆ เป็นระยะทางหลายกิโล ถามว่าเหนื่อยไม๊ เหนื่อย! แต่คือเวลาเดินในที่ใหม่ๆ เราก็จะมีแรงเดินไง มันได้ดูโน่นดูนี่ ทุกสิ่งใหม่ไปหมดในสายตาเรา มันมีกำลังใจเดิน เดินไปก็หิว เลยแวะกินอาหารข้างทาง อร่อยเหาะในราคา 40 บาท เออ บอกก่อนว่ากินอาหารเมียนมาร์นี่จะคอแห้งหน่อยนะเพราะนางรักที่จะใส่ผงชูรสกันเอามากๆ
เดินมาซักพักเราก็ผ่านโบสภ๋คริสต์หลังหนึ่งสวยงามมาก เราก็เลยเดินเข้าไปเยี่ยมชมซักหน่อย ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะชื่อ Holy Trinity Cathedral แหละม้าง อยู่ข้างกับตลาดสก็อต จากการสอบถามคนเฝ้าโบสภ์ก็ได้ความมาว่า ในกรุงย่างกุ้งจะมีโบสภ์คริสต์อยู่หลายแห่ง และเกือบทุกแห่งจะเป็นมรดกจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษเมื่อครั้งพวกนางยึดเมียนมาร์เป็นเมืองขึ้น นางก็เผยแพร่ศาสนาและสร้างโบสภ์ใหญ่โตโออ่าไว้ด้วย
พี่มาร์คบอกว่าในวันอาทิตย์คนจะมาที่นี่เต็มไปหมด ที่นั่งเต็มเอี๊ยดทุกที่
เราใช้เวลาที่นี่เกือบสองชั่วโมง ด้วยการนั่งคุยกับพี่มาร์ค (ชายคนที่สองนับจากซ้าย) คนเฝ้าโบสภ์ที่ทำให้เรารู้ว่า พี่เขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ เติบโตขึ้นมาในโบสภ์ ได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานก็เพราะโบสภ์ ปัจจุบันเราถามว่าตอนนี้เขาทำงานอะไร เขาบอกว่าเขาเป็น Security guard ของที่นี่อย่างภูมิใจ เรานั่งคุยเรื่องราวต่างๆ ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของพี่มาร์คได้ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และนานๆ จะกลับบ้านที เรานั่งคุยกันใต้ร่มไม้และขอนอนงีบบนเปลก่อนที่จะขอตัวไปหาที่พักต่อ เราถ่ายรูป และแลกอีเมล์เพื่อติดต่อกัน และกล่าวอำลา
เรามุ่งหน้าเดินไปที่ถนน 13 ตามคำบอกของพี่มาร์คเราเดินผ่านสะพานลอยและเราเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งปรึกษาและซื้ออะไรบางอย่างอยู่เราเลยสงสัยและชะโงกหน้าไปดู เมื่อพ่อค้าเห็นเราก็ยิ้มให้ ชวนเรานั่ง และชวนคุยด้วยภาษาอังกฤษที่พอฟังรู้เรื่อง ทำให้เรารู้ว่าแกชื่ออะโกปะเก (อะโก = พี่ชายในภาษาพม่า) แกบอกว่าแกรับรักษาสิว สะกิดไฝ แกมีมีดเล็กๆ มีเปลือกหอย มีสมุนไพรผสมเป็นยา แกมีลูกทั้งหมด 7 คน ที่เห็นอยู่สามคนนี้กำลังเรียนหนังสือกันอยู่ นอกนั้นเรียนจบหมดแล้ว ช่วงนี้ปิดเทอมก็เลยมาช่วยพ่ออยู่ที่ร้านเราถามแกว่าทำไมอะโกถึงพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง แกบอกเราว่า
"ผมก็ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ซื้อหนังสือมาอ่าน มาท่อง นี่ๆ หนังสือที่ผมซื้อมา ส่วนใหญ่ก็เป็นประโยคในชีวิตประจำวัน แล้วผมก็ฝึกด้วยการชวนฝรั่งคุยแบบนี้แหละ นี่ๆ ผมมีเขียนบางประโยคไว้บนกำแพงด้วยนะ
You are so mean to make me cry,I will always love you."
