ความเดิมตอนที่แล้ว หนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ไปถึงเป้าหมายสำคัญของทริปนี้ คือ Twelve Apostles กันแล้ว แต่การผจญภัยของเราสองคนยังไม่จบลงง่ายๆ
หรือบางที มันอาจจะเป็นแค่บทเริ่มต้น กระมัง
ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ที่นี่
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า
http://pantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า
http://pantip.com/topic/34130710
ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่ Twelve Apostles
http://pantip.com/topic/34138588
ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปกันต่อค่ะ
และแล้วเราสองคนก็ไม่ได้ตื่นไปดู Twelve Apostles อย่างที่สังหรณ์ใจกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะดูแล้วฟ้ามืดเกินกว่าที่เราสองคนจะขับรถออกไปกัน ดังนั้น เมื่อรู้สึกตัวตื่นจึงเปลี่ยนเป็นไปจัดการกับอาหารเช้าในครัวที่เต็มไปด้วยสมาชิกชาวโฮสเทลที่มาตระเตรียมอาหารเช้ากัน ทำให้ได้มีโอกาส say Hi ! กะหนุ่มสาวคนนั้นคนนี้ เสน่ห์ของการมานอนโฮสเทลก็คือการได้มาพบปะนักเดินทางจากดินแดนอื่นๆ
Port Campbell Hostel
ด้วยความที่มาถึงค่ำ ทำให้เพิ่งพบว่าจากที่พักหากวิ่งตรงต่อไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรจะพบกับทะเลผืนใหญ่ บริเวณนี้ก็คือท่าเรือ อันเป็นที่มาของชื่อ Port Campbell นั่นเอง อากาศยามเช้ากับแรงลมทะเลเป็นบรรยากาศที่สดชื่นดีแท้
Ocean House ที่พักติดหาด บรรยากาศวิเศษที่สุด

อากาศสะอาดจริงๆ

รถบ้านแบบนี้มีให้เห็นตลอดทาง
การเดินทางวันนี้ของเราเริ่มต้นโดยการวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมก่อน เพราะเมื่อคืนเราวิ่งผ่านสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งที่ห้ามพลาด

การขับรถในออสเตรเลีย แค่มี GPS ทุกสิ่งก็ง่ายไปหมด

เหยื่อริมทาง

น้ำทะเลอยู่ตรงหน้า

ไม่ว่าถนนจะคดโค้งอย่างไร ยังเห็นทะเลได้ตลอด

ถึงล่ะ Loch Ard Gorge

เลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถ จากนั้นก็เดินเท้าไปตามทางที่ทำไว้ ซึ่งมีหลายทางให้เลือกเดินเที่ยว

เป้าหมายอยู่ไม่ไกลไแล้ว

เดินเท้าต่อไป

เบื้องล่างที่มองลงไป

The Wreck ตามประวัติบอกไว้ว่า เมื่อปี ค.ศ.1878 เรือเดินทะเลสัญชาติอังกฤษนามว่า Loch Ard ประกอบด้วยลูกเรือ 36 คน ผู้โดยสารอีก 18 คน และสินค้าต่างๆ เต็มลำเรือเดินเรือมาถึงน่านน้ำของเมลเบิร์น อยู่ในทะเลได้สามเดือนจนถึงวันที่ 31 พ.ค. ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ แต่สภาพอากาศในวันนั้นเลวร้ายเอามากๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นไฟประภาคารซึ่งอยู่บน Cape Otway กัปตัน Gorge Gibb ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือในตอนนั้นเห็นว่าเรือจะชนก็สั่งให้หยุดเรือเต็มที่ แต่ก็สายเกินไป สุดท้ายเรือก็เกิดอุบัติเหตุ ชนกับหินโสโครก จนน้ำเข้าเรือ และจมลงในบริเวณนี้เอง จึงเป็นที่มาของชื่อ Loch Ard Gorge มาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเขาจะมีป้ายแสดงจุดที่เรือชนหินโสโครกไว้ให้ดูด้วย

เมื่อมองย้อนกลับเข้ามา

สวยในทุกมุมมอง

The Wreck

เฮลิคอปเตอร์ชมวิว พามาแถวนี้ด้วย

ลองไปอีกทางหนึ่ง

Island Archway เดิมแท่งหินตรงนี้เป็นแท่งหินรูปร่างคล้ายประตูโค้ง แต่ถูกน้ำทะเลสีฟ้าสดกัดเซาะจนตรงกลางพังกลายเป็นแท่งหินสองก้อนไม่เชื่อมต่อกัน หินสองก้อนนี้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า Tom กับ Eva ซึ่งเป็นชื่อของผู้โดยสารเรือ Loch Ard ที่รอดชีวิตเพียงสองคน