เราหัวเราะด้วยความตลกเพราะนอกจากแกจะอ่านประโยคพวกนั้นแล้ว แกยังทำท่าทาง เอามือจับอก แสดงแอคติ้งประกอบด้วย การเจออะโกครั้งนี้ และการที่แกยกหนังสือภาษาอังกฤษที่แกซื้อมาฝึกฝนเองนั้น โตครบันดาลใจเราในการพัฒนาตัวเองเลย นั่งคุยกันซักพักเราก็ขอตัวเดินต่ออะโกแกตกใจพูดว่า
"เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป ผมให้ลูกชายไปซื้อน้ำมาให้คุณ เห็นว่าน้ำหมดแล้ว กินน้ำก่อนแล้วค่อยไปนะ"
เราหยิบน้ำโค้กจากน้องผู้ชายคนโต มากินพร้อมกับสายตาขอบคุณ เราคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง แต่หัวใจเรามันมีความสุขมาก เรากอดลาพ่อลูกทั้งสี่คน และกล่าวขอบคุณกับมิตรภาทพี่ทุกคนกรุณาหยิบยื่นให้และเดินออกไปหาที่พักต่อ
[CR] 10 วัน 5 เมือง ที่ประเทศเมียนมาร์ มิตรภาพ การเรียนรู้ และความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
สวัสดีค่ะพี่น้องชาวพันทิป นี่เป็นกระทู้แรกที่เขียนรีวิว เลยรู้สึกประดักประเดิดพิกล ที่อยากมารีวงรีวิวกับเค้าบ้างเนี่ยเพราะโดยส่วนตัวชอบประเทศนี้มาก เลยอยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ออกเดินทางไปประเทศนี้กันเยอะๆ ไม่ใช่ไปแบบไปหย่อนเท้าแล้วถึง แต่อยากให้ไปได้รู้จักกับบ้านเมือง ผู้คน ความคิด และวิถีชีวิตของคนเมียนมาร์จริงๆ
คำเตือนแรกเลยอยากเตือนว่า รีวิวนี้จะยาวมาก เพราะจะมีเนื้อหาตลอดการเดินทางทั้ง 10 วันไปไหน ไปยังไง เจอใครบ้าง คุยอะไรกัน ได้เรียนรู้อะไรจากการเดินทางบ้าง อิชั้นจะร่ายหมด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนคอเดียวกัน ซึ่งเดี๋ยวจะแบ่งให้เป็นตอนๆ ทั้งหมด 7 ตอนนะคะ งั้นไปกันเลยค่าาาาาาา
ปล. จขกท ยังไม่ได้ระบุเพศตัวเอง อาจมีคำลงท้ายค่ะ บ้าง ครับบ้าง ก็อย่างงนะคะ 5555
สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปครั้งนี้ ถือว่าทำการบ้านน้อยมากเรามีหนังสือแค่สองเล่ม เล่มแรกเป็นหนังสือแนะนำท่องเที่ยว อีกเล่มเป็นหนังสือเกี่ยวกับประโยค คำศัพท์ภาษาพม่าพื้นฐาน พร้อมทั้งข้อมูลต่างๆ หนังสือสองเล่มนี้ช่วยเราได้มาก นอกนั้นก็อาศัยการถามพนักงานที่พัก คนท้องถิ่น และเพื่อนนักเดินทางที่เจอ รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง ใครจะไปแนะนำหาหนังสือสักเล่มพกติดตัวไปจะเป็นประโยชน์และอุ่นใจ ช่วยได้หลายอย่างเลยครับ
นั่งเครื่องมาสักประมาณชั่วโมงเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง นางเป็นสนามบินเล็กๆ น่ารัก สะดวกสบายเชียวแหละ อยากบอกทุกคนว่า ตม.ที่นี่มีช่องค่อนข้างน้อย ดังนั้นใครไม่อยากต่อคิวนานก็รีบออกจากเครื่องเดินไปต่อคิวตม.เลยก็ดีนะ ในระหว่างต่อคิวทำอะไรไม่ได้เลย น้องจากยืนสลับขาเล่นไปมา ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือหาเพื่อนคุย พอดีข้างหลังเราเป็นพี่ผู้หญิงผู้ชายคนไทยสองคนที่เขาเป็นแฟนกัน เราก็เริ่มชวนคุยทักทายปกติ "มาเที่ยวกันเหรอครับ" ประโยคง่ายๆ ที่เริ่มสนทนา และทำให้เรารู้ว่าพี่เขามาเที่ยว 1 วัน และกำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน ดังนั้นเราก็เลยขออนุญาตไปแท็กซี่คันเดียวกับพี่เขาเพื่อที่จะได้หารค่าแท็กซี่กัน เพราะจากสนามบินไปในเมืองนี่ระยะทางค่อนข้างไกล และไม่มีรถโดยสารสาธารณะ การหาคนหารค่าแท็กซี่จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ดังนั้น ในระหว่างรอคิวตม. จงหาคนคุยนะครับ
เราได้ค่าแท็กซี่ราคาเหมา 8,000 จั๊ต 3 คนก็คนละประมาณ 2,700 จั๊ต แท็กซี่ที่นี่แปลกตรงที่พวกนางส่วนใหญจะไม่เปิดแอร์กันเลยครับ ถ้าใครจะเปิดแอร์ต้องจ่ายเพิ่ม วันนั้นร้อนมากเราก็เลยจ่ายค่าแอร์รวมไปใน 8,000 ถ้าไม่เปิดแอร์นางคิดแค่ 7,000 แต่เอาน่า แอร์หน่อยละกัน (บาท เป็น จั๊ต คิดง่ายๆ เอา 30 หารเงินจั๊ต ก็จะได้เป็นบามแบบหยาบๆ ครับ)
เมื่อรถออกสู่ท้องถนน เราก็ว้าววววว บ้านเมืองสะอาดสะอ้านดีจัง ถนนเลนกว้างใหญ่ ต้นไม้ร่มรื่นมากๆ นั่นเป็นความประทับใจแรกที่เราเห็น และเราชอบมาก รถราก็คับคั่ง นี่มันกรุงเทพฯ ย่อมๆ เลยนี่นา ซักพัก แท็กซี่ก็เปิดเพลงไทยเอาใจซะงั้น แอร์เย็นๆ ฟังเพลงไทย พูดคุยกับคนขับรถเมียนมาร์ ดูวิวเมียนมาร์ เป็นโมเม้นท์แรกที่อบอุ่นใจจริงๆ 55555
สถานที่ปลายทางในการลงแท็กซี่คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง 1 ใน 5 มหาบูชาสภานของประเทศเมียนมาร์ ถือว่าเป็นแลนมาร์คสำคัญของกรุงย่างกุ้งแห่งนี้ เรามาถึงก็สวัสดีของคุณพี่คนไทยทั้งสองและแยกกัน เราจัดแจงนุ่งโสร่ง และขึ้นไปยังเจดีชเวดากอง ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน เราต้องขึ้นบันไดไป ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าผ่านประตูด้วย แต่เรานุ่งโสร่งและมีเหง้าหน้าคล้ายคนท้องถิ่นเลยผ่านด่านจ่ายเงินไปอย่างง่ายดาย แม้จะมีกระเป๋าแบ็กแพ็คใบโตอยู่บนหลัง และนักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมกล้องถ่ายรูปด้วย แต่เราก็ยังไม่เอากล้องถ่ายรูปออกมา เอาออกมาอีกทีก็ตอนขึ้นไปถึงข้างบนก็เลยรอดไปอีกตามเดิม พอขึ้นไปถึงก็ต้องตะลึงกับความสวยงามของมหาบูชาสถานแห่งนี้ เจ้าพระคุณรุนช่อง มันใหญ่โต โออ่ามากจริงๆ และทุกอานาบริเวณวัด จะมีแต่สีทอง ทอง และทอง และคุณคะ ที่เห็นสีทองขององค์เจดีย์นั้น อยากบอกว่านางคือทองจริงทั้งหมดค่ะ เพราะชาวเมียนมาร์นี่เขาเอาจริงเอาจังเรื่องทำบุญกันมากๆ