เขาจัดทำที่นั่งสำหรับชมวิวไว้อย่างดี

ยังมีอีกจุดที่เขาให้ไปชม

เป็นอย่างไร ไปดูกัน

Razorback เพราะเขาบอกว่ารูปร่างของมันเหมือนกับใบมีด เหมือนใบมีดไหมคะ

การจัดพื้นที่เดินชม ป้องกันอันตรายไว้เป็นอย่างดี

ดูกันชัดๆ อีกที

ชมจนจุใจ ก็ออกเดินทางต่อ
ขึ้นไปดูวิวบนเขากันดีกว่า
เป้าหมายถัดไปคือ London Bridge ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่เท่าใดนัก เมื่อเลี้ยวรถเข้าที่จอด มีทางเดินไปไม่ไกลนักก็จะเห็นหินก้อนมหึมาปรากฏอยู่ตรงริมหาด

นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามได้จากระเบียงที่เขาทำยื่นออกไปไว้ให้อย่างแข็งแรง

London Bridge หรือสะพานลอนดอน เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมหาด ตั้งชื่อให้พ้องกับสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน ซึ่งแต่ก่อนเคยเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ แต่ในปี ค.ศ.1990 ถูกคลื่นลมซัดเสียจนขาดออกจากกันเลยทำให้คงเหลืออย่างที่เห็น มีคำเล่าด้วยว่าวันที่หักโค่นลงนั้น มีนักท่องเที่ยวเดินไปชมอยู่ด้วย ดีว่าตอนหักโค่นลงไม่มีใครยืนอยู่ในบริเวณนั้น อยู่แต่เพียงตรงส่วนปลาย ทำให้ต้องนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับกลับมา

สถานที่ถัดไปบนเส้นทาง คือ The Grotto

จัดทำสะพานไม้ไว้ให้เดิน

ดอกไม้ระหว่างทางเดิน

มีบันไดให้เดินลงไปด้านล่าง

The Grotto เป็นหินที่ถูกกัดเซาะจนเป็นช่องโหว่ หากอยากจะเห็นช่องนี้ชัดๆ ต้องไต่ลงบันไดไม้ลงไปด้านล่าง หนูเล็กจะเดินลงก็กลัวขึ้นไม่ไหว เลยได้แต่ยืนมองดูด้านบนเท่านั้น
จากจุดนี้ไปต่อกันอีกแห่งหนึ่ง

Bay of Islands ก็จะเป็นบริเวณที่มีแท่งหินก้อนใหญ่น้อยอยู่กลางทะเล ทุกที่สวยบาดตาบาดใจจนแทบไม่อยากจะลาจากกันเลยเชียว
ชมภาพกันให้จุใจไปเลยค่ะ

จากบริเวณนี้ไปสักพัก ก็จะสิ้นสุดเส้นทาง Great Ocean Road ที่เราจะไม่ได้เลาะเลียบริมทะเลอีกแล้ว น่าเสียดายจริงๆ
[CR] Driving in Down Under : Melbourne and Great Ocean Road ตอนที่ 3 Great Ocean Road - Hall Gaps
ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ที่นี่
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า http://pantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า http://pantip.com/topic/34130710
ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่ Twelve Apostles http://pantip.com/topic/34138588
ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปกันต่อค่ะ
และแล้วเราสองคนก็ไม่ได้ตื่นไปดู Twelve Apostles อย่างที่สังหรณ์ใจกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะดูแล้วฟ้ามืดเกินกว่าที่เราสองคนจะขับรถออกไปกัน ดังนั้น เมื่อรู้สึกตัวตื่นจึงเปลี่ยนเป็นไปจัดการกับอาหารเช้าในครัวที่เต็มไปด้วยสมาชิกชาวโฮสเทลที่มาตระเตรียมอาหารเช้ากัน ทำให้ได้มีโอกาส say Hi ! กะหนุ่มสาวคนนั้นคนนี้ เสน่ห์ของการมานอนโฮสเทลก็คือการได้มาพบปะนักเดินทางจากดินแดนอื่นๆ
ด้วยความที่มาถึงค่ำ ทำให้เพิ่งพบว่าจากที่พักหากวิ่งตรงต่อไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรจะพบกับทะเลผืนใหญ่ บริเวณนี้ก็คือท่าเรือ อันเป็นที่มาของชื่อ Port Campbell นั่นเอง อากาศยามเช้ากับแรงลมทะเลเป็นบรรยากาศที่สดชื่นดีแท้
Ocean House ที่พักติดหาด บรรยากาศวิเศษที่สุด
อากาศสะอาดจริงๆ
รถบ้านแบบนี้มีให้เห็นตลอดทาง
การเดินทางวันนี้ของเราเริ่มต้นโดยการวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมก่อน เพราะเมื่อคืนเราวิ่งผ่านสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งที่ห้ามพลาด
การขับรถในออสเตรเลีย แค่มี GPS ทุกสิ่งก็ง่ายไปหมด
เหยื่อริมทาง
น้ำทะเลอยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าถนนจะคดโค้งอย่างไร ยังเห็นทะเลได้ตลอด
ถึงล่ะ Loch Ard Gorge
เลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถ จากนั้นก็เดินเท้าไปตามทางที่ทำไว้ ซึ่งมีหลายทางให้เลือกเดินเที่ยว
เป้าหมายอยู่ไม่ไกลไแล้ว
เดินเท้าต่อไป
เบื้องล่างที่มองลงไป
The Wreck ตามประวัติบอกไว้ว่า เมื่อปี ค.ศ.1878 เรือเดินทะเลสัญชาติอังกฤษนามว่า Loch Ard ประกอบด้วยลูกเรือ 36 คน ผู้โดยสารอีก 18 คน และสินค้าต่างๆ เต็มลำเรือเดินเรือมาถึงน่านน้ำของเมลเบิร์น อยู่ในทะเลได้สามเดือนจนถึงวันที่ 31 พ.ค. ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ แต่สภาพอากาศในวันนั้นเลวร้ายเอามากๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นไฟประภาคารซึ่งอยู่บน Cape Otway กัปตัน Gorge Gibb ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือในตอนนั้นเห็นว่าเรือจะชนก็สั่งให้หยุดเรือเต็มที่ แต่ก็สายเกินไป สุดท้ายเรือก็เกิดอุบัติเหตุ ชนกับหินโสโครก จนน้ำเข้าเรือ และจมลงในบริเวณนี้เอง จึงเป็นที่มาของชื่อ Loch Ard Gorge มาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเขาจะมีป้ายแสดงจุดที่เรือชนหินโสโครกไว้ให้ดูด้วย
เมื่อมองย้อนกลับเข้ามา
สวยในทุกมุมมอง
The Wreck
เฮลิคอปเตอร์ชมวิว พามาแถวนี้ด้วย
ลองไปอีกทางหนึ่ง
Island Archway เดิมแท่งหินตรงนี้เป็นแท่งหินรูปร่างคล้ายประตูโค้ง แต่ถูกน้ำทะเลสีฟ้าสดกัดเซาะจนตรงกลางพังกลายเป็นแท่งหินสองก้อนไม่เชื่อมต่อกัน หินสองก้อนนี้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า Tom กับ Eva ซึ่งเป็นชื่อของผู้โดยสารเรือ Loch Ard ที่รอดชีวิตเพียงสองคน
เขาจัดทำที่นั่งสำหรับชมวิวไว้อย่างดี
ยังมีอีกจุดที่เขาให้ไปชม
เป็นอย่างไร ไปดูกัน
Razorback เพราะเขาบอกว่ารูปร่างของมันเหมือนกับใบมีด เหมือนใบมีดไหมคะ
การจัดพื้นที่เดินชม ป้องกันอันตรายไว้เป็นอย่างดี
ดูกันชัดๆ อีกที
ชมจนจุใจ ก็ออกเดินทางต่อ
ขึ้นไปดูวิวบนเขากันดีกว่า
เป้าหมายถัดไปคือ London Bridge ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่เท่าใดนัก เมื่อเลี้ยวรถเข้าที่จอด มีทางเดินไปไม่ไกลนักก็จะเห็นหินก้อนมหึมาปรากฏอยู่ตรงริมหาด
นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามได้จากระเบียงที่เขาทำยื่นออกไปไว้ให้อย่างแข็งแรง
London Bridge หรือสะพานลอนดอน เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมหาด ตั้งชื่อให้พ้องกับสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน ซึ่งแต่ก่อนเคยเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ แต่ในปี ค.ศ.1990 ถูกคลื่นลมซัดเสียจนขาดออกจากกันเลยทำให้คงเหลืออย่างที่เห็น มีคำเล่าด้วยว่าวันที่หักโค่นลงนั้น มีนักท่องเที่ยวเดินไปชมอยู่ด้วย ดีว่าตอนหักโค่นลงไม่มีใครยืนอยู่ในบริเวณนั้น อยู่แต่เพียงตรงส่วนปลาย ทำให้ต้องนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับกลับมา
สถานที่ถัดไปบนเส้นทาง คือ The Grotto
จัดทำสะพานไม้ไว้ให้เดิน
ดอกไม้ระหว่างทางเดิน
มีบันไดให้เดินลงไปด้านล่าง
The Grotto เป็นหินที่ถูกกัดเซาะจนเป็นช่องโหว่ หากอยากจะเห็นช่องนี้ชัดๆ ต้องไต่ลงบันไดไม้ลงไปด้านล่าง หนูเล็กจะเดินลงก็กลัวขึ้นไม่ไหว เลยได้แต่ยืนมองดูด้านบนเท่านั้น
จากจุดนี้ไปต่อกันอีกแห่งหนึ่ง
Bay of Islands ก็จะเป็นบริเวณที่มีแท่งหินก้อนใหญ่น้อยอยู่กลางทะเล ทุกที่สวยบาดตาบาดใจจนแทบไม่อยากจะลาจากกันเลยเชียว
ชมภาพกันให้จุใจไปเลยค่ะ
จากบริเวณนี้ไปสักพัก ก็จะสิ้นสุดเส้นทาง Great Ocean Road ที่เราจะไม่ได้เลาะเลียบริมทะเลอีกแล้ว น่าเสียดายจริงๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น