ภายในมหาเจดีย์ชเวดากองจะมีพื้นที่บริเวณกว้างมาก เดินดูกันเพลิน เพราะมีแต่ของสวยๆ งามๆ แต่สำหรับเราแล้วสถาปัตยกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องร้องว้าว แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้จักคนเมียนมาร์มากขึ้นคือ ภาพความศรัทธา ของชาวเมียนมาร์ที่มีต่อพระพุทธศาสนา ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของมหาเจดีย์แห่งนี้ เพราะจากการเดินสำรวจดูแล้ว ทุกซอกทุกมุมของมหาเจดีย์จะมีประชาชนทุกเพศ ทุกวัย รวมทั้งพระ จะนั่งสมาธิ สวดมนต์ กันอย่างเอาจริงเอาจรัง ในทุกๆ ที่
เนื่องด้วยวันนั้นเป็นวันที่ร้อนระอุ และพื้นของบริเวณมหาเจดีย์ที่ปูด้วยพื้นกระเบื้องที่มีคุณสมบัติดูดความร้อนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ บวกกับกระเป๋าแบ๊กแพ๊คใบโตที่อยู่บนหลัง เราเลยไม่สามารถจะนั่งซึมซับที่นี่ได้นาน เราเลยตัดสินใจเดินไปหาที่พัก ซึ่งเราไม่ได้จองอะไรมาเลย มาตายเอาดาบหน้าล่วนๆ เราแค่มองหาโฮสเทลใน www.hostelworld.com อย่างที่เคยทำ หาโฮสเทลที่ราคาถูกๆ และทำเลดีๆ และแคปหน้าจอมือถือดูว่ามันไปยังไง แล้วก็ตัดสินใจเลือกที่จะเดินไปที่ Chinatown เพราะมี Hostel 2 แห่งที่อยู่บริเวณเดียวกัน เราก็ถามคนแถวนั้นเอาว่าเดินไปทางไหน ประกอบกับแผนที่ในหนังสือที่เตรียมมา แล้วก็เดินไปอย่างงงๆ
ในระหว่างทางเดินเราก็ได้ชื่นชมบรรยากาศสองข้างทางของเมียนมาร์ ซึ่งร่มรื่นมากๆ มีต้นไม้ตลอดสองข้างทาง แต่รถที่นี่ บีบแตรกันมันส์มาก จะเดินจะข้ามถนนทีรู้สึกผิดตลอด ว่ามันบีบบแตรใส่เราไม๊น้าาา เราทำไรผิดหรือเปล่า และคนขับรถที่นี่นะจ๊ะ นางจะไม่มีวันชะลอหรือหยุดให้คนข้ามถนนในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ริจะข้ามถนนที่นี่ ต้องเตรียมใจ และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จะมาพิทักษ์สิทธิ์คนข้ามไรอย่างนี้ มีหวังตายเปล่า 5555 เราเดินมาเรื่อยๆ เป็นระยะทางหลายกิโล ถามว่าเหนื่อยไม๊ เหนื่อย! แต่คือเวลาเดินในที่ใหม่ๆ เราก็จะมีแรงเดินไง มันได้ดูโน่นดูนี่ ทุกสิ่งใหม่ไปหมดในสายตาเรา มันมีกำลังใจเดิน เดินไปก็หิว เลยแวะกินอาหารข้างทาง อร่อยเหาะในราคา 40 บาท เออ บอกก่อนว่ากินอาหารเมียนมาร์นี่จะคอแห้งหน่อยนะเพราะนางรักที่จะใส่ผงชูรสกันเอามากๆ
เดินมาซักพักเราก็ผ่านโบสภ๋คริสต์หลังหนึ่งสวยงามมาก เราก็เลยเดินเข้าไปเยี่ยมชมซักหน่อย ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะชื่อ Holy Trinity Cathedral แหละม้าง อยู่ข้างกับตลาดสก็อต จากการสอบถามคนเฝ้าโบสภ์ก็ได้ความมาว่า ในกรุงย่างกุ้งจะมีโบสภ์คริสต์อยู่หลายแห่ง และเกือบทุกแห่งจะเป็นมรดกจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษเมื่อครั้งพวกนางยึดเมียนมาร์เป็นเมืองขึ้น นางก็เผยแพร่ศาสนาและสร้างโบสภ์ใหญ่โตโออ่าไว้ด้วย
พี่มาร์คบอกว่าในวันอาทิตย์คนจะมาที่นี่เต็มไปหมด ที่นั่งเต็มเอี๊ยดทุกที่
เราใช้เวลาที่นี่เกือบสองชั่วโมง ด้วยการนั่งคุยกับพี่มาร์ค (ชายคนที่สองนับจากซ้าย) คนเฝ้าโบสภ์ที่ทำให้เรารู้ว่า พี่เขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ เติบโตขึ้นมาในโบสภ์ ได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานก็เพราะโบสภ์ ปัจจุบันเราถามว่าตอนนี้เขาทำงานอะไร เขาบอกว่าเขาเป็น Security guard ของที่นี่อย่างภูมิใจ เรานั่งคุยเรื่องราวต่างๆ ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของพี่มาร์คได้ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และนานๆ จะกลับบ้านที เรานั่งคุยกันใต้ร่มไม้และขอนอนงีบบนเปลก่อนที่จะขอตัวไปหาที่พักต่อ เราถ่ายรูป และแลกอีเมล์เพื่อติดต่อกัน และกล่าวอำลา
เรามุ่งหน้าเดินไปที่ถนน 13 ตามคำบอกของพี่มาร์คเราเดินผ่านสะพานลอยและเราเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งปรึกษาและซื้ออะไรบางอย่างอยู่เราเลยสงสัยและชะโงกหน้าไปดู เมื่อพ่อค้าเห็นเราก็ยิ้มให้ ชวนเรานั่ง และชวนคุยด้วยภาษาอังกฤษที่พอฟังรู้เรื่อง ทำให้เรารู้ว่าแกชื่ออะโกปะเก (อะโก = พี่ชายในภาษาพม่า) แกบอกว่าแกรับรักษาสิว สะกิดไฝ แกมีมีดเล็กๆ มีเปลือกหอย มีสมุนไพรผสมเป็นยา แกมีลูกทั้งหมด 7 คน ที่เห็นอยู่สามคนนี้กำลังเรียนหนังสือกันอยู่ นอกนั้นเรียนจบหมดแล้ว ช่วงนี้ปิดเทอมก็เลยมาช่วยพ่ออยู่ที่ร้านเราถามแกว่าทำไมอะโกถึงพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง แกบอกเราว่า
"ผมก็ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ซื้อหนังสือมาอ่าน มาท่อง นี่ๆ หนังสือที่ผมซื้อมา ส่วนใหญ่ก็เป็นประโยคในชีวิตประจำวัน แล้วผมก็ฝึกด้วยการชวนฝรั่งคุยแบบนี้แหละ นี่ๆ ผมมีเขียนบางประโยคไว้บนกำแพงด้วยนะ
You are so mean to make me cry,I will always love you."
เราหัวเราะด้วยความตลกเพราะนอกจากแกจะอ่านประโยคพวกนั้นแล้ว แกยังทำท่าทาง เอามือจับอก แสดงแอคติ้งประกอบด้วย การเจออะโกครั้งนี้ และการที่แกยกหนังสือภาษาอังกฤษที่แกซื้อมาฝึกฝนเองนั้น โตครบันดาลใจเราในการพัฒนาตัวเองเลย นั่งคุยกันซักพักเราก็ขอตัวเดินต่ออะโกแกตกใจพูดว่า
"เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป ผมให้ลูกชายไปซื้อน้ำมาให้คุณ เห็นว่าน้ำหมดแล้ว กินน้ำก่อนแล้วค่อยไปนะ"
เราหยิบน้ำโค้กจากน้องผู้ชายคนโต มากินพร้อมกับสายตาขอบคุณ เราคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง แต่หัวใจเรามันมีความสุขมาก เรากอดลาพ่อลูกทั้งสี่คน และกล่าวขอบคุณกับมิตรภาทพี่ทุกคนกรุณาหยิบยื่นให้และเดินออกไปหาที่พักต่อ